รีวิว อ่านงบการเงินด้วยปากกา 3 สี
.
‘เรียนรู้วิชาบัญชี 101 ด้วยปากกา 3 สี’
.
การอ่านงบการเงิน น่าจะเป็นเรื่องชวนปวดหัวของใครหลาย ๆ คน
แต่น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนอยากเรียนรู้มานาน
เพราะการอ่านงบการเงินเป็น นับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายอาชีพ
ตั้งแต่ ช่วยนักลงทุนวิเคราะห์ธุรกิจว่าน่าลงทุนหรือเปล่า
ช่วยผู้บริหารดูผลกำไรจากการดำเนินงาน และอัตรากำไรต่อการลงทุนในสินทรัพย์
หรือแม้แต่กับเราทุก ๆ คนที่ต้องลงทุนในหุ้น เพื่อต่อยอดเงินออมในบัญชี
.
การอ่านงบการเงิน ก็เหมือนการขี่จักรยาน
ตอนแรก ๆ จะรู้สึกยาก ทรงตัวไม่อยู่
แต่พอทำไปนาน ๆ เข้า ประสบการณ์ก็จะช่วยให้เราเก่งขึ้น
การอ่านงบการเงินเองก็เช่นกัน ช่วงแรกจะรู้สึกงุนงง สับสน
แต่พอจับจุดได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นในพริบตา
และต่อไปก็คงอ่านงบการเงินได้คล่อง สบาย ๆ
.
หนังสือเล่มนี้ หยิบเรื่องการใช้ ‘สี 3 สี’
มาช่วยให้เราฝึกอ่านงบการเงินได้สะดวกขึ้น
โดยเล่มนี้นับว่าเป็นขั้นเบสิคมาก ๆ สำหรับคนทั่วไปที่เพิ่งเริ่มต้นทุกคน
น่าจะอารมณ์คล้าย ๆ การลงเรียนวิชาบัญชี 101 ในมหาลัย
.
หนังสือสอนวิธีอ่าน 3 งบการเงินสำคัญในบริษัท คือ
- งบดุล (Balance Sheet: BS)
- งบกำไรขาดทุน (Profit-Loss Statement: PL)
- งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement: CF)
.
ซึ่งงบทั้ง 3 มีความเกี่ยวโยงกันแบบแนบแน่น
และเราจำเป็นต้องอ่านเป็นทั้ง 3 งบ เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานการดำเนินการของธุรกิจอย่างครบถ้วน
.
หลังอ่านบอกได้คำเดียวว่า หนังสือเขียนได้อ่านง่ายมาก
อธิบายละเอียดยิบ และเป็นขั้นเป็นตอน
ใครที่ไม่เคยเรียนบัญชีมา ก็เข้าใจได้ไม่ยาก
.
ชอบที่หนังสือใช้ตัวอย่างประกอบเป็น การเปิดร้านพิซซ่า 1 ร้าน
ที่จะต้องมีส่วนประกอบตั้งแต่ ค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างเชฟ ค่าลงทุนซื้อเตาถ่าน เงินลงทุนในสินทรัพย์ส่วนอื่น ๆ เงินกู้ยืมจากธนาคาร เงินส่วนของนักลงทุน กำไรสะสมสุทธิ
.
หนังสืออธิบายออกมาได้ชัดเจนมาก
ส่วนประกอบต่าง ๆ ถูกนำไปจัดวางในงบการเงินทั้ง 3 อย่างลงตัว
การใช้สีช่วยให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นมาก
นอกจากนี้ การจัดวางตำแหน่ง การใช้ตัวอักษร A B C
และภาพประกอบที่เรียงเป็นขั้นตอน ทำให้คนอ่าน อ่านตามได้ง่าย
.
สรุปสั้น ๆ คือเป็นหนังสือที่ทุกคนที่ไม่เคยเรียนบัญชีมาก่อนควรอ่าน
หรือแม้แต่คนที่เคยเรียนบัญชีมาแล้ว แต่ลืมไปหมดแล้ว
มาอ่านเล่มนี้ก็สามารถนำเทคนิคไปใช้ช่วยอ่านงบการเงินได้เหมือนกัน
.
ผู้เขียนเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และเป็นที่ปรึกษาบริษัทขนาดเล็กในญี่ปุ่น
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่ รวบรวมเทคนิคสำหรับคนอยากอ่านบัญชีเป็น
โดยการใช้ปากกา 3 สี เกิดจากการลองผิดลองถูกของตัวผู้เขียนเอง
.
สิ่งที่ส่วนตัวมองว่า เป็นข้อเสียของหนังสือคือ
ตัวอย่างที่หนังสือใช้ บริษัทที่ยกมาเป็นบริษัทในญี่ปุ่นทั้งหมด
พอการวิเคราะห์งบการเงินเกี่ยวข้องกับความเข้าใจในธุรกิจนั้น ๆ ขั้นพื้นฐาน
ถ้าคนที่ไม่รู้จักบริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้น อ่านแล้วอาจงงได้ ทำความเข้าใจตามยากหน่อย
.
อีกอย่างคือเรื่องการใช้ทีมเบสบอลมาเป็นตัวอย่าง
ซึ่งน่าจะมาจากความชอบส่วนตัวของผู้เขียน
แต่เนื่องจากทีมเบสบอลไม่ได้เกี่ยวอะไรโดยตรงกับงบการเงินอยู่แล้ว
เลยเข้าใจยากขึ้นไปอีกขั้น
.
อย่างไรก็ตามนับเป็นหนังสือน่าสนใจสำหรับมือใหม่หัดอ่านงบการเงินทุก ๆ คนครับ
.
ส่วนสรุปค่อนข้างทำออกมาได้ยากมาก เพราะจำเป็นต้องใช้รูปภาพประกอบในการอธิบาย
สรุปส่วนนี้จึงเน้นที่หลักการสำคัญ 5 อย่าง ที่คนอ่านงบการเงินต้องเข้าใจคร่าว ๆ นะครับ
.
1) กฏเหล็ก 4 ข้อของงบดุล
งบดุลคือ งบที่แสดงให้เห็นถึง สินทรัพย์ เงินยืม และทุน ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง
โดย เราอาจแบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วน A อยู่ด้านซ้าย = สินทรัพย์
ส่วน B อยู่ด้านขวาบน = เงินยืม
ส่วน C อยู่ด้านขวาล่าง = ทุน
.
กฎข้อที่ 1 คือ A = B+C
สินทรัพย์ = เงินยืม + ทุน
ทั้งด้านซ้ายและขวาจะต้องสมดุลกันเสมอ
.
กฎข้อที่ 2 คือ สินทรัพย์ (A) คือ สิ่งที่ได้จากเงิน
หรือได้มาจาก ส่วน B + C นั่นหมายถึงสิ่งของรวมถึงเงินที่เหลืออยู่
.
กฎข้อที่ 3 คือ เงินยืม (B) คือ เงินที่ต้องคืน
ส่วนใหญ่คือ เงินกู้ธนาคารเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ
.
กฎข้อที่ 4 คือ ทุน (C) คือ เงินที่ไม่ต้องคืน
รวมถึงเงินในการลงทุนก้อนแรก และกำไรสะสม
.
.
2) กฎ ของงบกำไร - ขาดทุน
กฎเพียงข้อเดียวของงบกำไร - ขาดทุน คือ
กำไร คือยอดที่เหลืออยู่จากการนำรายได้มาลบด้วยค่าใช้จ่าย
.
การคำนวณกำไรในงบกำไรขาดทุน อาจแบ่งออกเป็น 5 ขั้น
ตั้งแต่
ขั้นที่ 1: กำไรขั้นต้น
กำไรขั้นต้น หรือ กำไรหยาบ = รายได้/ยอดขาย - ค่าวัตถุดิบสินค้า
.
ขั้นที่ 2: กำไรจากการดำเนินงาน
กำไรจากการดำเนินงาน = กำไรขั้นต้น - ค่าใช้จ่ายในการขาย/บริหาร
.
ขั้นที่ 3: กำไรจากกิจกรรมตามปกติ
กำไรจากกิจกรรมตามปกติ = กำไรขั้นต้น + กำไรอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลัก
.
ซึ่งกำไรอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลัก เช่น การที่บริษัทนำสินทรัพย์ไปลงทุนหุ้น และได้รับปันผล
หรือ การที่บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้
.
ในทางทฤษฎี กำไรจากกิจกรรมตามปกติ อาจมากกว่า หรือน้อยกว่า กำไรจากการดำเนินงาน ได้
.
ขั้นที่ 4: กำไรก่อนหักภาษีเงินได้
กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ = กำไรจากกิจกรรมตามปกติ + กำไร/ขาดทุนพิเศษ
.
กำไร/ขาดทุนพิเศษ เป็นเรื่องที่นาน ๆ จะเกิดสักครั้ง
เช่น การที่บริษัทนำที่ดินและอาคารที่ครอบครองไปขาย หรือการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ
.
ขั้นที่ 5: กำไรสุทธิ
กำไรสุทธิ = กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ - ภาษีเงินได้นิติบุคคล
หรือก็คือ
กำไรสุทธิ =กำไรที่เหลืออยู่หลังจากนำรายได้มาหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบริษัทในรอบ 1 ปี
.
3) รู้จักค่าเสื่อมราคา
ค่าเสื่อมราคา คือ การลดราคาของสินทรัพย์ถาวร
เช่น เครื่องจักร อาคาร หรือ ม้าแข่งพันธุ์ดี
.
ข้อดีของค่าเสื่อมราคา คือการป้องกันความผันผวนของกำไร ที่จะทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ
เช่น ถ้าม้าพันธุ์ดี สามารถนำมาแข่งได้ 4 ปี
ถ้าปีที่ 4 ต้องขายสินทรัพย์นี้ออกไป กำไรบริษัทก็จะลดฮวบฮาบ
นักลงทุนก็จะขาดความมั่นใจ
การคิดให้ม้าค่อย ๆ เสื่อมราคาในแต่ละปี จะช่วยให้กำไรไม่ผันผวนมากนัก
.
แต่ต้องเน้นย้ำว่า ค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
.
4) รู้จักงบกระแสเงินสด 3 ประเภท
งบประแสเงินสดเป็นงบที่เอาไว้ช่ายดูสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท
ช่วยให้ดูว่าบริษัทมีเงินสดพอที่ดำเนินธุรกิจต่อหรือเปล่า
และทำให้เห็นชัดเจนว่า ธุรกิจมีเงินไหลเข้าและไหลออกทางไหนและอย่างไรบ้าง
.
1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน
เงินที่ได้มาจากการดำเนินธุรกิจหลัก และจ่ายออกไปเพื่อการดำเนินธุรกิจหลัก
.
มักจะอยู่ในรูป สินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน
.
โดยทั่วไปควรจะเป็น บวก อยู่เสมอ
เพราะหมายถึงรายได้จากการขายสินค้า/บริการ มากกว่าต้นทุน และค่าใช้จ่าย
.
และถ้ากระแสเงินสดตัวนี้ติดลบติดต่อกันหลายปี
ก็จะค่อนข้างอันตราย
.
2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน
เงินที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตั้งแต่ เครื่องจักร ที่ดิน อาคาร
และเงินที่ได้จากการขายสิ่งเหล่านั้น
.
โดยทั่วไป อาจเป็นลบได้
เพราะบริษัทอาจนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ
.
3.กระแสเงินสดจากกิจกรรมการหาเงิน
เงินที่บริษัทได้มาตอนหาเงินทุน หรือเงินที่จ่ายไปตอนชำระหนี้
.
โดยทั่วไป อาจเป็นลบได้
เพราะนั่นหมายถึงบริษัทมีเงินในการชำระหนี้มากกว่าเงินที่กู้เข้ามา
.
.
5) 3 ประเด็นหลักในการวิเคราะห์งบการเงิน
.
ประเด็นที่ 1: วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร
เป็นตัวชี้วัดของนักลงทุน ที่จะบอกว่า ถ้าลงทุนกับบริษัทนี้ จะได้กำไรเท่าไหร่
.
โดยส่วนใหญ่จะดูจากค่า ROE (Return on Equity)
ซึ่งคือ กำไรสุทธิ หารด้วย เงินทุนส่วนของเจ้าของทุน
.
.
ประเด็นที่ 2: วิเคราะห์ความปลอดภัย
เป็นตัวชี้วัดของธนาคารหรือผู้ที่ต้องการปล่อยสินเชื่อ
เพื่อดูว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้มากน้อยแค่ไหรน
.
ตัวชี้วัด คือ อัตราส่วนเงินทุนส่วนของเจ้าของ
ซึ่งเท่ากับ เงินทุนส่วนของเจ้าของทุน หารด้วย สินทรัพย์รวมทั้งหมด (เงินทุนส่วนของเจ้าของ + เงินที่ต้องคืน)
.
.
ประเด็นที่ 3: วิเคราะห์ประสิทธิภาพ
เป็นตัวชี้วัดที่ผู้บริหารมักดู เพื่อตัดสินว่า บริษัทนำสินทรัพย์ไปใช้อย่างให้เกิดประโยชน์และเพิ่มรายได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
.
ซึ่งดูจาก อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม
ซึ่งเท่ากับ รายได้ หารด้วย สินทรัพย์รวม
.
.
กล่าวโดยสรุปหลักการอ่านงบการเงินยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก
ใครสนใจต้องลองไปซื้ออ่านกันดูอีกทีครับ
.
.
.........................................................................................................................
ผู้เขียน: คินจิ โยะชิดะ
ผู้แปล: ทินภาส พาหะนิชย์
จำนวนหน้า: 240 หน้า
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.
.........................................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
.
.
Commentaires