รีวิว เลิกนิสัยทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง
.
‘ใช้ตัวช่วยให้ดี แล้วเตรียมยื่นใบลาออกจากคนทำอะไรไม่เสร็จได้เลย’
.
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเจอปัญหาการทำอะไรไม่เสร็จอยู่บ่อย ๆ
คือ มีโปรเจคอยากทำมากมาย หลายอันก็เริ่มลงมือทำไปแล้วด้วย แต่สุดท้ายโปรเจคเหล่านั้นก็ถูกทิ้งไว้กลางทาง
อาจจะเพราะสาเหตุหลายอย่าง โดยเฉพาะความขี้เกียจ
ดังนั้นแล้ว เราจึงต้องใช้ ‘ตัวช่วย’
.
หนังสือเล่มเล็กว่าด้วยเรื่องของการใช้ตัวช่วยต่าง ๆ เพื่อให้เราทำอะไรเสร็จมากขึ้น
ตัวช่วยที่ว่านี้ก็ไล่กันไปตั้งแต่ ระบบการจัดการ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สภาพแวดล้อม การยืมมือคนอื่น รวมไปถึงความคิด ความรู้สึก และร่างกายของเราเอง
.
เลิกนิสัยทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง เป็นหนังสือแปลญี่ปุ่น
โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นอดีตผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทไมโครซอฟท์
เขาเป็นคนคัดเลือกบุคลากรชั้นเลิศเข้ามาทำงานในบริษัทไอทียักษ์ใหญ่นี้
แต่ต่อมาก็ลาออกมาเปิดธุรกิจของตัวเอง เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาด้านพฤติกรรม
หนังสือเล่มนี้ก็เหมือนการเอาประสบการณ์การทำงานในไมโครซอฟท์มาผสมกับการทำธุรกิจการให้คำปรึกษาของผู้เขียน
แล้วมาต่อยอดเป็นเทคนิคน่าสนใจที่จะช่วยให้เราเป็นคนทำอะไรเสร็จได้ตามต้องการ
.
ตลอดเล่มหนังสือจะแนะนำตัวช่วยต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เรา
1. ลาออกจากการเริ่มต้นไม่ได้สักที
2. ลาออกจากการทำอะไรไม่ต่อเนื่อง
.
การเริ่มต้น และการทำอย่างต่อเนื่องคืออุปสรรคสำคัญ 2 ตัวที่ทำให้หลายคนกลายเป็นคนทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง
และทางเดียวที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้ง 2 ได้คือ ‘การใช้ตัวช่วย’
เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวจริง ๆ
.
สุดท้ายนี้ผู้เขียนเน้นย้ำตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาว่า เขาทำเทคนิคในหนังสือเล่มนี้อยู่เป็นประจำ และทำมันอย่างมีความสุขด้วยนะ
.
ผมขอเลือกเทคนิคการใช้ตัวช่วยเพื่อให้เราลาออกจากการคนทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ที่ชอบเป็นพิเศษมาฝากกัน 6 ข้อนะครับ
.
1) ไม่ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เราอยากชวนเพื่อนมานั่งกินอาหารด้วยกันที่บ้าน
แต่พอนึกถึงตอนที่ต้องเตรียมของ ออกไปซื้อวัตถุดิบ ทำอาหาร และกลับมาจัดโต๊ะ
เราก็คงจะเหนื่อย และไม่อยากทำ
.
วิธีแก้ไขเรื่องนี้ทำได้โดยการ ชวนเพื่อนมาทำกิจกรรมเหล่านั้นด้วยกัน
ตั้งแต่ ออกไปซื้อวัตถุดิบ ทำอาหาร จัดโต๊ะ และกินอาหารเย็นด้วยกัน
ซึ่งเพื่อนเองก็อาจสนุกไปด้วยเพราะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
.
ดังนั้นแล้วในสถานการณ์ที่เรารู้ว่ามีโอกาสเกิดความขี้เกียจได้มาก หรือมีความไม่อยากทำสูง
พยายามหลีกเลี่ยงการทำสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวคนเดียว
และลองใช้ตัวช่วยเรื่องเพื่อนมาช่วยกันทำสิ่งนั้นให้สำเร็จแทน
.
.
2) ให้คำสัญญา
ต่อเนื่องจากการชวนคนอื่นมาทำกิจกรรมร่วมกัน คือการให้พันธะสัญญากับสิ่งที่จะทำไปเลย
เช่น ถ้าเรานัดหมอไว้แล้ว ถึงจะขี้เกียจแค่ไหน แต่เราก็คงจะไม่เบี้ยวนัด
เพราะเรารู้ว่าอีกคนรอเจอเราอยู่
.
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะเรื่องสำคัญ แต่เราอาจบอกกับตัวเอง หรือบอกกับเพื่อนให้ชัดเจนไปเลยว่า
เราจะ “ทำสิ่งนี้ วันนี้ เวลานี้ ณ สถานที่แห่งนี้”
เพื่อสร้างเป็นพันธะสัญญาให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง
.
.
3) เขียนจดหมายถึงร่างกาย
หลายคนใช้ร่างกายอย่างหนักเกินไป จนลืมดูแล
กว่าจะรู้ตัวร่างกายตัวเองก็พังไปเสียแล้ว
.
ผู้เขียนจึงแนะนำง่าย ๆ ให้เราลองหันกลับมาดูแลร่างกายตัวเองบ้าง
วิธีหนึ่งที่แนะนำ คือการ “เขียนจดหมายขอบคุณร่างกาย”
ขอบคุณร่างกายที่ช่วยให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด
.
วิธีนี้จะช่วยให้เราหันกลับมาสนใจร่างกายตัวเองมากขึ้น
และเปลี่ยนความรู้สึกที่ว่า ร่างกายไม่ใช่ ‘ของตาย’ ของเรา
ถ้าเราไม่ดูแล ร่างกายก็คงจะทนทานการใช้งานหนักของเราไม่ไหวเหมือนกัน
และแน่นอนว่าถ้าเราหันมาดูแลร่างกายเราดีขึ้น เราก็จะทำงานได้ต่อเนื่องมากขึ้น
ประสิทธิภาพงานเราก็จะสูงขึ้นเอง
.
.
4) เมื่อเกิดความคิดสะกิดใจแล้ว อย่าไปทำอะไรผัดวันประกันพุ่ง
ถ้าเราทำสิ่งที่เรามีแรงบันดาลใจอยู่แล้ว เราจะทำสิ่ง ๆ นั้นได้สำเร็จง่ายขึ้น
แต่คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งไหนที่เรามีแรงบันดาลใจที่จะทำ
.
หนังสือแนะนำอย่างชัดเจนว่า แรงบันดาลใจของตัวเรา เกิดจากการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ เท่านั้น
ไม่สามารถเกิดขึ้นจากการอ่านหนังสือเฉย ๆ ได้
บางครั้ง พอเราทำสิ่งต่าง ๆ แล้วรู้สึกสนุก เราก็อาจจะเกิดความชอบหรือเกิดแรงบันดาลใจกับสิ่ง ๆ นั้นอยู่ลึก ๆ
.
ในเวลาว่าง ๆ ที่สมองเราคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
แรงบันดาลใจที่ซ่อนอยู่ ก็อาจปรากฎออกมาในรูปของ ‘ความคิดสะกิดใจ’
เช่น อยู่ ๆ ดีเราก็นึสงสัยถึงเรื่อง ๆ หนึ่ง จนต้องลองเสิร์ชกูเกิ้ลดู หรืออยู่ดี ๆ เราก็นึกอยากทำสิ่ง ๆ หนึ่งขึ้นมากระทันหัน
.
เคล็ดลับคือ ถ้าเกิดความคิดสะกิดใจแบบนี้ ให้เราลงมือทำในทันที
เพราะนั่นอาจหมายถึงการที่เรามีแรงบันดาลใจในการทำสิ่ง ๆ นั้นอยู่ลึก ๆ
นอกจากการจะได้เริ่มต้นแล้ว การทำสิ่งที่เรามีแรงบันดาลใจเป็นทุนเดิม จะช่วยให้เรามีโอกาสทำมันสำเร็จมากขึ้น
.
เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดความคิดสะกิดใจขึ้น จงลงมือทำทันที !
.
.
5) วิเคราะห์ความรู้สึกในแง่ลบ
เวลาเราเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ อาจเกิดความรู้สึกขึ้น 2 ประเภทที่เป็นความรู้สึกด้านลบ
คือ รู้สึกว่าเขาไม่ได้เก่งจริง อาจประสบความสำเร็จแค่ดวงเฉย ๆ
หรือ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่เราไม่ได้อย่างคนนั้นบ้าง
.
ความรู้สึกด้านลบเหล่านี้แท้จริงอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราอินกับเรื่อง ๆ นั้นมาก ๆ
เช่น ถ้าเราเห็นคนขึ้นบรรยายได้อย่างเพอร์เฟ็ค แล้วเกิดความรู้สึกทั้ง 2 ข้างต้น
นั่นก็อาจเป็นเพราะเราอินกับเรื่องการบรรยายมาก ๆ นั่นเอง
.
ดังนั้นการเกิดความรู้สึกด้านลบก็อาจเป็นเพราะ เรามีแรงบันดาลใจด้านนั้นอยู่ลึก ๆ และกำลังรอวันปลดปล่อยมันออกมาก็เป็นได้
ความรู้สึกด้านลบจึงเป็นตัวบ่งชี้ดี ๆ ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่
.
เพียงแต่เราต้องเริ่มจากการกำจัดความรู้สึกด้านลบที่กดทับเราอยู่ก่อน
แล้วมุ่งไปที่แรงบันดาลใจที่เรามี
ถ้าเราทำได้ เราก็จะเติบโต และทำอะไรก็ตามได้ดียิ่งขึ้น
.
.
6) พูดเจตจำนงในใจว่า “ทำ...ได้แล้ว + ขอบคุณ”
กาตั้งเจตจำนงก่อนเริ่มทำอะไร จะทำให้เราเห็นภาพสิ่งที่เราคาดหวังชัดเจนมากขึ้น
เราอาจลองพูดในใจดูว่า “ทำ...ได้แล้ว ขอบคุณมากเลยนะ”
เช่น ถ้าเราทำงานที่สัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจ
เราก็อาจลองพูดกับตัวเองว่า “ฉันหางานที่ได้สัมผัสถึงแรงบันดาลใจได้แล้ว ขอบคุณมากเลยนะ”
.
ตามหลักวิทยาศาสตร์ การประกาศเจตจำนงในใจเป็นการหลอกสมองว่า
สิ่งนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว
และถูกบันทึกลงในความทรงจำ
พอเราเริ่มทำจริง เราก็จะทำสิ่งนั้นได้ราบลื่นขึ้น
.
ผู้เขียนแนะนำว่าลองประกาศ ‘เจตจำนงของความสนุก’ ด
เช่น การประชุมวันนี้จะต้องสนุกแน่ ๆ เลย หรือ การเขียนแผนงานจะต้องสนุกแน่ ๆ เลย
วิธีนี้ช่วยให้เรารู้สึกสนุกตอนเริ่มประชุม หรือเริ่มเขียนแผนงานจริง ๆ
และความสนุกนี่เองจะช่วยทำให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ผลลัพธ์ตามที่หวังมากขึ้น
.
.
……………………………………………………………………………………………………………
ผู้เขียน: โทโยคาซึ สึรุตะ
ผู้แปล: กมลวรรณ เพ็ญอร่าม
จำนวนหน้า: 188 หน้า
สำนักพิมพ์: Shortcut
เดือนปีที่พิมพ์: 2/2020
แนวหนังสือ: พัฒนาตัวเอง
……………………………………………………………………………………………………………
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comments