top of page

รีวิว สำเร็จได้สไตล์คนขี้เกียจ

  • Writer: หลังอ่าน: รีวิวหนังสือ
    หลังอ่าน: รีวิวหนังสือ
  • Aug 25, 2021
  • 1 min read







รีวิว สำเร็จได้สไตล์คนขี้เกียจ

.

.

‘อาวุธสำหรับคนขี้เกียจคือ ความคิดพลิกแพลง’

.

คนขี้เกียจทั้งหหมดทั้งปวงบนโลกน่าจะเคยพบเจอปัญหาประมาณว่า

- เริ่มต้นไม่สำเร็จ

- ยืนระยะไม่ได้

- เฉื่อยแฉะ

.

กำแพงเหล่านี้คือ กำแพงที่คนส่วนใหญ่มักพบเจอ เพราะเชื่อว่าถ้าไม่ใช่คนที่มีพร้อมกับความขยันในการลงมือทำเป็นพิเศษ เราทุกคนก็ล้วนแต่มีความขี้เกียจอยู่ในตัว

.

แล้วเราควรจะแก้ไขนิสัยสุดขี้เกียจที่ว่านี่ยังไงได้บ้าง

.

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราตัวผู้เขียนเองก็เรียกตัวเองว่าเป็นชาวขี้เกียจตัวยง

.

ขั้นแรกสุดในการหาวิธีต่อกรกับความขี้เกียจก็คือ การเข้าใจว่าความขี้เกียจเกิดจากอะไร

.

จากกำแพงทั้ง 3 ข้อข้างต้น

เริ่มต้นไม่สำเร็จ เกิดจาก การขาด ‘แรงจูงใจภายใน’

ยืนระยะไม่ได้ เกิดจาก การขาด ‘แรงบีบบังคับจากภายนอก’

.

ดังนั้นแล้ว ถ้าเราใส่แรงจูงใจภายในเข้าไปตอนเริ่มต้น แล้วสร้างแรงบีบบังคับจากภายนอกให้เกิดความต่อเนื่อง เราก็อาจจะลาออกจากสมาชิกกลุ่มคนขี้เกียจได้

.

และแน่นอนว่า นั่นทำให้เราไม่เป็นคนเฉื่อยแฉะด้วย

.

แรงจูงใจภายในตอนเริ่มต้น ทำให้เรา

1) สนุก

2) รู้สึกอยากทำ

.

แรงบีบบังคับจากภายนอก ทำให้เรา

1) จำใจทำได้ต่อเนื่อง

2) ถ้ามีแบบแผนจะทำได้สบาย

.

.

หนังสือเล่มเล็กเล่มนี้จึงอธิบายถึงเทคนิคมากมายในการเป็นคนขี้เกียจที่มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยหลักการทั้ง 2 ข้อนี้

.

หนังสือเล่าอย่างว่า เมื่อเทียบกันระหว่าง คนขี้เกียจ vs คนขยัน

คนขี้เกียจ + มีความสามารถ เหมาะจะเป็นแม่ทัพ หรือหัวหน้าโครงการ เพราะขี้เกียจ จึงสามารถหาวิธีคิดพลิกแพลงทำให้โปรเจคสำเร็จโดยง่าย

.

คนขี้เกียจ + ไร้ความสามารถ เหมาะจะเป็น พลทหารสื่อสาร หรือพนักงานทั่วๆไป ต้องรอรับคำสั่งจากหัวหน้า เพราะคิดเองไม่เป็น เน้นปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าเป็นหลัก

.

คนขยัน+ มีความสามารถ เหมาะจะเป็น เสนาธิการ หรือผู้ช่วยผู้จัดการ เพราะขยันมาก ทุ่มเททำงาน จึงไม่เหมาะจะเป็นผู้นำลูกน้อง แต่เหมาะจะเป็นคนคอยให้คำแนะนำ

.

คนขยัน+ ไร้ความสามารถ คือคนที่องค์กรไม่ต้องการ เพราะขยันทำผิด แล้วไม่รู้ว่าตัวเองผิด สร้างความเสียหายให้องค์กร

.

.

โดยในส่วนต่อไปผมขอยกเทคนิคดีๆ 6 ข้อมาฝากสาวกกลุ่มคนขี้เกียจกันนะครับ

.

1) คล้อยตามคำชวนคนอื่น

.

เพราะเราเป็นคนขี้เกียจ การเริ่มทำอะไรเองจึงเป็นเรื่องยาก บางทีการคล้อยตามคนอื่นบ้างก็เป็นทางออกที่ดี

.

โดยเฉพาะถ้าเราเจอพวกคนไฟแรง มีเจตจำนงชัดเจน และมาชวนให้เราร่วมเดินทางไปกับเขา

.

อันนี้ต้องลองดูสักตั้งว่ามันจะใช่ทางของเราด้วยมั้ย

.

ลองหยิบยื่นความสามารถและพลังใจของคนอื่น ทำตัวง่ายๆคล้อยตามคนอื่นบ้าง

.

การมีเพื่อนมันมีประโยชน์จริงๆสำหรับคนขี้เกียจ

.

.

2) ทำตามลำดับที่นึกขึ้นได้ ไม่ใช่ลำดับความสำคัญ

.

การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำนำมาซึ่ง ‘การตั้งเป้าหมาย’ ซึ่งสำหรับคนขี้เกียจแล้ว หลายๆครั้งทำให้เกิดความเครียด และทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ

.

คนขี้เกียจอาจเหมาะกับการทำงานตามจิตสำนึกของตัวเองมากกว่า ถ้านึกขึ้นได้ก็ทำเลย ไม่ต้องตั้งเป้าหมายและ ‘สะสมงาน’ไว้ในใจ

.

คนขี้เกียจอาจจะเจอการทำงานอย่างลื่นไหลและจัดการงานได้อย่างไม่เครียด

.

.

3) วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ไม่ทรมาน

.

น่าจะมีสักเรื่องที่ต่อให้เป็นคนขี้เกียจก็รู้สึกว่าไม่ทรมาน เช่น การตีกอล์ฟ หรือเล่นเกม

.

ผู้เขียนแนะนำไว้ 6 ปัจจัยที่ช่วยให้เราทำอะไรได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องทรมาน

1. ใจรัก ทำตามความสนใจของตัวเอง

2. ทำแล้วสนุก ถูกจริต

3. รู้สึกดี สุขกายสบายใจ

4. ได้ประโยชน์

5. มีปัจจัยในแง่การแข่งขันมาช่วยกระตุ้น

6. ถ้าไม่ทำจะลำบาก

.

ถ้าเอามาจับกับหลักเกณฑ์ของหนังสือ ข้อ 1 ถึง 4 คือแรงจูงใจภายใน ส่วนข้อ 5 และ 6 คือแรงบีบบังคับจากภายนอก

.

.

4) ไม่ข้อแวะกับเรื่องสิ้นเปลืองที่มีภาวะเสพติด

.

คนขี้เกียจเป็นประเภทคนที่คุมตัวเองยากมาก ถ้าได้พบเจอกับสิ่งที่ทำให้เสพติดอย่างรุนแรง เช่น การสูบบุหรี่ หรือเล่นเกม ก็จะคุมตัวเองไม่ได้ และไม่เป็นอันทำอะไร

.

ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าก็คือการเลี่ยงไปเลย อย่าเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวเด็ดขาด

.

คุมตัวเองให้ไปทำเรื่องดีๆดีกว่า เพราะคนขี้เกียจต้องใช้แรงบีบบังคับจากภายนอกมากกว่าคนขยัน

.

.

5) ยกระดับจิตใจด้วยหนังสือ

.

นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่คนขี้เกียจอย่าผู้เขียนสามารถอ่านหนังสือได้มากกว่า 400 เล่มต่อปี

.

โดยผู้เขียนอ่านทั้งหนังสือธุรกิจเพื่อ ‘เก็บข้อมูล’ และอ่านหนังสือเรื่องจริง (non-fiction) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

.

ผู้เขียนแนะนำเพิ่มเติมนิดหน่อยว่า เราควรอ่านหนังสือช่วงเช้า เพื่อทำให่เกิดความฮึกเหิมต่อตลอดวัน ถ้าอ่านก่อนนอนเราก็จะลืมเนื้อหา และความฮึกเหิมก็มักไม่อยู่จนถึงเช้า

.

อีกข้อคือ เราควรอ่านหนังสือเรื่องจริง (non-fiction) บ้าง เพราะสร้างแรงผลักดัน แรงจูงใจ ช่วยให้เรารู้จักเรื่องอื่นๆ เปิดโลกของเราให้กว้างขึ้น

.

.

6) จงรักงานที่ทำ แต่ไม่เปลี่ยนสิ่งที่รักให้เป็นงาน

.

คำแนะนำสุดเกร่อที่เราได้ยินกันอย่างหนาหูให้เปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นงาน แต่ผมโคตรเห็นด้วยกับข้อนี้ของผู้เขียนเลยว่า ถ้าเราเปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นงานแล้ว เราอาจไม่สนุกกับมันอีกต่อไป

.

มันมีเส้นบางๆขั้นอยู่ระหว่าง คำว่า ‘งานอดิเรก’ และ ‘งานจริงๆที่สร้างเงิน’ ให้เรา

.

ตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาคือ การลเนกระดานโต้คลื่น ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ผู้เขียนชอบมาก แต่ถ้าต้องเปลี่ยนมาเป็นงาน และทำเป็นประจำทุกวันแล้ว เขาคงเกลียดมันอย่างเข้าไส้

.

วิธีที่ดีกว่าอาจเป็นการรักงานที่ทำอยู่ หาความสนุกจากงานที่ทำให้ได้ โดยอาจเริ่มง่ายๆจากการทำงานของตัวเองให้ดี ถ้าเราทำได้ดี หลายๆครั้งเราก็จะเกิดแรงจูงใจให้ชอบที่จะทำมันต่อเอง

.

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่:

.

.

................................................................................................................................................

ผู้เขียน: นะโอะยุกิ ฮนดะ

ผู้แปล: สุธาสินี ขจร

จำนวนหน้า: 152 หน้า

สำนักพิมพ์: Shortcut

เดือนปีที่พิมพ์: 2016

................................................................................................................................................

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #สำเร็จได้สไตล์คนขี้เกียจ





Comments


Post: Blog2_Post

Subscribe Form

Thanks for submitting!

+66865274864

©2018 by Langarnbooksreview.com. Proudly created with Wix.com

bottom of page