รีวิว เทคนิคการอ่านให้เอามาใช้งานได้เลย
.
‘เทคนิคการอ่านแบบครบวงจร จากหนอนหนังสือผู้อ่านได้มากกว่าวันละ 20 เล่ม’
.
รีวิวสั้น ๆ
ชื่อของ Mentalist DaiGo น่าจะคุ้นหูใครหลายคนไปบ้างแล้ว เพราะเขาออกหนังสือมาแล้วหลายเล่ม
แต่การจะมีข้อมูลมาก ๆ จนเขียนหนังสือได้หลายเล่ม ส่วนหนึ่งก็เพราะ เขาอ่านเยอะนั่นเอง
ดูจากที่เขาเขียนไว้ครั้งแรกก็รู้สึกถึงความโม้นิด ๆ ที่บอกว่า อ่านได้มากกว่าวันละ 20 เล่ม
ย้ำว่า วันละ ! ไม่ใช่สัปดาห์ละ หรือเดือนละ
นับว่าสถิติการอ่านโหดมาก
ไม่รู้สมองและสายตาทำด้วยอะไร
แต่ที่รู้คือคนเขียนต้องขยันแบบโคตร ๆ แน่ ๆ
.
พออ่านจบ ก็พอเข้าใจมากขึ้นว่า เพราะวิธีแบบนี้นี่เองเขาเลยอ่านได้กว่าวันละ 20 เล่ม
เทคนิคพวกตั้งเป้าหมายก่อนอ่าน หรือการอ่านแบบสกิมมิ่ง ก็คงมีผลให้อ่านเร็วขึ้นจริง ๆ
แต่ถ้าวันละ 20 เล่ม ก็คงใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ดี
ต้องใจรักหนังสือ และต้องมีเวลาว่างมาก ๆ ด้วย (ฮา)
.
เล่มนี้เป็นหนังสือนำเสนอเทคนิคการอ่านแบบครบวงจรจากประสบการณ์ตรงของ Mentalist DaiGo
ครบวงจรหมายถึง เริ่มตั้งแต่ เตรียมตัวก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน และการนำความรู้หลังอ่านมาใช้
ความรู้สึกหลังอ่าน ก็ชอบอยู่ระดับนึงนะ
มีหลายเทคนิคที่น่าลองนำมาปรับใช้จริงดู
ด้วยความที่ตอนนี้สนใจเรื่องพวกเทคนิคการอ่านอยู่แล้ว เนื้อหาในเล่มนี้ก็ดูดึงดูดมากขึ้นอีก
.
ถามว่าเหมาะกับใครคงตอบว่า สำหรับคนที่มีปัญหากับการอ่านหนังสือ
อยากอ่านให้เร็วขึ้น อยากอ่านให้เข้าใจมากขึ้น อยากเอาเนื้อหาไปใช้ได้จริง
แต่ถ้าอ่านเพื่อผ่อนคลายเฉย ๆ ข้ามผ่านเล่มนี้ไปเลย
.
ความหนาก็กลาง ๆ ไม่มากเกินไป
เทคนิคไหนรู้แล้ว ก็อ่านสกิมมิ่ง แบบที่หนังสือแนะนำ
แปป ๆ ก็จบแล้ว
.
ส่วนสรุป
ขอเลือก 4 ประเด็นสำคัญที่จากหนังสือ เทคนิคการอ่านให้เอามาใช้งานได้เลย มาเล่าให้ฟังครับ
1) ความเข้าใจผิด 3 ประการที่มีต่อการอ่าน และวิธีแก้
ประการที่ 1: ยิ่งอ่านเร็ว ก็จะอ่านหนังสือได้เพิ่มขึ้น
การอ่านเร็วอาจทำให้เรา ‘รู้สึกว่าได้อ่าน’
แต่ความเข้าใจที่ได้อ่านแปรผกผันไปตามความเร็วที่อ่าน
.
คนที่อ่านเร็วได้ เพราะเขามียีนอ่านเร็วมาแต่กำเนิด
ดังนั้นนอกจากการฝึกอ่านเร็วจะทำได้ยากแล้ว (เปลี่ยนยีนไม่ได้ !)
ยังไม่ได้ผลอีกต่างหาก
.
เทคนิคที่เราควรใช้คือ ‘การอ่านแบบสกิมมิ่ง (skimming)’
ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ คือ ตั้งเป้าว่าเราอยากได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้
อ่านหน้าปกเพราะเป็นเหมือนสรุปใจความสำคัญ
อ่านสารบัญ และพุ่งตรงไปยังเรื่องที่เรายังไม่รู้ และอยากอ่าน
และลองเลือกอ่านบทใดบทหนึ่งในเล่มที่เราสนใจ อาจเลือกเปิดจากบทที่อยู่ตรงกลางเล่มเอา
.
นอกจากนี้แล้วการเลือกหนังสืออ่านยังมีส่วนสำคัญ ทำให้เราอ่านได้เร็วขึ้นด้วย
จากงานวิจัย เราควรอ่านหนังสือที่เราอ่านได้ลื่นไหล 80% และอ่านแล้วติดขัด 20%
เพราะเป็นหนังสือที่มีระดับความยากเหมาสมและยังพอให้เรารักษาแรงจูงใจเอาไว้ได้
.
ส่วนถ้าเล่มไหนยากเกินไป หรือง่ายเกินไป เราก็ต้องกล้าที่จะโยนทิ้งไป
การเลือกหนังสือที่มีความยากในระดับเหมาะสมยังช่วยให้ปู ‘ความรู้พื้นฐาน’
ที่จะทำให้อ่านหนังสือแนวนั้นในเล่มที่ยากขึ้นได้เข้าใจดีขึ้นด้วย
.
ประการที่ 2: อ่านเยอะ ได้ข้อมูลเยอะ
การอ่านเยอะเกินไป แต่ไม่รู้จะเอาข้อมูลไปใช้ทำอะไรก็อาจไม่เกิดประโยชน์
ในทางกลับกันการอ่านข้อมูลจำนวนไม่มาก แต่เป็นเรื่องที่เราอยากใช้จริง ๆ
อาจมีประโยชน์มากกว่า
.
ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนอ่านจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
เราไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าว่าจะอ่านให้ได้เยอะ ๆ
แต่ให้ตั้งเป้าว่าเราจะอ่านไปเพื่ออะไร
.
แล้วสุดท้ายข้อมูลที่ได้อาจเป็นประโยชน์กับเรา
หรือเป็นข้อมูลสำคัญที่เอาไว้เชื่อมโยงกับข้อมูลชุดอื่น ๆ ในสมองเราได้
โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากหนังสือหลากหลายประเภท
.
ประการที่ 3: เลือกอ่านแต่หนังสือดี ๆ ที่มีคนแนะนำ
คุณค่าของหนังสือแต่ละเล่มขึ้นกับว่าแต่ละคนจะให้คุณค่านั้นยังไง
และนำความรู้ที่ได้ไปใช้ยังไงต่อ
ซึ่งส่วนใหญ่ทั้งความชอบและการนำข้อมูลไปใช้ของแต่ละคน มันแตกต่างกันอยู่แล้ว
การขอคำแนะนำเพื่ออ่านแต่หนังสือที่คนอื่นบอกว่าดี จึงอาจไม่ใช่คำตอบ
.
นอกจากนี้แล้ว การอ่านหนังสือที่ไม่ได้เรื่องก็อาจมีข้อดีได้เช่นกัน
เพราะเราอาจนำข้อมูลจากหนังสือที่ไม่ได้เรื่องมาต่อยอดได้
.
เช่น ถ้าเป็นหนังสือ howto ที่ไม่มีผลวิจัยรองรับ
เราก็อาจลองเขียนคำวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น และถกกับเพื่อนดูว่า วิธีที่ผู้เขียนนำสเนอ เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหร
หรือเราต้องไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มมาเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปในหนังสือเล่มนั้น
.
2) 3 วิธีเตรียมตัวก่อนอ่านที่ช่วยให้อ่านได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีที่ 1: ใช้แผนที่ความคิด (mind map)
ลองเขียนเหตุผล ประโยชน์ที่จะได้รับ และความคาดหวังจากหนังสือ 1 เล่มมาอย่างละ 3 ข้อ แล้วโยงกันเป็น mind map
เพื่อตั้งเป็นเป้าหมายและรักษาแรงจูงใจให้อ่านให้จบ
วันไหนท้อ หรือขี้เกียจอ่าน ก็ให้กลับมาดู mind map ที่ว่านี้
.
3 คำถามง่าย ๆ ที่อาจช่วยกระตุ้นแรงจูงใจในการอ่าน
1. ทำไมถึงอยากอ่านหนังสือเล่มนี้
2. อยากได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้
3. อ่านจบแล้วคาดหวังว่าตัวเองจะเป็นยังไง
.
.
วิธีที่ 2: ช่องว่างของความอยากรู้อยากเห็น (curiosity gap)
หากระดาษมา 1 แผ่น ลองเขียนสิ่งที่ตัวเองรู้ไว้ด้านซ้าย
และเขียนสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้และกำลังอยากรู้ไว้ด้วยขวา
แล้วลองจับคู่เข้าด้วยกัน เราจะเจอช่องว่างของความอยากรู้อยากเห็น
ซึ่งจะช่วยให้เราอยากอ่านหนังสือเล่มนั้นมากขึ้น เพื่อหาคำตอบ
.
ลองจินตนาการดูว่า เรากำลังสนทนากับผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น
และเราถามคำถามที่เราอยากรู้ให้ผู้เขียนเป็นคนตอบ
.
เทคนิคการจินตนาการจะกระตุ้นความรู้สึก และทำให้เราจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้นด้วย
.
วิธีที่ 3: ทดสอบตัวเอง (self-test)
หาปัญหากับตัวเองว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราอ่านหนังสือไม่จบ
อาจเป็นเพราะ เรามีแรงจูงใจไม่พอ มีเวลาไม่พอ อ่านคำศัพท์ไม่รู้เรื่อง โฟกัสไม่ถูกจุด
ถ้าเราได้ลองวิเคราะห์ปัญหาแล้ว เราก็คงจะหาวิธีแก้ปัญหาได้ถูกจุดมากขึ้น
.
3) 5 เคล็ดลับการอ่านที่ช่วยให้เข้าใจมากขึ้น
เคล็ดลับที่ 1: อ่านแบบคาดคะแน
เริ่มจากตั้งเป้าหมาย และลองคาดคะแนดูว่ามีเรื่องอะไรที่ผู้เขียนจะนำเสนอ
ไม่ต้องอ่านเรียงจากต้นจนจบ แต่ให้เลือกอ่านจากบทที่ตัวเองสนใจ
.
เคล็ดลับที่ 2: อ่านแบบเห็นภาพ
เปลี่ยนตัวหนังสือให้เป็นภาพ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจและจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น
พยายามแต่งเรื่องเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
อาจลองใช้เทคนิค mind map มาช่วย
หรือลองทำในสิ่งที่ชอบ 5-10 นาทีก่อนเริ่มอ่าน จะช่วยให้จดจ่อได้ดีขึ้น
.
เคล็ดลับที่ 3: อ่านแบบเชื่อมโยง
ลองเอาเนื้อหาที่อ่านมาเชื่อมโยงกับเนื้อหาจากเล่มอื่น ๆ ที่เคยอ่านมาก่อน เชื่อมโยงกับประสบการณ์ตัวเอง และเชื่อมโยงกับโลกรอบ ๆ ตัว
จะเป็นการช่วยเพิ่มทั้งความจำและความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่าน
.
เคล็ดลับที่ 4: อ่านแบบจับประเด็น
โดยการสรุปเนื้อหาที่อ่านเป็นบท ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านครั้งเดียวหมด
แล้วลองตีวงเนื้อหาให้แคบลงด้วยการใช้คำพูดของตัวเอง
จะช่วยเชื่อมโยงเนื้อหาที่เราอ่านกับเนื้อหาที่เป็นความรู้และประสบการณ์ของเรา จนเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น
.
เคล็ดลับที่ 5: อ่านแบบตั้งคำถาม
ระหว่างอ่าน ให้ตั้งคำถามไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และยังทำให้เราตั้งใจหาคำตอบจากหนังสืออีกด้วย
.
4) 3 เทคนิคที่ทำให้ความรู้อยู่ติดตัว
เป็น 3 เทคนิคที่จะช่วยให้เราได้เอาข้อมูลที่อ่านไปใช้ และทำให้ข้อมูลติดตัวเราไปนาน ๆ
.
เทคนิคที่ 1: จับใจคนฟังด้วยศัพท์เทคนิค
ลองหาศัพท์สวย ๆ มากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้ฟัง
และอธิบายในภาษาของเรา ให้เขาเข้าใจ
เป็นการถ่ายทอดข้อมูลให้คนอื่น แต่ก็ช่วยให้เราจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้นด้วย
.
เทคนิคที่ 2: ใช้เทคนิค SPICE เพิ่มทักษะการอธิบาย
ทำให้ง่าย - Simplified (S)
ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าได้ประโยชน์ - Perceived self-interest (P)
สร้างความประหลาดใจ - Incongruity (I)
ความมั่นใจ - Confidence ( C)
ความรู้สึกร่วม – Empathy ( E)
.
ดึงสิ่งที่เราได้จากการอ่าน เอามาผสมกับเทคนิค SPICE เพื่อให้เราโน้มน้าวใจผู้ฟังได้มากขึ้น
.
เทคนิคที่ 3: อ่านหนังสือที่ให้ข้อคิด กลุ่มหนังสือคลาสสิค และหนังสือวิทยาศาสตร์
ถ้าใครอ่านหนังสือพวก howto พัฒนาตัวเอง มาระดับหนึ่งแล้วจะค้นพบความซ้ำซากจำเจ
เพราะหนังสือหลายเล่มเอาเนื้อหาจากหนังสือคลาสสิคเช่น นโปเลียน ฮิลล์ หรือ เดล คาร์เนกี
มาสกัด ย่อย และเอามาผสมกับเล่มอื่น ๆ แล้วสุดท้ายหาร 3 จนออกมาเป็น howto เล่มใหม่
.
ดังนั้นแนะนำว่า ให้เราลองอ่านหนังสือคลาสสิคที่เป็นต้นตำหรับความคิดเหล่านั้นเลย
แล้วอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ที่เป็นข้อมูลงานวิจัยใหม่ ๆ เข้าไปสนับสนุนจะดีกว่า
.
......................................................................................................
ผู้เขียน: Mentalist DaiGo
ผู้แปล: ธาลินี โพธิ์อุบล
จำนวนหน้า: 180 หน้า
สำนักพิมพ์: อมรินทร์ How To, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 1/2022
แนวหนังสือ: พัฒนาตัวเอง
......................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
Comments