top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว ศาสตร์แห่งการพึ่งพาคนอื่น


7 กระบวนท่าหาเงิน 100 ล้านเยนด้วยการพึ่งพาคนอื่น

จากหนังสือ ศาสตร์แห่งการพึ่งพาคนอื่น

.

.

1) ใช้สมองของคนอื่น แทนสมองของตัวเอง

การใช้สมองของตัวเอง เป็นการคิดต่อยอดจากสิ่งที่เดิมที่ตัวเองรู้

สิ่งที่ได้จึงอาจขาดความแปลกใหม่

ต่างจากการใช้สมองของคนอื่นให้เกิดไอเดียแปลกใหม่ ที่อาจช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้

.

การจะพึ่งสมองคนอื่นได้ เราต้องเริ่มจากการ ขัดเกลา ‘ทักษะการค้นหา’ และ ‘ทักษะการตั้งคำถาม’

เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

.

แต่เราต้องไม่ลืมที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับคนอื่น ซึ่งเริ่มจากให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากได้

และต้องค่อย ๆ สร้างชื่อเสียงของตัวเองขึ้นมาด้วย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

เช่น การลองสร้างสื่อของตัวเองขึ้นมา ถ้าไม่รู้จะเขียนอะไร ก็อาจเอาความเชี่ยวชาญของคนอื่นมากลองเรียบเรียงดู แต่ระวังอย่าขโมยผลงานโดยตรงเด็ดขาด

.

.

2) ใช้เวลาของคนอื่น แทนเวลาของตัวเอง

เวลาของคนเราเป็นสิ่งที่มีจำกัด เรามีเพียง 24 ชั่วโมงใน 1 วัน

ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่อาจเพิ่มเวลาตรงนี้ได้

ยกเว้นว่าเราจะใช้เวลาของคนอื่น ซึ่งอาจจะช่วยให้เรามี 240 ชั่วโมง หรือ 2,400 ชั่วโมงใน 1 วันได้

.

วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือ การเผยแพร่ความรู้ของตัวเองผ่านบล็อก ผ่าน Youtube และหนังสือ

เครื่องมือพวกนี้ทำให้เราเข้าถึงคนจำนวนมากได้ โดยใช้เวลาทำงานเพียงครั้งเดียว

.

ส่วนเวลาของเรา 24 ชั่วโมง เราก็ต้องวางแผนการใช้ดี ๆ

อาจเขียนกำหนดการที่ชัดเจนลงใน Google Calendar เพื่อให้รู้ว่าตัวเองมีงานอะไรสำคัญ ๆ ที่ต้องทำบ้าง

และพยายามเลือกใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด

สิ่งไหนที่ไม่ถนัดและให้คนอื่นทำได้ ก็พยายามโยนออกไป

.

.

3) ใช้เงินของคนอื่น แทนเงินของตัวเอง

สิ่งหนึ่งที่คนมักเข้าใจผิดคือ ต้องรอให้มีเงินก่อน ถึงจะลงมือทำตามความฝันได้

แต่ความจริงแล้ว เราต้องมีความฝันก่อน ตัวเราถึงจะดึงดูดเงินเข้ามา

เหตุผลสำคัญที่ซัพพอร์ตเรื่องนี้คือ ถ้าเราไม่มีฝัน ตัวเราเองก็จะไม่ได้รับแรงกระตุ้นที่มากพอในการออกไปหาเงิน

.

การจะใช้เงินของคนอื่นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปยืมเงินของคนอื่นโดยตรง

แต่เราสามารถสร้างระบบ ‘แลกเปลี่ยนโนว์ฮาว’ ที่เหมือนการแลกเปลี่ยนการเป็นที่ปรึกษาซึ่งกันและกัน

.

นอกจากนี้ถ้าอยากระดมทุนจากคนอื่นจริง ๆ

เราต้องเน้นไปที่ ‘การสร้างความเชื่อใจ’ ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราเป็นคนพูดจริงทำจริง

.

.

4) ใช้มือเท้าของคนอื่น แทนมือเท้าของตัวเอง

จำไว้ว่า ‘คนรวยสร้างระบบ คนจนทำงานในระบบ’

เราต้องสร้างระบบขึ้นมา ให้เราไม่ต้องทำงาน active อยู่ตลอดเวลา

.

สิ่งสำคัญคือการเริ่มจากการโฟกัสไปที่สิ่งที่ ‘เราทำได้ดี และชอบทำ’

พยายามขัดเกลาให้เราทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือทำได้ไม่ดี ก็ต้องหาคนอื่นมาช่วยทำ

โดยต้องพยายามมองให้ออกว่า สิ่งที่คนอื่นชอบ และได้ผลประโยชน์ต่อตัวพวกเขาคืออะไร

.

.

5) ใช้พลังงานของคนอื่น แทนพลังงานของตัวเอง

จงจำไว้ว่า อัตราการบรรลุเป้าหมาย เพิ่มขึ้นตาม ‘ปริมาณรวมของพลังงานความมุ่งมั่น’

นั่นหมายความว่า ถ้าเรารวมพลังงานความมุ่งมั่นได้มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีโอกาสในการบรรลุเป้าหมายใหญ่ได้มากขึ้น

ซึ่งพลังความมุ่งมั่นนั้นก็มาจากคนหลาย ๆ คนนั่นเอง

.

โดยเราต้องเริ่มจากการสร้างพลังงานในตัวเองก่อน

อาจลองหยิบยืมความมั่นใจของคนที่สำเร็จมาเพิ่มความมั่นใจของตัวเอง

กำหนดฝันของตัวเองให้ใหญ่เกินตัว และลองสัญญากับตัวเองในอนาคตดู

.

หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อย ก็ลองไปคบหากับคนที่มีจริตเหมือน ๆ กัน

และปล่อยแต่พลังงานด้านบวกเข้าหากัน เพื่อเสริมพลังรวมให้มากขึ้น

.

จำไว้ว่าระหว่างทาง เราต้องคอยรักษาพลังงานด้านบวกไว้ให้มั่น และป้องกันไม่ให้พลังงานด้านลบเข้าครอบงำ

การฉลองความสำเร็จเป็นระยะก็เป็นวิธีช่วยให้เราและคนรอบตัวดูดพลังงานบวกเข้าสู่ร่างกายได้

.

.

6) ใช้คอนเนคชั่นของคนอื่น แทนคอนเนคชั่นของตัวเอง

มองหาคอนเนคชั่นที่เราสามารถคบกันไปได้ยาว ๆ หลักเกิน 10 ปี

พยายามอย่าคิดว่าว่าจะเอาประโยชน์ในระยะสั้นจากคอนเนคชั่นของเรา

เราต้องมองให้ยาว และค่อย ๆ สั่งสมความเชื่อใจในความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ

.

ส่วนวิธีการหาคอนเนคชั่นใหม่ ๆ ก็เริ่มจากการคิดก่อนว่า ‘เพื่อนของเพื่อน ก็คือเพื่อนของเรา’

และพยายามสร้างและรักษาความเชื่อใจในตัวเพื่อนทุกคนที่เรามีอยู่เสมอ

เพราะพอเจอคนใหม่ ๆ เพื่อนก็จะรู้สึกว่า เราเป็นคนที่น่าเชื่อใจ ควรค่าแก่การแนะนำ


.

7) ใช้สิ่งของของคนอื่น แทนสิ่งของของตัวเอง

เลิกคิดอยากครอบครองสิ่งของ !!

เติมเต็มความรู้สึกอยากแบ่งปันแทน และกล้าที่พูดว่า ‘ขอยืม’ จากเพื่อน

.

ยังมีอีกหลายวิธีในโลกยุคใหม่ ที่เราสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งของของตัวเอง

เช่น การทำงานใน co-working space หรือ virtual office เป็นต้น

.

.

รีวิวสั้น ๆ

เป็นหนังสือที่ตอกย้ำความคิดที่ว่า การทำอะไรคนเดียวตลอดนั้นยากที่จะสำเร็จได้

เราต้องรู้จัก ‘พึ่งพาคนอื่นบ้าง’

แต่ก็ไม่ใช่การเอาแต่พึ่งพาคนอื่น จนทำอะไรเองไม่เป็น

เราต้องทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไป โดยอาศัย ‘จุดแข็ง’ ของตัวเองมาจับคู่ร่วมทำงานไปกับจุดแข็งของคนอื่น

.

หนังสือเขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ซึ่งทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนธุรกิจควบคู่ไปกับงานบริหารสถาบันการศึกษาและอาชีพนักเขียน

ช่วงอายุ 20 ปลาย ๆ เขาหาลูกค้าแทบไม่ได้ ทำให้รายได้ที่มีต่ำมาก จนถึงขั้นว่าต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ชั่วโมงละ 900 เยน

เขาจึงลองตรวจสอบตัวเองหาสาเหตุและค้นพบว่า ‘เขาพายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง’ มากเกินไป

.

พอเขาลองพึ่งพาคนอื่นให้มากขึ้น กระจายงานออกไป หาเทคนิคย่นระยะเวลาในการทำให้เกิดผลลัพธ์ปลายทาง

ในที่สุดตอนอายุไม่ถึง 35 ปี เขาก็หารายได้ได้มากกว่า 100 ล้านเยนต่อปี

และที่สำคัญกว่านั้นเขาใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในทุก ๆ เดือนไปเที่ยวรอบโลกกับภรรยาของเขา

เรียกได้ว่าเขาสร้างระบบธุรกิจที่อยู่ตัว และสร้างช่องทางหารายได้ไว้หลายทางจนกระทั่งตัวเขาไม่ต้องอยู่ดูแลตลอดได้

.

โดยรวมเนื้อหาเรื่องการพึ่งพาคนอื่นก็น่าสนใจดี

แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มาก

หนังสืออาจเหมาะกับคนพวกหนึ่งที่พึ่งพาตัวเองมากเกินไป

เหมือนทำงานอยู่คนเดียว จนร่างกายพัง สุขภาพเสีย

ใครสนใจลองมาหาอ่านเพลิน ๆ ได้ครับ

.

.

............................................................................................................

ผู้เขียน: โคบายาชิ มาซายะ

ผู้แปล: ปาวัน การสมใจ

จำนวนหน้า: 192 หน้า

สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น, สนพ.

............................................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30




99 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page