top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว เลิกเป็นคนดีซะที !




รีวิว เลิกเป็นคนดีซะที !

.

‘เลิกแคร์คนอื่นมากเกินไป แล้วหันมาเปิดเผยความเป็นตัวเองบ้าง’

.

สะดุดตาที่สุดก็ชื่อคนเขียนหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เคน โมงิ เจ้าของผลงานการเขียน The Little Book of Ikigai

และ พลังแห่งการตั้งคำถาม

.

เล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของคนญี่ปุ่นที่ชอบทำตัวเป็น ‘คนดี’ คอยแคร์สายตาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา

จนหลายครั้งนำมาซึ่งข้อเสียมากมาย

.

เป็นหนังสือเล่มเล็ก กะทัดรัด พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก

เนื้อหาก็เข้าใจง่าย วน ๆ อยู่กับประเด็นการเป็นคนขี้เกรงใจ คนที่ชอบทำตามแบบแผน ไม่กล้าแสดงตัวตนที่แท้จริง

.

โดยรวมแม้จะคล้าย เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข

แต่เนื้อหาเล่มนี้ยังนับว่าเบากว่า ไม่เข้มข้นเท่า

.

และยังติดตรงการเรียบเรียงเนื้อหาที่เข้าใจยาก

ประเด็นวนไปมา ขาดความชัดเจน และต่อเนื่อง

.

6 หลักคิดในการรีเซ็ตสมองและเลิกเป็นคนดี

.

1) การเลิกเป็นคนดี ไม่ใช่การเลิกแคร์คนอื่น

‘คนดี’ คือ คนที่แคร์สายตาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา กลัวที่จะถูกเกลียด ยอมอดทนจนบางครั้งโดนคนอื่นเอาเปรียบ ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่กล้าขัดใจคนอื่น

.

หลายครั้งสิ่งเหล่านี้มากเกินไป จนกลายมาเป็นข้อเสียกับทั้งตัวเรา และคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย

เราจึงต้องลดการเป็น ‘คนดี’ ลง

.

การเลิกเป็นคนดีเป็นเพียงหลักในการรีเซ็ตตัวเองใหม่ ปรับสมองให้มีทัศนคติแบบใหม่ จะได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์รอบตัวต่างจากเดิม

การเลิกเป็นคนดี ไม่ใช่การเลิกเป็นคนแคร์คนอื่น แต่เป็นการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็นอย่างกล้าหาญ

.

จำไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครบนโลกที่ไม่ถูกเกลียด

ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีสักแค่ไหน ก็มีคนเกลียดเราได้อยู่ดี

.

.

2) 3 ลักษณะเด่นของการเป็นคนดี

1. ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง – ไม่กล้าแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไป

2. ความมุ่งมั่นมีไม่มากพอ – มักคล้อยตามอีกฝ่าย และตัดสินใจตามความเห็นของตัวเองที่สอดคล้องกับคนอื่น

3. ใส่ใจกับการตัดสินของคนอื่น - มักคิดเสมอว่าจะทำตามความคาดหวังของคนอื่นยังไง

.

.

3) เปิดเผยความเป็นตัวเองออกมา

บันไดขั้นแรกสู่การเลิกเป็นคนดี คือการลองเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา

เราต้องกล้าเผชิญหน้ากับข้อเสียของตัวเอง

และแสดงออกถึงข้อดี-ข้อเสียของตัวเรากับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง

.

เราอาจพลิกมุมมองในการเปลี่ยนจากข้อเสียเป็นข้อดีก็ยังได้

เช่น ถ้าเราเป็นคนขี้กังวล ก็แปลว่าเป็นคนระมัดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา

หรือถ้าเราเป็นขี้จุกจิกกับคนอื่น ก็แปลว่าเราเป็นเลิศในการสังเกต

.

นอกจากนี้ให้เราโฟกัสไปที่ข้อดีของตัวเอง พยายาม ‘เพิ่มคะแนน’ ให้ตัวเอง

อย่าเอาแต่โฟกัสไปที่ข้อเสีย แล้ว ‘ลดคะแนน’ ตัวเอง จนไม่กล้าแสดงความรู้สึกจริง ๆ ออกมา

.

.

4) ให้ความสำคัญกับคุณค่าของตัวเอง แล้วสร้างเฉดสีใหม่

เราต้องลองตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง โดยปราศจากความต้องการจองคนอื่น

เพื่อให้สมองฝึกให้ความสำคัญของกับเรื่องที่ตัวเองสนใจ

.

เช่น ถ้าหัวหน้ามาชวนกินข้าวเย็น แต่เราไม่อยาก ก็ลองพูดปฏิเสธไปตรง ๆ บ้าง

เราจะได้ตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำในตอนเย็นมากขึ้น

.

วิธีนี้ยังช่วยให้เราได้ฝึกแสดงความเป็นตัวเองออกไปมากขึ้น

จนมันกอาจกลายเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ของเราก็เป็นได้

.

เราอาจกลายเป็นเฉดสีใดสีหนึ่ง และเห็นชัดเจนว่าคนที่มีเฉดสีอื่นอาจเกลียดเรา

แต่ก็ยังดีกว่าการเป็นคนดีแล้วมีสีเทาที่เลือนรางไปตามสีของคนที่อยู่ด้วย

.

.

5) หลุดพ้นจากเกณฑ์คนอื่น มาเป็นเกณฑ์ของตัวเอง

การเลิกเป็นคนดีไม่ใชการกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว

หลายคนอาจคิดว่า สิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ไม่ควรมาใช้เวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น

.

แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว สิ่งที่เราอยากทำ เป็นแค่มาตรฐานเฉพาะตัวของเรา

ซึ่งอาจแตกต่างจากคนอื่นได้

.

หลายครั้งถ้าเรารู้แล้วว่ามาตรฐานของเราต่างจากของคนอื่น เราก็ต้องกล้าที่จะพูดออกไปตรง ๆ

อย่าไปกังวลว่าคนอื่นจะติดสินเราว่าถูกหรือผิด

เพราะคนที่ควรตัดสินมาตรฐานของตัวเรา ก็คือตัวเราเองเท่านั้น

.

.

6) สร้างแบรนด์ของตัวเองด้วย ระบบจรวด 2 ขั้น (two-stage rocket system)

เมื่อเราเลิกเป็นคนดีได้แล้ว

ก็ถึงเวลาที่เราจะลองสร้างแบรนด์ของตัวเองดู

สถานที่ที่น่าลองคือ บนโลกโซเชียลมีเดีย

โดยเราอาจเลือกโพสต์ที่ดึงดูดความสนใจของเราครั้งหนึ่ง นับเป็นจรวดขั้นแรก

และเมื่อถูกจับตามองแล้ว เราก็ปล่อยตัวตนของเราออกไปเรื่อย ๆ โดยการโพสต์คนเทนต์ที่เป็นตัวตนเราจริง ๆ นับเป็นจรวดขึ้นที่ 2

.

วิธีนี้จะทำให้เราได้คิดทบทวนถึงคุณค่าที่แท้จริงของตัวเราเอง รวมไปถึงตัวตนลึก ๆ ของเราที่ไม่ได้ถูกตีกรอบจากเสียงคนรอบข้าง

เรามาลองใช้ชีวิตตามแบบของตัวเอง ที่ไม่ต้องคล้อยตามคนอื่นกันบ้าง

การโพสต์ลักษณะนี้ยังจัดเป็นการฝึกความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เราโพสต์ออกไปด้วย

.

ขอขอบคุณหนังสือจาก SEED นะครับ

.

....................................................................................................................

ผู้เขียน: เคนอิจิโร่ โมงิ

ผู้แปล: ไพลิน กลิ่นเกสร

จำนวนหน้า: 176 หน้า

สำนักพิมพ์: เชนจ์พลัส, สนพ.

เดือนปีที่พิมพ์: 2021

....................................................................................................................

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

https://bit.ly/3JtzZnF

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30




124 views0 comments

Commentaires


Post: Blog2_Post
bottom of page