รีวิว โอโมเตนาชิ (Omotenashi)
จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น
.
‘โอโมเตนาชิ คือความใส่ใจ’
.
สิ่งที่ทำให้เราอยากกลับไปญี่ปุ่นอีกครั้งคืออะไร
- อาหารญี่ปุ่นสุดอร่อย?
- บ้านเมืองที่สะอาดสะอ้าน?
- สถานที่ท่องเที่ยวสุดตระการตา?
- ความมีระเบียบวินัยของผู้คน?
.
หรือคือความรู้สึกดีๆ ที่สัมผัสได้จากความห่วงใย ความอบอุ่น และความใส่ใจในการให้บริการของคนญี่ปุ่น?
แน่นอนว่าคำตอบอาจเป็นได้คือทุกข้อรวมๆกัน แต่องค์ประกอบสุดท้ายที่เราอาจมักไม่ทันคิด แต่มันฝังแน่นในความรู้สึกของเราก็คือ ‘ความใส่ใจ’ ของคนญี่ปุ่นในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่เราก้าวลงจากเครื่องบิน จนกระทั่งเดินทางกลับ
.
ความใส่ใจที่ว่านี่เอง คือสิ่งที่เรียก่า โอโมเตนาชิ (Omotenashi)
.
ภาษาอังกฤษ คำว่า ‘โอโมเตนาชิ’ แปลได้ว่า ‘Japanese Hospitality’ หรือจิตวิญญาณแห่งการบริการ แต่พอมาเทียบดูแล้ว โอโมเตนาชิอาจมีอะไรมากไปกว่า คำว่า ‘service mind’ ที่เรามักมองหากันอยู่เวลาเข้ารับบริการอะไรสักอย่าง
.
.
หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวของ ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ หรือ เกตุวดี Marumura ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวในประเทศญี่ปุ่น เจ้าของผลงาน ริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปีด้วยแนวคิดแบบญี่ปุ่น และ Makoto Marketing
.
ใครหลายคนน่าจะเคยอ่าน หรือฟังเรื่องราวของอาจารย์เกตุกันมาบ้างแล้ว อาจารย์อยู่ญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน และมีเรื่องราวดีๆจากญี่ปุ่นมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
.
เล่มโอโมเตนาชิจะเน้นไปที่ความใส่ใจในการบริการ ที่อาจเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำธุรกิจในโลกยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องการแข่งขัน การเอาใจลูกค้า และการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ถ้าธุรกิจเหล่านี้ได้นำหลักการของโอโมเตนาชิมาใช้ อาจทำให้เป็นผู้อยู่รอดได้ในระยะยาว
.
.
เนื้อหาแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก และ13 บทย่อย
ส่วนแรกคือ การทำความเข้าใจจิตวิญญาณแบบโอโมเตนาชิ
ส่วนที่ 2 คือ วิธีโอโมเตนาชิ
ส่วนที่ 3 คือ การสร้างทีมที่มีโอโมเตนาชิ
.
ทั้งนี้ในการสรุปเนื้อหา ผมขอแบ่งเป็น 5 ประเด็นหลักที่อยากแชร์จากหนังสือครับ
.
1) โอโมเตนาชิคืออะไร?
.
โอโมเตนาชิคือ ‘ความใส่ใจ’ ในการทำสิ่งต่างๆให้กับอีกฝ่าย
.
ถ้าในมุมธุรกิจก็เหมือนการให้บริการที่ใส่ใจลงไปในรายละเอียด แต่โอโมเตนาชิยังนำมาใช้กับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างได้ด้วย เช่น การใส่ใจในความต้องการเล็กๆน้อยๆของคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก
.
ตัวอย่างที่ อ.เกตุยกขึ้นมาตั้งแต่ต้นเล่มคือ เรื่องการจัดงานโอลิมปิกปี 2020 ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนาน
.
งานนี้ได้มีการแสดงโอโมเตนาชิในหลายๆทาง เช่น การเตรียมตัวต้อนรับนักกีฬาและทีมงานที่เดินทางมาแข่งขัน การต้อนรับผู้เข้าชมนานาชาติ ญี่ปุ่นได้เตรียมไม่เพียงแค่บริการที่น่าประทับใจตั้งแต่สนามบินจนถึงโรงแรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเตรียมสิ่งของต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกกับแขกผู้มาเยือน
.
เช่น การทำป้ายบอกทางให้มีภาษาอังกฤษ เพื่อทำให้ชาวต่างชาติอ่านแล้วเข้าใจได้ทันที หรือการจัดเตรียม ที่รับฝากกระเป๋า ที่จอดรถ ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก ทุกอย่างคือมีการคิดล่วงหน้าเพื่อให้คนที่เดินทางมาเข้าร่วมโอลิมปิคได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
.
แต่โอโมเตนาชิของญี่ปุ่นไม่ได้หยุดอยู่แค่ คนที่มีความเกี่ยวโดยตรงกับงานกีฬาโอลิมปิก หากรัฐบาลก็ได้กระตุ้นให้ชาวญี่ปุ่นทั่วทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดมหกรรมกีฬาครั้งนี้
.
เรื่องนี้รวมถึง
- การที่รัฐบาลออกมาตรการให้เด็กประถมร่วมกันส่งประกวดงานออกแบบมาสคอตประจำงานโอลิมปิก 2020
- การที่รัฐบาลรณรงค์ให้ทั่วประเทศรวบรวมโทรศัพท์มือถือที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นเหรียญรางวัลให้นักกีฬา
- การที่รัฐบาลวางระบบให้เรทติ้งการบริการแก่ร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ร้านค้านำเสนอบริการที่ดียิ่งขึ้น
.
เหมือนโอโมเตนาชิจะแทรกซึมอยู่ในทุกอิริยาบถของคนญี่ปุ่น และนั่นก็ทำให้ภาพรวมของคนญี่ปุ่น เป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นอย่างแท้จริง
.
.
2) 3 สิ่งที่ทำให้คนญี่ปุ่นถึงมีโอโมเตนาชิ
.
คำถามนี้น่าสนใจมากเพราะ โอโมเตนาชิไม่ใช่สิ่งที่ลอกเลียนกันได้ง่ายๆ
โดยความเห็นส่วนตัวของอ.เกตุ มีการตั้งข้อสังเกตถึงที่มาของโอโมเตนาชิได้ 3 ประการ
.
1. การระลึกไว้ถึงความไม่แน่นอน และการเชื่อในพรมลิขิต
ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติมากมาย และทำให้มีความไม่แน่นอนในชีวิตสูง
.
หลายๆครั้งคนญี่ปุ่นเชื่อว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่เราจะได้พบกับคนที่อยู่ตรงหน้าเพียงครั้งเดียว (ดั่งความเชื่อเรื่อง อิจิโกะ อิจิเอะ)
การทรีตคนตรงหน้าให้ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้การพบกันแต่ละครั้งเกิดความหมาย
.
การเชื่อในความบังเอิญของการเจอกันยังสะท้อนถงึหลักความเชื่อเรื่องพรมลิขิต ที่คนญี่ปุ่นคิดว่ามีอะไรบางอย่างดลบันดาลให้เรามาพบกัน ดังนั้นแล้วการพบกันแต่ละครั้งต้องสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายอย่างดีที่สุด ต้องดูแลเขาอย่างดี ให้การพบกันเกิดความหมาย
.
2. การช่างสังเกตของคนญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นเป็นคนช่างสังเกตมาอย่างเนิ่นนานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ สังเกตการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบๆตัว
.
การถูกฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตทำให้คนญี่ปุ่นสังเกตเห็นจุดเล็กๆน้อยๆในตัวลูกค้าที่มาใช้บริการ ทำให้ทรีตลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม
.
3. มารยาทที่ถูกปลูกฝังกันมาช้านาน
.
คนญี่ปุ่นมักถูกสอนมารยาทตั้งแต่ การพับตะเกียบ การกินอาหาร การนำตะเกียบที่กินเสร็จแล้วกลับเข้าซองเพื่อช่วยให้พนักงานเก็บตะเกียบได้สะดวกขึ้น
.
เรื่องพวกนี้ทำให้คนญี่ปุ่นเป็นคนใส่ในคนอื่นอยู่เสมอ เวลาจะเติมน้ำ ก็จะไม่มองแค่แก้วตัวเอง แต่จะคอยมองแก้วของอื่น และคอยรินน้ำเติมเผื่อเสมอๆ
.
.
3) หลักโอโมเตนาชิ แตกต่างจากเซอร์วิสทั่วไป อย่างมีนัยสำคัญ
.
โอโมเตนาชิมีส่วนประกอบ 4 อย่างที่ช่วยให้แยกแยะความต่างจากเซอร์วิสได้ชัดเจน ได้แก่
.
1. ความต้องการของลูกค้า - โดยเซอร์วิสจะรับสิ่งของตอบแทนบ้าง เช่น ทิป
แต่โอโมเตนาชิเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำด้วยความจริงใจล้วนๆ
.
2. ความสัมพันธ์กับลูกค้า - เซอร์วิสโดยส่วนใหญ่จะทรีตลูกค้าให้อยู่เหนือกว่าตัวเอง เพราฉะนั้นในหลายๆครั้งผู้ให้บริการจะไม่กล้าพูดกับลูกค้าตรงๆ และทำให้การนำเสนอสิ่งที่อาจตอบความต้องการของลูกค้าจริงๆขาดหายไป
ในขณะที่โอโมเตนาชิ เป็นการทรีตลูกค้าโดยวางตัวเท่าเทียม เหมือนการทรีตคนในครอบครัว ญาติๆ เพื่อนๆ ถ้าคิดว่าอะไรดี อะไรไม่ดีไม่เหมาะกับลูกค้า ก็แนะนำได้ตรงๆ เรื่องนี้ช่วยให้หลายๆครั้งลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากผู้ให้บริการ
.
3. รูปแบบ - ถ้าเป็น เซอร์วิสจะทำตามระเบียบแบบแผน มี standard ในการให้บริการที่ชัดเจน
แต่ถ้าโอโมเตนาชิจะทรีตลูกค้าแตกต่างออกไปตามความต้องการของแต่ละคน
.
4. การปฏิบัติงาน – เซอร์วิสจะทำตามหน้าที่หรือทำตามงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย
แต่โอโมเตนาชิจะเป็นการเห็นคุณค่าของตัวเอง มีความภูมิใจในตัวเองอยู่เสมอ
.
.
โดยสรุปแล้ว อาจเรียกได้ว่า การทำในแต่ะส่วนของโอโมเตนาชิจะทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกต่อเนื่องเป็นทอดๆทั้งต่อตัวเอง และผู้เข้ารับบริการ
.
- เมื่อเท่าเทียมลูกค้า ก็จะรู้สึกขอบคุณเสมอๆ และให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
- เมื่อไม่หวังสิ่งตอบแทน ก็จะดูแลด้วยความจริงใจ ปราถนาดี และทุ่มเทดูแลลูกค้าแต่ละคนในแบบที่เหมาะกับพวกเขามากที่สุด
- เมื่อทุ่มเทให้ลูกค้าแต่ละคนในแบบที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด ก็จะให้พวกเขาประทับใจ และทำให้ผู้ให้บริการได้สัมผัสถึงคุณค่าของงานและมีความสุข
.
เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ
.
.
4) โอโมเตนาชิไม่จำเป็นต้องมีตั้งแต่วันแรก
.
หลายๆครั้ง เราไม่จำเป็นต้องเจอโอโมเตนาชิตั้งแต่วันแรก เพียงแต่ว่าเราต้องหมั่นทำสิ่งที่เราทำได้ดีไปเรื่อยๆ หมั่นพัฒนาปรับปรุงตัวเอง และไม่ดูถูกงานของตัวเอง
.
การเจอคุณค่าของงานที่ทำอาจเป็นส่วนสุดท้ายของวงจรวิธีโอโมเตนาชิ เราอาจเจอมันในจังหวะที่เราได้ทำสิ่งๆหนึ่งไปเป็นเวลานานพอสมควร
.
ตัวอย่างเช่น คุณฮาเซกาวะ ที่ทำหน้าที่ขัดรองเท้า เขาตกงานในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี และต้องออกมาทำอาชีพขัดรองเท้า แน่นอนว่าช่วงแรกเขาไม่ได้ชอบมัน แต่พอทำไปนานเข้าเขาก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการเปิดใจรับฟังฟีดแบ็คจากลูกค้า และเมื่อเขาไม่ดูถูกงานของตัวเอง วันหนึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จในอาชีพของเขา
.
อาจมีอยู่ 2 จังหวะที่ทำให้เราเห็นคุณค่าในงานบริการที่เราทำ และเป็นการเติมเต็มวงจรโอโมเตนาชิ
- จังหวะแรกคือ จังหวะได้รับคำขอบคุณจากผู้รับบริการ
- จังหวะที่ 2 คือ จังหวะที่ได้เห็นลูกค้ามีความสุข
.
เมื่อเราพบเจอจังหวะเหล่านี้แล้ว เราอาจได้ค้นพบวิธีโอโมเตนาชิแบบเต็มตัว เราก็จะมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ และเต็มใจส่งต่อความสุขให้ลูกค้าทุกๆคน
.
.
5) อะริกาโต้ & อะริกาไต้
.
ปกติเรามักจะคุ้นกับคำว่า ‘อะริกาโต้’ ที่แปลว่า ‘ขอบคุณ’ เมื่อเวลาเรารับของ หรือเวลามีคนทำอะไรให้เราสักอย่าง
แต่จริงๆแล้วมีอีกคำหนึ่งที่ความหมายคล้ายกัน แต่เราอาจไม่ได้นำพาใช้บ่อยมากนักคือคำว่า ‘อะริกาไต้’
.
‘อะริกาไต้’ แปลว่า ‘น่าขอบคุณจัง’ หรือ ‘โชคดีจัง’ เหมือนที่เราอาจเคยได้ยินในหนังหรือซีรีย์ญี่ปุ่นอยู่บ้าง มันคือการแสดงความรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกยินดี รู้สึกถึงความโชคดีที่ได้เห็นสิ่งๆนั้น
.
โดยเรื่องเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องทั่วๆไปในชีวิต ที่เรามักมองผ่าน เช่น
- วันนี้ซากุระบานแล้ว น่าขอบคุณจัง
- วันนี้รถไม่ติดเลย โชคดีจัง
- วันนี้ขายสินค้าได้หมดเลย น่าขอบคุณจัง
- ขอบคุณมากเลยที่แวะมาร้าน ในวันที่ฝนตกแบบนี้นะคะ
.
การขอบคุณเป็นเหมือนสายพลังที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้เรามีแรงทำงานต่อไป และฝึกให้เราเป็นคนคิดถึงคนอื่นบ้าง ไม่คิดถึงแต่ตัวเอง
.
.
ส่วนรายละเอียดในส่วนที่ 2 และ 3 เป็นการนำหลักโอโมเตนาชิไปประยุกต์ใช้ ไว้ผมจะหาโอกาสมาเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ
.
สุดท้ายแล้วต้องย้ำกันอีกครั้งว่า หนังสืออ่านสนุกมากครับ ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ไม่ใช่แค่ตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่น แต่หลักโอโมเตนาชิก็มีให้เห็นมากมายในไทย
.
เป็นเรื่องเล็กๆที่เรามักมองข้าม แต่อาจเป็นคีย์สำคัญในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า รวมถึงเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆได้ครับ
.
.
...................................................................................................................
ผู้เขียน: ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WeLearn)
หมวดหมู่: ธุรกิจ, พัฒนาตัวเอง
...................................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อนอายุ30 #โอโมเตนาชิ #Omotenashi
.
Comentarios