top of page
  • Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด



10 เทคนิคจัดระเบียบความคิด เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้ชีวิต

จากหนังสือ สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด

.

.

1. การจัดระเบียบทางความคิด เป็นเคล็ดลับเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

มีตัวอย่างซีอีโอมากมายที่ทำงานได้อย่างฉับไวและมีประสิทธิภาพ เพียงเพราะจัดระเบียบความคิดในหัวเป็น

เมื่อซีอีโอเหล่านี้ฝึกจัดระเบียบความคิดในหัวอย่างเป็นประจำแล้ว

การตัดสินใจของเขาก็ทำได้รวดเร็ว เมื่อมีไอเดียใหม่ จึงคิดออกทันทีว่าต้องโทรหาใคร

.

นอกจากนี้แล้ว การจัดระเบียบความคิดยังเป็นขั้นแรกในการนำไปสู่การลงมือทำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และถ้าลงมือทำอย่างต่อเนื่องแล้ว ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

.

.

2. หลักการจัดระเบียบความคิด สามารถใช้หลัก “แจก-จำ-จัด” ได้เหมือนการจัดบ้าน

โดยเริ่มจาก การ “แจกแจง” สิ่งที่ต้องทำทั้งหมดออกมาก่อน

จากนั้นก็เริ่ม “จำแนก” ประเภทสิ่งที่ต้องทำ เช่นเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องในบ้าน เรื่องครอบครัว

สุดท้ายจึงเริ่ม “จัดลำดับความสำคัญ” ให้กับสิ่งที่จำแนกไว้

ถ้าเรื่องไหนสำคัญและเร่งด่วนก็ทำก่อน แต่ความจริงแล้วถ้าเราจัดระเบียบชีวิตดี ๆ เราจะไม่เจอสำคัญที่เร่งด่วนเลย

.

.

3. เทคนิคการจัดระเบียบความคิด 3 ประเภทที่ควรใช้ควบคู่กันไป

1) เขียนบรรยาย - เพื่อให้เก็บรายละเอียดของข้อมูลให้ได้มากที่สุด

2) เขียนสรุปย่อ - เพื่อให้เข้าใจประเด็นสำคัญ และมองเห็นภาพรวม

3) เขียนเป็นภาพ - เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้ชัดเจนมากขึ้น

.

นักจัดระเบียบความคิดที่ดี จะทำทั้งสามอย่างควบคู่กันไป เพราะแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน

.

.

4. กลยุทธ์การเขียน mind map ด้วยการเชื่อมโยง 4 แบบ

แบบที่ 1: เชื่อมโยงแบบหลวม หรือแบบอ้อม

เช่น “หมาสีน้ำตาล น้ำตาลคือถุงกระดาษ ถุงกระดาษไว้ดื่มกาแฟ กาแฟทำให้สดชื่นตอนเช้า เช้าง่วงนอน....” ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

วิธีการเชื่อมโยงแบบหลวม ๆ แม้จะดูหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ยาก แต่บางครั้งก็อาจทำให้เราคิดเดียใหม่ ๆ ออก ด้วยการนำสิ่งไกล ๆ มารวมเข้าด้วยกัน

.

แบบที่ 2: เชื่อมโยงแบบแข็งแกร่ง

เป็นการคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน หมวดหมู่เดียวกัน โดยอาจเริ่มจากส่วนหลักที่กว้างก่อน แล้วค่อย ๆ ไล่ไปที่ส่วนย่อย

เช่น เริ่มที่อาหาร และต่อด้วย ราเมง ข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง สำตำ น้ำตก พิซซ่า สปาเกตตี้ เป็นต้น

.

แบบที่ 3: เชื่อมโยงแบบคล้ายคลึง

เป็นการหาของสองสิ่งมาเชื่อมกันด้วยวิธีการอุปมา และอุปลักษณ์

อุปมา คือใช้คำแต่งเติมข้อความด้วย การบอกว่าสิ่งนั้น “เหมือน ราวกับ ดั่ง ประดุจ” เช่น สวยเหมือนนางฟ้า อร่อยเหมือนอดอาหารมาหลายวัน โกรธเหมือนโดนใครต่อยหน้ามา

ส่วนอุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบของสิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเน้นคุณสมบัติที่เหมือนกันภายในไม่ใช่ภายนอก

เช่น สมาร์ทโฟนเหมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 อยู่กับแฟนตัวติดกันเหมือนปาท่องโก๋ เป็นคู่ดูโอ้กันมานานเหมือนวงลิปตา

.

แบบที่ 4: เชื่อมโยงแบบตรงกันข้าม

คือคิดในสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เช่น มีบนก็มีล่าง มีวิกฤตก็มีโอกาส มีเกิดขึ้นก็มีดับไป

.

.

5. บริหารเวลาแบบไครอส (Kairos) แทนแบบโครนอส (Chronos)

โครนอส (Chronos) เป็นการใช้เวลาเชิงปริมาณ เหมือนเวลาที่เราวัดว่าผ่านไปแล้วกี่นาที กี่ชั่วโมง

เช่น วันนี้ทำงาน 8 ชั่วโมง นอน 7 ชั่วโมง เป็นต้น

ไครอส (Kairos) เป็นการใช้เวลาเชิงคุณภาพ จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า

แล้วตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่ เราจะดื่มด่ำกับสิ่งนั้นนานจนลืมเวลาบนหน้าปัด

ช่วงเวลาแบบนี้อาจเกิดขึ้นในตอนที่เราอยู่กับคนรัก ได้อ่านหนังสือเล่มโปรด หรือเล่นกีฬาแล้วเพลิน

เราอาจไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่ความรู้สึกที่ได้จะอิ่มเอมมาก

.

ถ้าเราใช้เวลาแบบไครอสในแต่ละวัน เราจะพบว่าชีวิตเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ผ่านไปตามหน่วยวัดเวลาเฉย ๆ

.

.

6. 5 จุดเช็คพ็อยต์ในการเขียน To Do List ที่ดี

1) จำแนกหมวดหมู่สิ่งที่ต้องทำ

2) จัดลำดับความสำคัญ

3) กำหนดเดดไลน์ให้ชัดเจน

4) ระบุผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน

5) นำ To Do List ไปติดไว้ หรือวางไว้ในจุดที่ทุกคนมองเห็นได้ง่าย

.

.

7. แบ่งเวลาในที่ทำงานด้วยหลักการ 70:15:10:5

1) ทำงานหลัก 70% ด้วยใจจดจ่อ - เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และคุณภาพของผลงาน

2) ลงทุนไปกับงานเพื่อนอนาคต 15% - เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับงานในอนาคต หมั่นพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ

3) งานครั้งเดียว 10% ต้องควบคุม – เช่นงานประชุม ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ต้องไม่เสียเวลาในการประชุมไปเปล่า ๆ

4) งานเสริม 5% ที่ต้องลดทอน - เพราะเป็นงานที่ไม่ได้ช่วยสร้างคุณค่าใด ๆ แต่ต้องทำเพื่อส่งเสริมให้ทำงานหลักได้ งานประเภทนี้ต้องพยายามทำให้เป็นอัตโนมัติ หรือทำอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

.

.

8. จัดระเบียบเป้าหมายด้วยการคิดแบบย้อนกลับ (Backcasting)

การพยากรณ์ย้อนกลับ (Backcasting) ตรงกันข้ามกับการพยากรณ์ไปข้างหน้าแบบปกติ (forecasting)

ทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน

โดยการพยากรณ์ไปข้างหน้า (forecasting) จะเน้นการใช้ข้อมูลในอดีต มาวิเคราะห์และทำนายผลลัพธ์ในอนาคต ซึ่งอาจทำให้เรายึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและอาจไม่ได้เกิดไอเดียใหม่ ๆ

.

ในขณะที่การพยากรณ์ย้อนกลับ (Backcasting) จะเริ่มจากการตั้งเป้าหมายในอนาคตไกล ๆ ก่อน อาจเป็นหลัก 10 ปี แล้วค่อย ๆ มองกลับมาเป็นเป้าหมายระกลาง 3-5 ปี และคิดกลับมาเป็นเป้าหมายภายในปีนี้

การคิดแบบย้อนกลับมีข้อดีตรงที่เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับข้อมูลในอดีต และสามารถออกนอกกรอบความคิดแบบเดิม ๆ ได้ อาจเหมาะกับคนที่กำลังต้องการวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา

แต่ก็มีข้อเสียคือการที่อาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

.

.

9. หมั่นคิดทบทวนปัญหา 3 แบบอยู่เสมอ

แบบที่ 1: ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว

เป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัด เพราะความยุ่งยากได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น สอบตก ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ลูกน้องลาออก

ปัญหาประเภทนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในครั้งถัดไป

.

แบบที่ 2: ปัญหาที่เกิดจากการสำรวจ

เป็นปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดถ้าเรายังไม่ตัดสินใจทำอะไร

ปัญหาประเภทนี้มักซ่อนอยู่ มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ถ้าเราสำรวจดี ๆ ก็จะระบุมันออกมาได้

เช่น กระดูกสันหลังที่เริ่มคดงอจากการนั่งทำงานติดต่อกันนานเกินไป ยอดขายที่เริ่มลดลงเพราะลูกค้าเปลี่ยนแพลตฟอร์มการช็อปปิ้งของออนไลน์ รถยนต์ที่ใช้ที่อาจนั่งไม่พอถ้ามีลูกเพิ่ม

.

แบบที่ 3: ปัญหาที่กำหนดขึ้น

ปัญหาประเภทนี้เกิดจากการกำหนดเป้าหมายของตัวเองขึ้นมา แต่เป้าหมายเหล่านั้นจะกลายเป็นปัญหาถ้าเราไม่วางแผนที่จะทำให้ตัวเองบรรลุเป้าได้

เช่น การตั้งเป้าอยากมีคนตาม Youtube 1 ล้านคน อยากเก็บเงินให้ได้ 10 ล้านบาท อยากเพิ่มยอดขายให้บริษัท 20%

.

เราไม่ควรโฟกัสไปที่ปัญหาแบบที่ 1 เพียงอย่างเดียว

แต่ควรหมั่นสำรวจปัญหาแบบที่ 2 ที่มองเห็นได้ยาก และหมั่นให้ความสำคัญกับปัญหาแบบที่ 3 ที่เกิดจากเป้าหมายของเราเองด้วย

.

.

10. ออกจากหลุมพรางการคิดแก้ปัญหาแบบ How

เมื่อเจอปัญหา หลายคนมักเอาแต่คิดว่า “จะแก้ปัญหาอย่างไร”

ซึ่งหลายครั้งทำให้เราวิเคราะห์ปัญหาผิดพลาด และมองไม่เห็นแก่นแท้ของมัน

เช่น การที่เงินไม่พอใช้ ก็คิดจะแก้ด้วยวิธีประหยัดเพียงอย่างเดียว

แบบนี้อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เพราะการที่เงินไม่พอ เราอาจใช้วิธีหาเงินเพิ่มได้ ด้วยการสร้างรายได้ทางอื่น หรือพัฒนาความสามารถของตัวเองให้เหมาะสมกับเงินเดือนที่มากขึ้น

.

ดังนั้นเมื่อเจอปัญหา ลองถอบมา 1 ก้าวแล้ววิเคราะห์ดี ๆ ก่อน

อย่าเพิ่งรีบคิดแต่ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรตั้งแต่แรก

.

.

รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน

เป็นหนังสือรวมเทคนิคจัดระเบียบความคิด ส่งตรงจากเกาหลี โดยนักเขียนเลื่องชื่อด้านจัดระเบียบความคิด พกจูฮวัน

ต้องบอกว่าหนังสือพกเครื่องมือและเทคนิคในการจัดระเบียบความคิดมาแบบจัดเต็มมาก

หลายเครื่องมือหนังสือบรรยายได้ละเอียด จนยากที่จะสรุปมาลงโพสต์ได้

.

ถ้าใครอยากรู้จักเครื่องมือช่วยให้เราเรียบเรียงความคิดตัวเองได้ดีขึ้น

คิดอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างมีแบบแผนมากขึ้น ยังไงก็ลองหยิบเล่มนี้มาอ่าน แล้วเลือกเครื่องมือที่ตัวเองสนใจไปใช้ดูครับ

.

.

.......................................................................................

ผู้เขียน: พกจูฮวัน

ผู้แปล: สุมาลี สูนจันทร์

จำนวนหน้า: 272 หน้า

สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ How To

เดือนปีที่พิมพ์: 8/2022

ชื่อเรื่องต้นฉบับ: I Will Organize Your Thoughts

.......................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด




109 views0 comments
Post: Blog2_Post
bottom of page