8 ข้อคิดชีวิต ที่เกิดขึ้นเมื่อตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่ง
จากหนังสือ สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อฉันลองตื่นก่อนโลก
.
1) ตื่นเช้าเพื่อพักผ่อน ไม่ใช่เพื่อเร่งชีวิต
ช่วงเช้าคือ เวลาในการพักผ่อน ไม่ใช่ต้องตื่นมาเร่งใช้ชีวิตอย่างกระตือรือร้นแต่เช้า
หลายครั้งเวลาที่เราเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตมากเกินไป
เราเพียงแค่ต้องตื่นเช้ามาจิบชาอุ่น ฟังเพลงสบาย ๆ ท่ามกลางความเงียบยามเช้าตรู่
แค่นี้ก็ช่วยให้เราได้ชาร์จพลังแล้ว
.
หลายคนอาจมีวิธีชาร์จพลังเป็นของตัวเอง
บางคนอาจใช้การไปเที่ยวในที่ไกล ๆ
แต่อีกหลายคนการไปเที่ยวที่ไกล ๆ ก็อาจจะเป็นการใช้พลังงานมากเกินไป
เพราะต้องวางแผน หาสถานที่เที่ยว หาร้านอาหาร และหาที่พักราคาถูก
.
หลายคนจึงชอบการนั่งเฉย ๆ มากกว่า
ถ้าใครยังหาวิธีชาร์จพลังของตัวเองไม่เจอ
ลองตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วมานั่งจิบชา ฟังเพลงสบาย ๆ ดู
เราอาจมีพลังเต็มเปี่ยมก่อนเดินทางไปทำงานก็เป็นได้
.
2) ช่วงเช้าไม่มีอะไรมารบกวน จึงมีสมาธิทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเต็มที่
งานของหลายคนรวมถึงตัวผู้เขียนเอง อาจต้องเจอกับเรื่องไม่คาดคิด ที่ทำให้ผิดแผนการที่ตัวเองวางไว้อยู่มาก
แต่ในช่วงเช้ายามที่ทุกคนยังหลับใหล เราจะมีสมาธิกับตัวเองได้
ไม่มีคนมาแวะคุยเป็นพัก ๆ ไม่มีคนมาชวนไปกินข้าว ไม่มีอะไรมาแย่งสมาธิไปจากเราได้
เราจึงจดจ่อกับสิ่งที่ทำในช่วงเช้าได้อย่างเต็มที่
.
จึงอาจกล่าวได้ว่า ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เรามีอิสระมากที่สุดตลอดวัน
.
3) ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เรามีพลังงานมาก ต่างกับช่วงเย็๋นที่มักหมดแรงจากงาน
หลังตื่นนอนเรามักมีพลังานล้นเหลือในการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ
ต่างจากตอนเย็นหลังเลิกงาน ที่กว่าจะกลับบ้านก็คงเหน็ดเหนื่อย หมดแรงไปกับงานทีทำตลอดวัน
เรามักจะถูกสูบพลังไปจนหมด เมื่อถึงบ้าน จึงไม่ค่อยได้ทำอะไรตามที่ตั้งใจไว้ตอนเย็น
.
เมื่อเรามีพลังงานอย่างเต็มที่ในตอนเช้าหลังตื่นนอน เราจึงควรลงมือทำสิ่งที่อยากทำให้เต็มที่
.
นอกจากนี้แล้ว เรายังรู้สึกดีกับตัวเองด้วย ถ้าเราทำสิ่งสำคัญในแต่ละวันเสร็จตั้งแต่เช้า
เพราะในช่วงเย็นเราจะได้พักผ่อนชิล ๆ ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องกังวล
และปิดวันได้อย่างสบาย ๆ
.
4) คิดถึงสิ่งตอบแทนที่จะได้รับ เมื่ออยากล้มเลิกความตั้งใจ
หลายคนอยากเป็นคนตื่นเช้า แต่ก็ทำได้เพียงไม่นาน แล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจไป
เพราะว่าอาจตีความหมายสิ่งตอบแทนได้มาเร้าใจพอ
.
สำหรับผู้เขียน ทุกครั้งที่มีความคิดอยากนอนต่อผุดขึ้นมาในหัวตอนที่ต้องตื่น
เธอจะคิดอยู่ตลอดว่า เธอตั้งใจตื่นเช้าเพื่ออะไร
เธอคิดว่า ถ้าไม่ตื่นเช้า หลังเลิกงานจะไม่ได้พัก
ถ้าไม่ตื่นมาออกกำลังกาย ก็จะไม่ได้กินไก่ทอดตอนเย็น
.
เมื่อหาเหตุผลในการตื่นเช้าเจอ เราก็จะบังคับตัวเองได้มากขึ้นเอง
.
5) พยายามนอนให้เร็ว แต่อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป
สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ตื่นเช้าได้ คือการเข้านอนแต่หัวค่ำ
เช่นผู้เขียนที่ตื่นตอนตีสี่ครึ่ง ก็มักเข้านอนตั้งแต่ สามทุ่ม หรือไม่เกินสี่ทุ่มครึ่ง
.
แต่อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป อย่าหักโหมว่าจะต้องนอนเร็วให้ได้ทุกวัน
เพราะจะกลายเป็นกดดันจนนอนไม่หลับ และตื่นไม่ไหว
.
ให้พยายามฝึกให้เป็นธรรมชาติ จนรู้สึกว่าการตื่นเช้าเกิดขึ้นเองได้ โดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
.
6) ไม่ต้องตื่นเช้ามาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า การตื่นเช้าเกิดขึ้นเพื่อการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถตื่นมาทำสิ่งเล็ก ๆ ได้
แล้วค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงทีละนิด เช่น การตื่นมาออกกำลังกาย เขียนบทความ อ่านหนังสือ เขียนอีเมลยาก ๆ เป็นต้น
.
แม้สิ่งเหล่านี้จะดูธรรมดา แต่ก็ทำให้แต่ละวันสนุกขึ้นไม่มากก็น้อย
และโดยรวมแล้ว อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้มากกว่าที่เราคิด
.
7) ใช้แพลนเนอร์ตรวจสอบกิจกรรมในแต่ละวัน
เขียนแพลนเนอร์ไว้ก่อนนอน เพื่อเตือนตัวเองว่า พรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาแบบเกียจคร้าน หรือจะตื่นขึ้นมาแบบ productive และขีดฆ่างานทั้งหมดที่มี
.
ถ้าเช้าวันไหนไม่มีงานด่วนอะไร ก็เขียนแพลนไว้คร่าว ๆ ก็ได้ เช่น จะตื่นมาอ่านหนังสือ หรือออกกำลังกาย
เพื่อลดความกดดันในแต่ละวันลง
.
ไม่ต้องเขียนเวลาอย่างละเอียด แต่เขียนแพลนเนอร์ไว้เพื่อให้มีแรงจูงใจในการตื่นนอน
.
8) ช่วงเช้าคือ “ช่วงเวลาที่ฉันเป็นผู้นำ”
สำหรับผู้เขียนแล้ว แบ่งเวลาในแต่ละวันออกเป็น 2 ช่วง
คือช่วงเช้าที่เรียกว่า “ช่วงเวลาที่ฉันเป็นผู้นำ”
เพราะสามารถวางแผน และจัดการอะไรตามแผนของตัวเองได้
.
ส่วนช่วงเวลาที่เหลือคือ “ช่วงเวลาที่ปล่อยไปตามโชคชะตา”
เพราะเป็นช่วงเวลาที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงดยไม่คาดคิดได้
.
.
รีวิวสั้น ๆ
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อฉันลองตื่นก่อนโลก เป็นเหมือนบันทึกสั้น ๆ ของคิมยูจิน ทนายความชาวเกาหลี
ที่เขียนเรื่องราวการต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตการทำงานของตัวเอง
ตั้งแต่เริ่มต้นวิ่งไล่ตามความฝันในการเป็นทนาย
ซึ่งต้องพบเจอกับความผิดหวังอยู่หลายครั้ง
.
จนเมื่อได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ที่ตัวเองใฝ่ฝัน ก็ยังต้องต่อสู้กับปัญหาเรื่องแรงจูงใจ และพลังใจที่ค่อย ๆ หมดไปในทุกเช้าที่ตื่นมา
.
สุดท้ายแล้วคิมยูจิน ได้พบว่า การตื่นเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่งนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้
เพราะช่วงเช้านั้นนับเป็นเวลาที่เงียบสงบ และเธอสามารถจัดการอะไรต่อมิอะไรในชีวิตตัวเองได้
เธอมักเริ่มวันด้วยการวางแผน คิดว่ามีงานอะไรต้องทำบ้างในแต่ละวัน
และใช้เวลาช่วงเช้าก่อนไปทำงานไปกับกิจกรรมส่วนตัวที่อยากทำ
.
สุดท้ายแล้ว เธอสามารถจัดการเวลาในชีวิตได้ลงตัวมากขึ้น
สิ่งที่อยากทำก็มีโอกาสได้ทำมากขึ้น งานหลักในการเป็นทนายความก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น
จนเธอได้มีโอกาสเขียนบล็อก ทำช่อง Youtube และรวบรวมเรื่องราวของตัวเองเขียนออกมาเป็นหนังสือ
.
โดยรวมแล้ว เนื้อหาในหนังสืออ่านเข้าใจง่าย
มีข้อคิดดี ๆ แทรกอยู่ตลอด
แต่โดยรวมเหมือนอ่านบันทึกส่วนตัวของผู้เขียนซะมากกว่า
เป็นเรื่องราวที่เอาไว้อ่านเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
อาจไม่มีหลักการ หรือข้อสรุปอะไรมาก
แต่อ่านไปเพลิน ๆ ก็เหมือนได้เรียนรู้ชีวิตที่ดูลำบากของคนเกาหลี และเส้นทางที่สุดทรหดกว่าจะได้เป็นทนายของชาวเกาหลีครับ
.
.
.......................................................................................................
ผู้เขียน: คิม ยูจิน
ผู้แปล: ภัททิรา จิตต์เกษม
จำนวนหน้า: 156 หน้า
สำนักพิมพ์: อมรินทร์ How To, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 12/2021
ชื่อเรื่องต้นฉบับ: My Days Begin at 4:30 a.m.
.......................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
Comentarios