top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว วิธีพูดกับคน โดยใช้ศิลปะ "ทังก์ฟู"





รีวิว วิธีพูดกับคน เพื่อรับมือหรือโต้กลับ ทุกสถานการณ์พูด และไม่ให้เสียเปรียบ หรือตกเป็นรองใคร

โดยใช้ศิลปะ "ทังก์ฟู"

.

‘ทังก์ฟู คือ ศิลปะการต่อสู้ภายในใจ เวลาที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ถูกทำร้ายด้วยคำพูด เพื่อลดอาการบาดเจ็บของทั้งตัวเรา และคู่สนทนา’

.

คำว่า ‘ทังก์ฟู’ เลียนแบบมาจากคำว่า ‘กังฟู’ ซึ่งแป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีน ที่เน้นการพัฒนาจากภายใน และมีจุดประสงค์เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการถูกจู่โจมด้วยคู่ต่อสู่

.

ทังก์ฟู (Tongue-fu) เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เกิดภายในจิตใจเช่นกัน โดยพัฒนาขึ้นเพื่อปลดชนวนความขัดแย้ง ขจัดอารมณ์ขุ่นเคือง ลดแรงประทะ และหันเหความสนใจไปจากสิ่งที่ถูกโจมตีอยู่

.

ทังก์ฟูจึงเป็นเหมือนปรัชญาสำคัญในการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ย่อมมีโอกาสที่จะได้เจอกับสถานการณ์ความขัดแย้ง

วิธีการสื่อสารของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

และอาจช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกคนทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน

นอกจากนี้ศิลปะทังก์ฟูยังอาจช่วยให้เกิดความร่วมมือ ลดความขัดแย้ง

ลดความโกรธภายในจิตใจ ทำให้เรารู้สึกมีเมตตาต่อผู้อื่น แม้จะถูกทำไม่ดีด้วยก็ตาม

สุดท้ายแล้วทังก์ฟูอาจเป็นศิลปะที่ช่วยให้เรามรีความสุขและสงบมากขึ้นจากปฏิสัมพันธ์อีกดีกับคนอื่น

.

หนังสือศิลปะทังก์ฟูเล่มนี้เขียนขึ้นโดย แซม ฮอร์น ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการพูด และเป็นคนที่เคยจัดอบรมให้กับองค์กรชั้นนำมากมาย

ตลอดทั้งเล่มรวบรวมเทคนิคดี ๆ ที่สะท้อนปรัชญาของทังก์ฟูอยู่ตลอดเล่ม

.

แม้หนังสือจะตีพิมพ์มานานมากแล้ว แต่เนื้อเรื่องยังทันสมัยอยู่

เพราะตราบใดที่เรายังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เจอสถานการณ์ที่รับมือได้ยาก

ทังก์ฟูจึงยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่เสมอ

.

ยิ่งในยุคที่ชีวิตคนเร่งรีบกันมากขึ้น หลายคนหัวร้อนง่าย

เจอคนพูดไม่ดีมา ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ถ้าเราได้เรียนรู้วิธีพูดที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ ก็อาจช่วยบรรเทาความหัวร้อนลงได้

.

จริง ๆ แล้วหลายเทคนิคของศิลปะทังก์ฟูก็เป็นเรื่องที่เรารู้ ๆ กันอยู่แล้ว

เพราะใต้จิตสำนึกของเรา ล้วนอยากให้เกิดความปรองดอง และสร้างสัมพันธ์อันดีกับคนอื่น

แต่หลายครั้งเราขาดสติ ทำทุกอย่างไปตามอารมณ์

หลายครั้ง คำพูดแย่ ๆ ที่เราปล่อยออกไปเลยทำให้สถานการณ์โดยรวมแย่ลงด้วย

และสุดท้ายคนที่โดนผลลัพธ์นั้นเต็ม ๆ ก็เป็นเราเอง เพราะพอมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเรากับใครอีกคน

เราเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทุกข์ใจ

.

เพราะฉะนั้นแล้ว การได้อ่านหนังสือทังก์ฟูติดไว้ จึงเป็นเครื่องเตือนความจำชั้นดี

ว่าเราควรมีสติ และเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์

เพื่อบรรเทาความแรงปะทะ และทำให้สถานการณ์ยาก ๆ ได้คลี่คลาย

.

หลังอ่านต้องยอมรับว่า หนังสือเขียนสนุกมาก

เป็นคู่มือ howto วิธีการพูดที่เล่าตัวอย่างได้น่าสนใจ

และมีบทสรุปเป็นคำแนะนำที่ใช้ได้จริง

ผมชอบที่หนังสือแบ่งออกเป็นบท ๆ อ่านเข้าใจง่าย

มีคำคมโดนใจแทรกอยู่ตลอดเล่ม

และมีการเปรียบเทียบการใช้คำพูดที่ต่างกันใน 2 สถานการณ์ให้เห็นชัดเจนว่า

การใช้คำพูดที่ต่างกันมันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

.

โดยรวมแล้วเป็นหนังสือคลาสสิคด้านเทคนิคการพูดที่เขียนได้เข้าใจง่าย และนำไปใช้ได้จริง

ส่วนตัวรู้สึกอ่านสนุกกว่า How to win friend and influence people มาก ทั้ง ๆ ที่เป็นหมวดหนังสือเดียวกัน

และมีเรื่องน่าสนใจมากกว่าหนังสือแปลญี่ปุ่นอีกหลายเล่ม

ยังไงต้องหาตำเก็บไว้นะครับเล่มนี้

.

สุดท้ายผมขอยก 10 เทคนิคของศิลปะทังก์ฟูที่ชอบในเล่มมาฝากกันนะครับ

.

1) เลือกจะเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น

ศิลปะทังก์ฟูมีพื้นฐานอยู่ที่ เรื่องของการฝึกตนให้เป็นผู้มีเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

เพราะศิลปะทังก์ฟูเชื่อว่า

การเลือกที่ปฏิบัติต่อคนที่มีพฤติกรรมไม่ดีด้วยความเห็นอกเห็นใจแทนการตอบโต้ด้วยความขุ่นเคือง

จะช่วยเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตร

และจะทำให้เกิดความรู้สึกดีกันทั้ง 2 ฝ่าย

.

.

2) คุยกับคนผ่านปัญหาของเขา

ลองนำวิธีการของนักบำบัดมาใช้ เพื่อช่วยให้คนที่กำลังทุกข์รู้สึกดีขึ้น

สิ่งแรกคือ นักบำบัดจะไม่บอกให้คนไข้เลิกคิดถึงสิ่ง ๆ นั้น หรือให้ความเห็นของเขาลงไปในเรื่องของคนไข้

แต่นักบำบัดจะพยายามถามคำถามคนไข้ ให้เล่าเรื่องออกมาให้ได้มากที่สุด

และพยายามสะท้อนคำพูดของคนไข้ในรูปแบบของเขาเองเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น

.

เช่น คนไข้พูดว่า ‘ผมไม่มีเพื่อนเลย’

นักบำบัดก็จะพูดว่า ‘คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเพื่อนเลย’

เขาจะไม่พูดว่า ‘ไม่หรอก คุณมีเพื่อนอยู่แล้วน่า’

.

สิ่งนี้คือเทคนิคการสะท้อน ซึ่งช่วยให้อีกฝ่ายได้ลองคิดไตร่ตรองและเข้าใจถึงสิ่งรบกวนจิตใจของตัวเอง

การใช้ความเห็นอกเห็นใจจะช่วยให้อีกฝ่ายสามารถปลดปล่อยความเครียดในจิตใจออกมา

อีกฝ่ายจะรู้สึกว่ามีคนเข้าใจตัวเอง

และจะค่อย ๆ หาทางคลี่คลายปัญหานั้นด้วยตัวเอง

.

.

3) ใช้เทคนิค AAA จัดการกับการร้องเรียน

เมื่อมีคนมาร้องเรียน หรือโวยวายกับสิ่งที่ตัวเองไม่พอใจ

เราอาจลองใช้เทคนิค AAA ดู เพื่อทำให้อีกฝ่ายสงบลงได้บ้าง

1. Agree - แสดงความเห็นด้วยว่าอีกฝ่ายพูดถูก

2. Apologise - ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

3. Act - ลงมือแก้ไข

.

สิ่งสำคัญคือ จงอย่าไปอธิบายว่าทำไมถึงเกิดความผิดพลาดขึ้น

เพราะนั่นจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าไปใหญ่

เช่น ในกรณีที่มีคนไข้เดินมาโวยวายใส่เจ้าหน้าที่ที่หมอที่นัดไว้เหลด

1. Agree - เห็นด้วยว่าเขาพูดถูก เขาได้นัดหมอไว้ตอนบ่าย 3

2. Apologise - ขอโทษที่หมอมาช้า เพราะหมอติดเคสผ่าตัดอยู่

3. Act – ลงมือแก้ไขโดยการโทรไปสอบถามว่าหมอใกล้เสร็จรึยัง แล้วขอบคุณที่คนไข้อดทนรอ

.

.

4) หลีกเลี่ยงการพูดเกินจริง

คำพูดที่เกินจริง จะทำให้เกิดการตอบกลับแบบเกินจริงเช่นกัน

ตัวอย่างคำพูดที่เกินจริง เช่น ‘ทุกครั้ง’ ‘ทั้งหมด’ ‘ประจำ’ ‘ไม่มีใครเลย’

.

เรื่องนี้มักเกินขึ้นเวลาที่เราไม่พอใจการกระทำของอีกฝ่าย แล้วพยายามจะต่อว่า

แม่อาจบอกลูกว่า ‘ลูกลืมให้อาหารแมวเป็นประจำเลย ลูกอยากให้มันอดตายหรือไง’

.

การพูดลักษณะนี้เป็นการพูดที่เกินจริงไปมาก และอาจทำให้อีกฝ่ายโรกธและโต้กลับอย่างรุนแรงได้

เราจึงควรพูดให้เจาะจง และระบุให้ชัดเจน พร้อมทั้งถามหาสาเหตุ

เช่น ‘ลูกลืมให้อาหารแมวเป็นครั้งที่ 3 แล้ว พอบอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น’

นอกจากจะเป็นการป้องกันการโต้กลับอย่างรุนแรงจากอีกฝ่ายแล้ว ยังเป็นการถามหาสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอีกด้วย

.

หรือถ้ามีคนมาต่อว่าเราแรง ๆ แบบใช้คำเกินจริง เช่น ‘ทำไมเธอสกปรกอย่างนี้ เธอไม่เคยทำความสะอาดห้องเลยหรือไง’

เราก็อาจใช้วิธีตอบเป็นการทวนคำถามที่เกินจริงนั้นกลับไป เช่น ‘ฉันไม่เคยทำความสะอาดห้องเลยจริงหรือ’ แล้วเลิกคิ้วกลับ

อีกฝ่ายก็จะได้ตระหนักว่าตัวเองพูดกินจริงไป และมีการอธิบายกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงตามมา

.

.

5) สร้างความน่าสนใจด้วยเทคนิค LLL

เทคนิคนี้เป็นเทคนิคช่วยทำให้เรากลายเป็นผู้ฟังที่ดีมากยิ่งขึ้น

เราควรเพิ่มความสนใจในเรื่องที่ผู้พูดกำลังพูด

โดยเทคนิค LLL นี้ อาจช่วยกระตุ้นความสนใจของเราได้

1. Look - มองคู่สนทนา

อย่าทำอย่างอื่นไปด้วยในระหว่างที่ฟัง

.

2. Lift – เลิกคิ้ว

สบตาคู่สนทนา และแสดงสีหน้าที่บ่งบอกความสนใจ

เราอาจแสดงความสงสัยออกมา เพื่อบอกอีกฝ่ายให้รู้ว่ากำลังสนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพุดอยู่

.

3. Lean – โน้มตัวไปข้างหน้า และแสดงท่าทางว่าเราอยู่ที่นี่เพื่อฟังอีกฝ่าย

.

.

6) กฎการประชุม 3 ข้อที่น่านำไปใช้

การประชุมจำนวนมากมักเสียเวลาเปล่า และไม่ได้อะไร

เพราะมีการพูดออกนอกเรื่อง หรือการโต้เถียงกันอย่างไม่จบไม่สิ้น

การกำหนดกฎการประชุมขึ้นมาอาจช่วยให้ทุกฝ่ายบรรลุจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น

1. พูดได้ทีละคน

ประธานที่ประชุมต้องพยายามไม่ปล่อยให้มีการพูดแทรก และโต้เถียงกัน

อาจจะใช้วิธี ผายมือไปที่คนที่กำลังพูด แล้วบอกให้หยุดรอจนกว่าทุกคนจะพร้อมฟังผู้พูด

.

2. ผู้เข้าประชุมสามารถพูดได้ 1 ครั้ง ต่อ1 วาระการประชุม

เป็นการป้องกันไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งครอบงำการประชุม

และช่วยให้ได้ฟังความเห็นของคนอื่น ๆ ที่อาจขี้อาจไม่ค่อยกล้ายกมือ

.

3. พูดได้ครั้งละไม่เกิน 2 นาที

เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการพูดเยิ่นเย้อ นอกเรื่อง ไร้สาระ

.

.

7) ให้ทางเลือกและปล่อยให้เขาตัดสินใจ

ในสถานการณ์ที่เราต้องเจอกับความท้าทายในการตัดสินใจและเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น

จงหลีกเลี่ยงที่จะยื่นข้อเสนอเพียงด้านเพียงแบบเดียว และทำเหมือนว่าได้ตัดสินใจเลือกทางนั้นไปแล้ว

เพราะถ้าเรายื่นแค่ทางออกเดียว คนที่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบมักจะต่อต้านเราเสมอ

นั่นก็เพราะเขาไม่ได้เป็นคนตัดสินใจทางเลือกนั้นด้วยตัวเอง

.

วิธีที่ดีกว่าคือการนำเสนอทางเลือก 2 ทาง

พูดข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 ทาง แล้วให้พวกเขาตัดสินใจเอง

.

ในที่ประชุมก็อย่ายื่นทางแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว ให้เตรียมทางเลือกไว้ 2 ทาง

แล้วปล่อยให้คนในห้องประชุมเลือกกันต่อเอง

.

ถ้าเป็นตอนเสนอขายสินค้า ก็ให้ลูกค้าเลือกสัก 2 อัน แล้วถามว่าชอบอันไหนมากกว่ากัน

ถ้าจะเลื่อนวันนัด ก็อย่าเสนอไปแค่เวลาเดียว ให้เสนอไป 2 วันเวลา และให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายเลือกตัดสินใจ

ถ้าจะยกเลิกตั๋วคอนสิร์ต ก็ถามลูกค้าว่าสนใจรับคืนเป็นเงิน หรือจะเอาเป็นดูคอนเสิร์ตในรอบถัดไปแทน

เป็นต้น

.

โดยรวมแล้ววิธีนี้จะทำให้คนที่เกี่ยวข้องชอบมากกว่า เพราะพวกเขาเป็นคนตัดสินใจเอง

.

.

8) ใช้หลักการโน้มน้าว 5 ประการ

เวลาจะโน้มน้าวใครให้ทำตามที่เราต้องการ มีทริคอยู่ 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

1. เข้าสู่สถานการณ์นั้นด้วยความคาดหวังในทางบวก

เพราะการมองโลกในแง่ลบ ไม่เคยทำให้ใครชนะในสนามรบ

.

2. คาดการณ์และพูดถึงสิ่งที่เขาจะโต้แย้ง

คาดการณ์ไว้ก่อนว่าอีกฝ่ายอาจบอกปฏิเสธ และเตรียมข้อเสนอทางออกจากคำปฏิเสธนั้น

.

3. จงลำดับขั้นตอน และให้ตัวอย่างในแต่ละขั้นตอน

จะช่วยให้ผู้ฟัง เห็นภาพตามได้ง่าย และช่วยให้จดจำประเด็นข้อมูลได้ดีมากขึ้น

.

4. ทำให้เขาได้ความต้องการของเขา และใช้ภาษาเดียวกับเขา

หลีกเลี่ยงที่จะบอกว่า ‘ผม/ ฉันคิดว่า...’

แต่ให้เน้นไปที่ประโยชน์ที่อีกฝ่ายจะได้รับ ถ้าทำตามข้อแนะนำของเรา

.

5. โน้มน้าวพวกเขาให้ลองใช้ความคิดของคุณ

หลีกเลี่ยงการกดดัน หรือบับบังคับ เพราะไม่มีใครที่ชอบการบีบบังคับ

แต่ให้ใช้วิธีการบอกเล่า อธิบาย และตั้งคำถาม เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นภาพเดียวกับเรา

ถ้าเขามองเห็นภาพเดียวกับเราเองโดยไม่ถูกบังคับ พวกเขาก็จะไม่ต่อต้าน และกระตือรือร้นที่จะทำตามภาพที่เห็น

.

.

9) เราพาใครกลับมานั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยรึเปล่า

ลองนึกถึงเรื่องของพยาบาลสาวคนหนึ่ง

วันหนึ่งเธอต้องเข้าห้องผ่าตัดร่วมกับหมอนิสัยแย่คนหนึ่ง

หมอคนนั้นตำหนิเธออย่างรุนแรงต่อหน้าเพื่อนร่วมงานหลายคน

และเยาะเย้ยเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอเพียงแค่ส่งมีดให้หมอช้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

.

พยาบาลสาวคนนั้นเก็บเอาเรื่องนี้กลับไปที่บ้าน

เธอหัวเสียมากระหว่างนั่งรถกลับบ้าน และเมื่อถึงบ้านก็กระแทกประตูตู้เย็นอย่างรุนแรง

และก็ยังระบายเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าสามีเธออีก

.

สามีจึงเรียกสติเธอกลับคืนมา

ว่าสรุปแล้ว ใครกันแน่ที่ทำให้เธอประสาทเสีย

หมอในห้องผ่าตัดเมื่อตอนเช้าวันนั้น หรือตัวเธอเอง?

.

แท้จริงแล้ว ตัวพยาบาลสาวเองอาจเป็นคนอนุญาตให้หมอนั่งรถกลับมาด้วย

อนุญาตให้หมอเข้าบ้าน และอนุญาตให้หมอมานั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยกัน

ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วหมออาจลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ

.

ดังนั้นแล้ว หลายครั้งตัวเราเองนั่นแหละที่ยินยอมให้คนแย่ ๆ กลับมานั่งทานข้าวเย็นกับเรา

จงจำไว้ว่า ‘ไม่มีใครทำอะไรเราได้ ถ้าหากเราไม่ยินยอม’

อย่าพาคนที่ทำให้เราอารมณ์เสียกลับบ้านเลย

ทิ้งเขาไว้ที่ตรงนั้นซะ เหมือนที่ต่อมาพยาบาลสาวคนนั้นก็เลือกทิ้งหมอนิสัยแย่คนนั้นไว้ที่โรงพยาบาล

.

.

10) จงตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ความน่าพิศวง

เราต้องรู้จักรักษาพลังบวกของเราเข้าไว้

เพราะมันส่งผลอย่างมากต่ออารมณ์ของเรา

และการรับมือสถานการณ์ยาก ๆ

.

มีหลายวิธีที่จะช่วยฝึกเราให้เป็นคนคิดบวก

เราอาจซื้อปฏิทินสวย ๆ มาติดไว้บนผนังครับ

เราอาจตื่นแต่เช้า แล้วออกไปเดินรับแสงแดด

เราอาจเขียนบันทึกเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหารเช้า มันอาจเป็นเรื่องขำขันเล็ก ๆ

แต่ก็ทำให้เรายิ้มได้เมื่อบันทึกมันลงสมุด

เราอาจเขียนบันทึกแรงบันดาลใจจากภาพยนต์ที่ดู

และอาจบันทึกอารมณ์ความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ

.

จงหมั่นใช้เวลา 10 นาทีของทุกวัน จดเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

เราต้องหมั่นเพิ่มพลังบวก เพื่อชดเชยเรื่องราวไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นที่เราต้องแบกรับเอาไว้

.

.

……………………………………………………………………………………………

ผู้เขียน: แซม ฮอร์น

ผู้แปล: เสถียร เทศทอง, อมรวรรณ เทศทอง

จำนวนหน้า:304 หน้า

สำนักพิมพ์: บี มีเดีย, สนพ.

เดือนปีที่พิมพ์: 12/2019

ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Tongue Fu! : How to Deflect, Disarm, and Defuse Any Verbal Conflict

……………………………………………………………………………………………

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #ทังก์ฟู




2,159 views0 comments

Comentarios


Post: Blog2_Post
bottom of page