8 วิธีเรียนรู้ให้สำเร็จ ฉบับคนขี้เกียจ
จากหนังสือ สำเร็จสบายสบายเพราะเรียนรู้ไวแบบคนขี้เกียจ
.
.
1) ยิ่งฉลาด ยิ่งคิดเยอะ ยิ่งไม่ได้เริ่มสักที
กำแพงที่อาจกั้นการเริ่มเรียนรู้ของเหล่าคนฉลาดคือ ‘การคิดมาก’
ยิ่งฉลาดเท่าไหร่ ยิ่งมีคำถามมาก ยิ่งคิดเยอะ สุดท้ายก็เลยไม่ได้เริ่มลงมือทำสักที
.
วิธีแก้ คือไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แต่ให้ลงมือทำทันที
แล้วหาวิธีทุ่นแรงในการเรียนเอา
จำไว้ว่า การเรียนยังไงก็มีประโยชน์
จงจดจ่ออยู่กับเป้าหมายในการเรียน ดีกว่าไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องไม่จำเป็น
.
.
2) การเรียนรู้ 3 ประเภท ที่ผู้ใหญ่ทุกคนควรตั้งใจเรียน !!
1. สอบใบรับรองคุณวุฒิ - เป็นการเรียนที่ทุกคนนึกถึง สอบเข้ามหาลัย สอบใบประกอบวิชาชีพ สอบเพื่อเข้ารับราชการ
.
2. ความรู้ ความชำนาญ – อาจไม่มีการสอบ แต่เป็นทักษะเพื่อการพัฒนาตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
เช่น ความรู้ทางการเงิน ภาษา ทักษะด้านไอที
ความรู้เหล่านี้หาได้จาก การอ่านหนังสือ ฟังสัมมนา คอร์สออนไลน์ หรือจากผู้คนที่พูดคุยด้วย
.
3. ข้อมูลข่าวสาร – เป็นการเรียนรู้ที่อาจมีประโยชน์ต่อการทำงาน และต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
เราต่างรับข้อมูลข่าวสารอยู่ทุกวัน แต่ขึ้นกับว่าใครจะดูดซับไว้ และเอาไปใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์กับการทำงานและการใช้ชีวิต
.
จงจำไว้ว่าการเรียนรู้ในวัยผู้ใหญ่อาจจำเป็นกว่าเด็ก เพราะความรู้เหล่านั้นจะเป็นเครื่องทุ่นแรงไปสู่ความสำเร็จ
.
.
3) ถ้าอยากได้เงินเดือนเพิ่ม ต้องเรียนมากกว่าทำงาน
เพราะหลายคนทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้พัฒนาตัวเองจนไม่เกิดความก้าวหน้า
คนสำเร็จมากมายรู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ จึงเรียนรู้อย่าต่อเนื่อง
เพียงแต่ไม่ได้เรียนเพื่อไปสอบ เหมือนตอนเด็ก
แต่เรียนเพื่อนำไปใช้จริง !
.
การเรียนที่ต่างกันคือ เน้นความรู้ที่ใช้จริง ซึ่งอาจได้จากการพบปะผู้คน
มีการทำข้อสอบเก่า ซึ่งก็คือการศึกษาจากคนอื่นที่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันมาก่อน
มีการสอบจริง คือตอนไปใช้ทำงานจริง ทำธุรกิจจริง
และคำตอบในโลกการทำงาน ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว !
.
.
4) อย่ากระจายการลงทุนในการเรียน
เพราะจะทำให้เราเสียเวลาและพลังงานโดยใช่เหตุ
ให้เลือกลงทุนเรียนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และพุ่งโฟกัสทั้งหมดไปที่จุดนั้น
เช่นถ้าอยากเป็นผู้จัดการกองทุน ก็ให้ลงเรียนแต่วิชาเกี่ยวกับการเงิน
.
.
5) เลือกลงทุนในภาษา ไอที และการเงิน
เพราะเป็น 3 สิ่งที่นำไปใช้ได้จริง และเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ภาษา – ทำให้เรารับรู้ข้อมูลจากต่างประเทศได้
ไอที – ทำให้เรามีความได้เปรียบในการทำงานกับคนยุคใหม่
การเงิน – ทำให้เราควบคุมการไหลเข้าออกของกระแสเงินได้
.
.
6) สอนลูกเรื่อง ‘เทคนิคการเรียน’ ไม่ใช่ ‘สอนให้เรียน’
เพราะเทคนิคการเรียนจะทำให้ลูกเอาไปใช้ได้ตลอดชีวิต
ส่วนการสอนให้เรียน อาจเป็นการกดดันลูก และทำให้ลูกเกลียดการเรียนในที่สุด
.
.
7) อย่าเรียน ‘ตอนกลางคืน’ เพราะมันเป็นเวลาแห่งการเรียนรู้จากคนอื่น
ตอนเย็นปกติเป็นเวลาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน
เราจึงควรใช้เวลาไปกับการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ จากคนที่เราได้พูดคุย
พอกลับมาบ้านสมองเราก็ล้าเกินจะมาอ่านหนังสือ หรือเรียนออนไลน์แล้ว
.
ทางที่ดี เราจึงควรเข้านอน และตื่นมาอ่านหนังสือหรือเรียนรู้เรื่องใหม่ ‘ตอนเช้า’ แทน
3 ชั่วโมงหลังตื่นนอนเป็นช่วงเวลาที่สมองเฟรช ควรค่าแก่การเรียนรู้สิ่งใหม่มาก
.
.
8) อย่าเอาแต่อยู่บ้านอ่านหนังสือ
เพราะสมองเราทำงานได้ไม่ดี ถ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ลองนึกถึงคนทีถูกคุมขังอยู่ในคุกจนคุ้มคลั่ง
.
หลายครั้ง การออกมานั่งอ่านหนังสือข้างนอกในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงบ้าง อาจเกิดประสิทธิภาพมากกว่า
.
.
รีวิวสั้น ๆ
เล่มนี้เป็นภาคต่อเล่มที่ 3 ของหนังสือชุด ‘สำเร็จได้สไตล์คนขี้เกียจ’
2 เล่มแรกประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม (ปกเขียว และปกโอรส)
.
เล่มนี้อ่านจบแล้ว อาจไม่ได้เกี่ยวกับความขี้เกียจโดยตรง
แต่เน้นไปที่เรื่อง ‘การเลือกลงทุนในการเรียนรู้’
และ ‘การเรียนรู้ให้ได้ผลลัพธ์มาก โดยลงทุนน้อย’
.
การเรียนอาจฟังดูเป็นเรื่องของเด็กมัธยม เด็กมหาลัย
แต่ความจริงแล้ว ในวัยผู้ใหญ่ เราก็ยังต้องเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง
ไหนจะเรื่องภาษา ไหนจะเรื่องการเงิน ไหนจะเรื่องไอที
ถ้าอยากสำเร็จในชีวิต ยังไงเราก็ห้ามหยุดเรียนรู้เป็นอันขาด
.
หนังสือจึงเหมาะกับทุกเพศทุกวัย
เพียงแต่พวกเทคนิคการสอบ เทคนิคอ่านให้จำแม่น อาจเหมาะกับเด็กมหาลัยมากกว่า
.
อย่างไรก็ตาม เล่มนี้เหมาะกับคนที่กำลังหาวิธีลงเรียนทักษะใหม่ ๆ เพื่อต่อยอด
ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน หรือใช้ชีวิตโดยตรง
เรื่องจึงค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมากกว่า
.
หลังอ่านจบ ส่วนตัวยังชอบเล่มเก่ามากกว่า
อาจเพราะตัวผมไม่ได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ที่กล่าวไปเท่าไหร่
แต่ใครสนใจก็ลองเปิดอ่านผ่าน ๆ แล้วเลือกเอาเคล็ดลับดี ๆ จากหนังสือไปลองใช้กันได้ครับ
.
.
............................................................................................................................
ผู้เขียน: นะโอะยุกิ ฮนดะ
ผู้แปล: กมลวรรณ เพ็ญอร่าม จำนวนหน้า: 186 หน้า
สำนักพิมพ์: อมรินทร์ How to
............................................................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comments