top of page
  • Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว เก่งด้วยศาสตร์ ชนะขาดด้วยศิลป์



สรุป 9 ข้อคิดสำคัญในการทำงานด้วยศาสตร์และศิลป์

จากหนังสือ เก่งด้วยศาสตร์ ชนะขาดด้วยศิลป์

.

.

1) เข้าใจความต่างของ “ศาสตร์” “ศิลป์” และ “คราฟต์”

“ศาสตร์” คือ การคิดวิเคราะห์และประเมินอย่างเป็นระบบ ใช้ตรรกะแหละเหตุผล

“ศิลป์” คือ การจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้สัญชาตญาณ และความรู้สึก

“คราฟต์” คือ การทำงานด้วยความเชี่ยวชาญ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์และความรู้

.

ถ้าเราใช้ “ศาสตร์” ทำงานเพียงอย่างเดียว เราจะสนใจแต่ตัวเลข และปฏิเสธสิ่งอื่นที่พิสูจน์ไม่ได้

ถ้าเราใช้ “ศิลป์” ทำงานเพียงอย่างเดียว เราจะอยู่ในโลกของความเพ้อฝัน

ถ้าเราใช้ “คราฟต์” ทำงานเพียงอย่างเดียว เราจะใช้แต่ประสบการณ์เดิม ๆ จนไม่สามารถคิดสิ่งใหม่ได้

.

ดังนั้นแล้ว เราจึงต้องใช้ทั้งสามอย่างให้ผสมผสานกันอย่างลงตัว และสมดุล

.

.

2) การตัดสินใจที่ดีที่สุดอาจมาจาก “ศิลป์” แล้วใช้ “ศาสตร์” กับ “คราฟต์” สนับสนุน

“ศาสตร์” คือ การตัดสินใจตามการวิเคราะห์ชข้อมูลต่าง ๆ

“คราฟต์” คือ การตัดสินใจจากประสบการณ์ และความล้มเหลวในอดีต

“ศิลป์” คือการตัดสินใจตามความรู้สึก และสัญชาตญาณ

.

ตามตัวอย่างในโลกธุรกิจ เราอาจเห็นว่าผู้นำสูงสุดใช้การตัดสินใจที่นำด้วย “ศิลป์”

หรือตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกของตัวเองนำ และอาจอธิบายออกมาให้เป็นเหตุผลยาก

.

เพราะการตัดสินใจสูงสุดด้วยศิลป์ มักจะก่อให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องการศาสตร์และศิลป์เป็นปีกซ้ายขวาคอยสนับสนุน

เพื่อคอยวางแผนและตรวจสอบให้ไอเดียที่เสนอไป เกิดขึ้นได้จริง

.

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สองพี่น้องที่ก่อตั้ง วอลต์ ดิสนีย์

คนหนึ่งคิดค้นการ์ตูนและเรื่องเล่าสนุก ๆ อีกคนคอยซัพพอร์ตเรื่องการเงินและกฎหมาย

หรือ สตีฟ จ๊อปส์ และจอห์น สกัลลีย์ ที่คนนึงคอยครีเอทไอเดียใหม่ ๆ ในขณะที่อีกคนช่วยเรื่องการบริหารองค์กรให้เติบโต

.

.

3) ถึงจะไม่ได้มีคนศิลป์เป็นผู้นำสูงสุด แต่ก็ควรมอบอำนาจให้เหล่าครีเอทีฟ ได้ทำงานอย่างเต็มที่

ในหลายองค์กร ครีเอทีฟฝั่งศิลป์ถูกกดทับ และถูกดูแคลนจากฝ่ายอื่น ๆ

สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อทั้งบริษัท เพราะบริษัทจะไม่มีงานสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ออกมาเลย

.

การบริหารรวมถึงการวางโครงสร้างองค์กรที่ดีจึงต้องมีการมอบอำนาจโดยตรงให้คนสายศิลป์ ให้ไปครีเอทงานใหม่ ๆ

และป้องกันไม่ให้ฝ่ายศิลป์ถูกดูแคลนจากฝ่ายศาสตร์ และคราฟต์ได้

.

.

4) ใช้ “เซ้นส์” ของเราในการตัดสินใจ

จากการเล่นหมากรุกของนักเล่นระดับโลก สิ่งที่่ต่างกันของแชมป์หมากรุก กับนักเล่นมือใหม่ คือการใช้สัญชาตญาณ หรือ “เซ้นส์” ตัดสินการเดินหมากในแต่ละตา

.

จริง ๆ แล้วสุดท้ายเราอาจใช้เซ้นส์ในการตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่เราคิด

เช่น ตัดสินใจว่า ชอบหรือไม่ สนุกหรือไม่ ดีหรือไม่ หลังจากได้ลองทำสิ่งต่าง ๆ

สิ่งนี้เองที่เราเรียกว่า “เซ้นส์” หรือการใช้ศิลป์

ซึ่งอาจช่วยให้เราตัดสินใจได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด

.

.

5) เพราะทุกคนอยากเป็นตัวของตัวเอง ศิลป์จึงสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในโลกที่หมุนเร็ว สังคมกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคที่การบริโภคแสดงถึงตัวตนของแต่ละคน

สินค้าและบริการจึงควรทำมาให้ตอบโจทย์รสนิยมส่วนบุคคลด้วยเชนกัน

.

การตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้จึงต้องอาศัยการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้า

ซึ่งเป็นงานฝั่งศิลป์ เช่น ทำไงให้คนรู้สึกชอบสินค้าชิ้นนี้ ใช้แล้วอยากบอกต่อ หรืออยากซื้อสินค้าชิ้นนี้ไปอวดเพื่อน

ดังนั้นบริษัทไหนที่ยังยึดอยู่แต่การตัดสินใจด้วยศาสตร์ หรือเหตุและผล

ก็อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้

.

.

6) มองให้ทะลุกฎเกณฑ์ของบริษัท และใช้เซ้นส์ของตัวเองให้มากขึ้น เพราะหลายครั้งที่กฎเกณฑ์ในบริษัทก็เปลี่ยนตามโลกไม่ทัน

แน่นอนว่าการทำงานในบริษัท ยังไงเราก็ต้องอยู่ภายใต้กฎที่ยอมรับร่วมกัน

แต่เราต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกฎบริษัทบีบบังคับให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น

เราต้องเข้าใจมันให้ดีพอจนไม่ทำผิด

.

แต่เราอาจต้องใช้เซ้นส์ของเราเพิ่มเติมในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน

เพราะหลายครั้งกฎบริษัท หรือแม้แต่กฎหมายก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นไกด์ไลน์ในการแนะนำให้เราตัดสินใจอย่างเหมาะสม

.

.

7) อย่าตีค่าตัวเองด้วยมุมมองแบบศาสตร์เท่านั้น แต่ให้นำอารมณ์ศิลป์เข้าไปในเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตด้วย

เด็กเรียนเก่งหลายคนมักจะตกม้าตายตอนทำงาน เพราะคิดว่าโลกชีวิตจริง ก็เป็นเหมือนเกมที่ต้องชนะไปทีละด่าน

เช่นเดียวกับตอนเรียนในโรงเรียน ที่ต้องสอบให้ได้คะแนนดี ๆ เพื่อได้เกรดดี ๆ เอาไปยื่นเข้ามหาลัย และทำเกรดดี ๆ ต่อไป เพื่อเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ .

การทำแบบนั้นไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง เพราะการทำงานและชีวิตของเราเองซับซ้อนกว่านั้นมาก

คำแนะนำง่าย ๆ สำหรับเรื่องนี้คือการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะให้มากขึ้น

อย่ามองชีวิตในมิติเดียว แบบการใช้เพียงศาสตร์

ลองมองหาเรื่องสนุกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ที่ช่วยให้ชีวิตมีสีสัน

.

.

8) นำเซ้นส์ความดีงามมาใช้บ้าง อย่าทำตามคำสั่งโดยไร้ความรู้สึก

เรื่องนี้มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ที่คนจำนวนหนึ่งทำเรื่องชั่วช้าและเหี้ยมโหด เพียงเพราะทำตามคำสั่ง

พวกเขาปิดกั้นเซ้นความดีงามของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างไม่มีหลักการ

.

เราจึงต้องตระหนักเรื่องนี้ไว้ให้ดี การเป็นส่วนหนึ่งของระบบเป็นสิ่งสำคัญ

แต่เราก็ไม่ควรไหลไปตามระบบทุกอย่าง เราควรใช้ชีวิตอย่างหลักการและยึดมั่นในหลักการของตัวเองอย่างแนบแน่น

.

.

9) 3 วิธีขัดเกลาการใช้เซ้นส์ และศิลป์

1. ดูภาพวาด ดูงานศิลปะ เพื่อฝึกทักษะการสังเกต

ลองนึกถึงแพทย์ที่สามารถสังเกตรายละเอียดเล็ก ๆ จากการพูดคุยกับคนไข้ ทำให้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

เรื่องนี้แม้แต่ AI ก็ยังทำได้ไม่แม่นยำนัก

.

2. อ่านปรัชญา ทำความเข้าใจกับเนื้อหา ขั้นตอนการคิดของนักปรัชญาแต่ละคน และท่าทีของพวกเขา

3. อ่านวรรณกรรม และบทกวี เสริมสร้างจินตนาการ

.

.

.

รีวิวหลังอ่านสั้น ๆ

เป็นหนังสือที่ตอกย้ำความสำคัญของ“ศิลป์” ในการทำงานและการบริหารจัดการได้ดีมาก

โดยเฉพาะในสังคมญี่ปุ่นที่คนส่วนใหญ่ใช้หลักเหตุผลเป็นส่วนประกอบหลักในการตัดสินใจ

รวมถึงให้คำความสำคัญกับความรู้ความเชี่ยวชาญจนอาจมากเกินไป

.

หนังสือเล่มนี้ แบ่งวิธีทำงานและตัดสินใจเป็น 3 แบบหลักคือ ศาสตร์ศิลป์และคราฟต์ตามที่สรุปไว้

และเน้นย้ำความสำคัญถึงการที่คนญี่ปุ่นใช้ศิลป์น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับศาสตร์และคราฟต์

.

เดี๋ยวนี้เราอาจเห็นหนังสือแนวนี้เขียนโดยคนญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะกระแสเรื่อง AI เข้ามาทดแทนแรงงานและวิธีการทำงานที่เปลี่ยนไปจากการระบาดของCOVID-19

ซึ่งส่วนตัวคิดว่า เหมาะมากกับบริบทสังคมการทำงานของญี่ปุ่น

.

โลกสมัยใหม่ มีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆที่เราจะต้องคิดนอกกรอบและเลิกยึดติดกับวิธีคิดแบบเดิมๆ

เข้าใจว่าการรักษามาตรฐานและการรักษาระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ

แต่ในโลกยุคนี้ สิ่งเหล่านี้อาจไม่เพียงพอให้ประเทศแข่งขันได้ถ้าขาดความคิดสร้างสรรค์

.

คอนเซ็ปต์หนังสือเข้าใจง่ายอ่านเพลินๆสนุกๆ

มีตัวอย่างประกอบตลอดเล่ม

ใครสนใจแนวคิดเรื่องความคิดสร้างสรรค์จากคนญี่ปุ่นเล่มนี้เหมาะที่สุดเล่มหนึ่งเลยครับ

.

.

............................................................................................

ผู้เขียน: ยามางูจิ ชู

ผู้แปล: ฉัตรขวัญ อดิศัย

จำนวหน้า: 208 หน้า

สำนักพิมพ์: บิงโก, สนพ.

เดือนปีที่พิมพ์: 2022

............................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #เก่งด้วยศาสตร์ชนะขาดด้วยศิลป์



323 views0 comments
Post: Blog2_Post
bottom of page