9 บทเรียนของโลกธุรกิจ ที่ชีวิตจริงเท่านั้น ถึงจะสอนเราได้
จากหนังสือ วิชาธุรกิจที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน 2
The Little Book of Business 2
.
.
รีวิวสั้น ๆ
สุดยอดคัมภีร์ธุรกิจขนาดกะทัดรัดเล่มที่ 2
ส่งตรงจากพี่ปิ๊ก ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์ เจ้าของเพจ Trick of the Trade และหนึ่งในผู้จัดพอดแคสต์ Mission to the Moon
.
ต้องบอกว่า เนื้อหาเล่มนี้อัดแน่นมาก
อาจจะมากกว่าเล่มที่ 1 ด้วยซ้ำ
เพราะมีการใช้การยกตัวอย่างเปรียบเทียบมากมาย มาช่วยอธิบายหลักแนวคิดในการทำธุรกิจ
ซึ่งต้องบอกเลยว่า ‘มีเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพียบ!!!’
.
ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน หรือมีประสบการณ์การทำธุรกิจไม่มาก จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่า
เล่มนี้ช่วยได้เยอะมาก เพราะเนื้อหาสอนให้เราเข้าใจพื้นฐานเรื่องธุรกิจ และการบริหารงานภายใน
ในแบบที่ไม่ต้องมีหลักวิชาการอะไรมากมาย
แต่ทุกตัวอักษรถูกกลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน รวมถึงเรื่องราวในโลกธุรกิจที่ผู้เขียนได้ประสบพบเจอมา
.
วิชาธุรกิจที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน 2 เป็นหนังสือรวมบทความเล่มที่ 2 จกาพี่ปิ๊ก
ซึ่งพี่ปิ๊กเขียนขึ้นในช่วงปลายปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิดระลอกใหม่ แต่ก็อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมต้องปรับตัวกันมาก
ทำให้เนื้อหาที่ตกผลึกออกมามีความเข้ากับยุคสมัย
บทเรียนที่พี่ปิ๊กฝากไว้ จึงสามารถหยิบจับนำไปใช้ได้ทันที
.
เนื้อหาแบ่งออกเป็น 4 หมวด ตามหัวข้อใหญ่ ๆ ที่ควรรู้ในการทำธุรกิจ
ได้แก่ Mindset, Skill sets, Strategy และ Action
.
ขนาดเล่มก็กำลังดี พกพาง่าย ความยาวเกือบ ๆ
300 หน้าก็ไม่หนาเกินไป และที่สำคัญอ่านเพลินมาก
ชอบภาษาสไตล์พี่ปิ๊กมาก คือตรงไปตรงมา ห้วน ๆ แต่ได้ใจความ
อ่านแล้วจะอยากอ่านบทต่อไปเรื่อย ๆ บางทีก็วางไม่ลง
ตัวผมเองอ่านไปลืมมองเวลา ผ่านไปอีกทีก็เกินครึ่งเล่มละ
.
ยังไงเล่มนี้แนะนำให้ทุกคนที่สนใจธุรกิจลองหาอ่านกันดูนะครับ
.
สรุปสั้น ๆ 9 บทเรียนบทโลกธุรกิจ ที่ต้องให้ชีวิตจริงเท่านั้นมาเป็นผู้สอน
1) 7 เหตุผลต้องห้ามในการเริ่มทำธุรกิจ
ถ้าใครอยากเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยเหตุผล 7 ข้อต่อไปนี้ บอกได้เลยครับว่าไม่น่ารอด
.
เหตุผลที่ 1: อยากรวย อยากได้เงินเยอะ ๆ ไว ๆ
จริงอยู่ที่ธุรกิจอาจทำเงินให้ได้ปริมาณมหาศาล
แต่ธุรกิจก็อาจทำให้เราขาดทุนได้มหาศาลเช่นกัน
.
แต่ประเด็นคือการโฟกัสกับกำไรมากเกินไป อาจทำให้เราเลือกกลยุทธ์ที่ส่งผลเสียกับตัวสินค้าและบริษัทของเราในระยะยาว
เช่น การเพิ่มราคาสินค้าแบบไม่ลืมหูลืมตา หรือการลดคุณภาพของสินค้าลง เพียงเพื่อรักษากำไรไว้
สุดท้ายแนวคิดแบบนี้ทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อถือ และอาจนำมาซึ่งความบรรลัยของธุรกิจได้
.
เหตุผลที่ 2: แค่ชอบและสนใจในธุรกิจนั้น
จริงอยู่ที่ ความชอบ และความสนใจจะสร้างความได้เปรียบในการธุรกิจได้มากมาย
แต่อย่าลืมว่า เราต้องมีทักษะอื่นมาประกอบด้วย
เช่น ทักษะการบริหารเงิน ทักษะการบริหารคน ทักษะการเจรจาต่อรอง
ถ้าขาดทักษะพวกนี้ ธุรกิจเราก็ไปไม่รอดเหมือนกัน
.
เหตุผลที่ 3: แค่ชำนาญในเรื่องที่ทำอยู่ จึงอยากเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจ
ความเก่ง ความชำนาญในเรื่อง ๆ หนึ่ง ก็อาจไม่เพียงพอให้เราทำธุรกิจให้สำเร็จได้ ถ้ายังขาดความชำนาญในเรื่องอื่น ๆ อยู่
.
เหตุผลที่ 4: เริ่มทำเพราะเชื่อว่า ‘คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้’
ประโยคนี้แม้จะเหมาะกับการสร้างแรงบันดาลใจในการลงมือทำและการพัฒนาตัวเอง
แต่ถ้าจะเริ่มธุรกิจด้วยคำพูดนี้ เราก็อาจไปไม่รอด
เพราะคำว่าคนอื่นทำได้ มีปัจจัยอีกมากมายหลายอย่างที่เราอาจไม่รู้ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
เช่น เขาอาจดวงดี เขาอาจมีคอนเนคชั่นเยอะ เขาอาจมีฐานลูกค้าตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ เขาอาจมีทีมงานที่ดีคอยซัพพอร์ตในด้านการตลาดและการบริหารงานอื่น ๆ
.
ถ้าเราขาดปัจจัยพวกนี้ไป เราก็คงสำเร็จได้ไม่เท่าเขา
.
เหตุผลที่ 5: อยากเอาชนะคำดูถูก
ในบางครั้งคนที่มาดูถูก หรือห้ามเราไว้ไม่ให้เริ่มทำธุรกิจ อาจมองเห็นอะไรบางอย่างที่เราไม่เห็นก็ได้
เช่น เราอาจไม่เหมาะกับธุรกิจนี้จริง ๆ หรือ ธุรกิจที่จะทำมีแนวโน้มที่จะตายสูงอยู่แล้ว
.
เหตุผลที่ 6: ตามกระแส
บางทีเทรนด์การบริโภคของตลาดก็มีขาขึ้นขาลง ถ้าเราเข้ามาทันตอนตลาดยังเป็นขาขึ้นก็คงยังพอทำกำไรได้
แต่หลาย ๆ คนเข้ามาช้าเกินไป ตอน ‘ตลาดกำลังจะวาย’ ซึ่งมีแต่ผู้ขายไม่มีผู้ซื้อ เพราะเทรนด์การบริโภคเปลี่ยนไปแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ธุรกิจเราก็คงไปไม่รอดแน่นอน
.
เหตุผลที่ 7: อยากมีอำนาจ อยากกุมบังเหียนงานทุกอย่างด้วยตัวเอง
หลายคนอาจไม่พอใจงานประจำ เพราะรู้สึกบริษัทไม่ถูกกับสไตล์ของตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถจะดำเนินการเรื่องทั้งหมดได้ โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น
.
ประเด็นคือ ตอนเราทำงานบริษัท งานที่รับผิดชอบอาจจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ส่วน
แต่พอทำธุรกิจ เรามีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นมาก
งานที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้องทำตอนทำงานบริษัท เราก็ต้องทำเองด้วยตอนทำธุรกิจ เช่น งานบัญชี งานโลจิสติกส์ การวางบิลเก็บเงิน การขออนุญาตราชการ การจัดการเรื่องภาษี
ถ้าเราทำหมดนี้ไม่ไหว ก็คงต้องเปลี่ยนใจไม่ลาออกมาอาจจะดีกว่า
.
.
2) เหตุผลดี ๆ ที่สนับสนุนว่าทำไมเราถึงควรเริ่มทำธุรกิจ
แบ่งเป็นด้าน ความคิด และความสามารถ
ด้านความคิด
1. อยากใช้ชีวิตที่มีความหมาย อยากตอบโจทย์ว่าตัวเองเกิดมาทำไม
2. อยากทดสอบความรู้ตัวเอง
3. อยากพิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง
4. อยากเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ
5. อยากมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต อยากมีเวลาเป็นของตัวเอง (แต่ต้องมีวินัยด้วยนะ)
6. อยากมีรายได้ตามความสามารถ เพราะเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่างานบริษัทที่รับผิดชอบอยู่
7. อยากเป็นผู้มอบสิ่งดี ๆ ให้สังคม
8. อยากมีความรู้สึกตื่นเต้น และท้าทาย
9. อยากเอาตัวเองออกจากสถานการณ์เครียดและกดดันในที่ทำงาน
10. อยากสร้างโอกาสด้วยตัวเอง
.
.
ด้านความสามารถ
1. มีความสุขกับการใช้เวลากับสิ่งที่ทำ
2. เข้าใจว่าหัวใจของธุรกิจที่ช่วยทำเงินอยู่ตรงไหน
เช่นจะทำธุรกิตอาหารก็ต้องทำอาหารให้ อร่อย สะอาด คุณภาพดี คงเส้นคงวา
3. คิดสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น หรือต่างจากเดิมได้
4. เห็นโอกาสเอาธุรกิจจากต่างประเทศมาลองทำในไทย
5. ทำแบบลองผิดลองถูกได้โดยไม่เบื่อ เพราะธุรกิจต้องมีการปรับตัวอยู่เรื่อย ๆ
6. มีเงินสำรองเพียงพอ ที่ไม่กระทบต่อสภาพคล่องของเงินในการใช้ชีวิตปกติ
7. ยังสามารถทำงานประจำ หรือมีรายได้ด้านอื่นอยู่
.
.
3) ทำธุรกิจให้เหมือนการขับรถ
เปรียบเทียบการทำธุรกิจเป็นการขับรถ เราจะเข้าใจได้ว่า
.
1. มีป้าหมายชัดเจน รู้แน่ชัดว่าจะขับไปไหน
2. เลือกรถให้เหมาะสมกับเส้นทางที่จะไป ถ้ามีเงินทุนน้อย ซื้อรถมือ 2 ก็พอ
ถ้าทางที่จะไปแคบ หารถคันเล็กที่ขับเข้าซอยได้ เป็นต้น
3. ออกตัวด้วยเกียร์ต่ำ แต่ทำกำไรด้วยเกียร์สูง
ธุรกิจต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีใครทำกำไรสูง ๆ ได้ตั้่งแต่วันแรกที่เริ่มทำ
เราต้องค่อย ๆ ออกตัวด้วยเกียร์ 1 ก่อน แล้วอดทนรอวันที่ธุรกิจออกดอกออกผล จนเติบโตไปเป็นเกียร์ 5 และสร้างกำไรให้เราได้
.
4. รู้จักเร่งและผ่อน ให้ถูกจังหวะ โดยพยายามติดตามดูสถาการณ์รอบ ๆ ของตลาด
5. เติมน้ำมัน และดูแลรักษาเครื่องยนต์ อย่าลืมเติมข้อมูลความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับธุรกิจที่ทำอยู่เสมอ
และอย่าลืมสอดส่องดูแลทีมงาน และเครื่องมือต่าง ๆ เป็นระยะ ให้พร้อมใช้งานอยู่ตลอด
.
6. หมั่นวัดผลทั้งเชิงรุก และเชิงรับ
เชิงรุกคือการวัดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ การทำความเร็ว อัตราการกินน้ำมัน
และเชิงรับคือ การเช็คดูปัญหาต่าง ๆ ไฟหม้อน้ำ ไฟเบรก สัญญาณเตือนบนหน้าปัด และหมั่นเอารถเข้าศูนย์อยู่บ่อย ๆ
.
7. ดูป้ายบอกทาง และสัญญานเตือน หมั่นคอยเช็คข่าวเศรษฐกิจ เทรนด์ผู้บริโภค ความเปลี่ยนแปลงของโลก
8. ไปไหนไม่ถูกลองถามคนแถวนั้น
อย่านั่งแต่ในออฟฟิศ และมโนว่าสิ่งที่คิดถูก เราต้องลงไปหน้างาน ถามจริงจากคนที่ทำงาน ถามจากลูกค้า เพื่อให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้เลือกทิศทางไปต่อให้ถูกต้อง
.
9. มองหน้า มองข้าง และมองหลัง
มองหน้า เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของเราไปข้างหน้า วิสัยทัศน์ของเราก็เหมือนกระจกบานใหญ่
มองข้าง เพื่อดูคู่แข่ง ถ้าเราไม่เห็นคู่แข่งคือ เราทิ้งห่างคู่แข่งมากแล้ว หรือคู่แข่งมาอยู่ในจุด blind spot ซึ่งแปลว่าเขาไล่เรามาทันแล้ว
มองหลัง เพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีต
.
10. ต่างคน ต่างขับ
ถ้ามัวแต่ไปสู้กับรถคันอื่น สุดท้ายก็จะไม่ได้ไปไหนทั้งคู่
ถ้าสู้กับคู่แข่งธุรกิจ สุดท้ายก็จะตายกันทั้งคู่
ทางที่ดีคือ ต่างคนต่างขับ แล้วลองหาช่องว่างในการขับ เหมือนช่องว่างในตลาด แล้วไปเจาะตลาดกลุ่มนั้น ง่ายและสะดวกกว่ามาก
.
.
4) ทฤษฎีฝาชี
ว่าด้วยเรื่องของการมอบหมายงาน
หลายคนที่ไม่ยอมวางมือจากการกุมบังเหียนงานทุกอย่างด้วยตัวเอง
อาจเพราะไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อมือคนอื่น สุดท้าย workload ของตัวเองเลยล้น
และกลายเป็นว่า งานย่อยหลายชิ้นก็ทำไม่ได้ดี
.
เปรียบเทียบเหมือน การที่เรามีอาหารอยู่บนโต๊ะหลายจาน แล้วพยายามปัดแมลงวันที่มาก่อกวนทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
แน่นอนว่าเราอาจทำได้ แต่เหนื่อย และอาจป้องกันแมลงได้ไม่หมด
.
วิธีที่ีดีกว่า จึงเป็นการเอาฝาชีหลายอันมาครอบอาหารแต่ละอย่างไว้
เปรียบเหมือนการมอบหมายงานให้ลูกน้องแต่ละทีมไปทำ
.
และเรามีหน้าที่สนับสนุน อำนวยความสะดวก และมองภาพรวมของธุรกิจ
เหมือนการาที่เรามองความเป็นไปของอาหารทุกจานบนโต๊ะ โดยไม่ต้องลงมือปัดแมลงวันเองทั้งหมด
.
.
5) 5 เหตุผลที่เราควรทำงานหลายอย่าง
1. งานแต่ละอย่างให้เราได้ไม่เหมือนกัน
บางงานให้เงินเลี้ยงชีพ บางงานให้ความสุข บางงานให้ประสบการณ์เอาไปต่อยอด บางงานให้คอนเนคชัน บางงานให้ทักษะ บางงานให้การยอมรับจากสังคม
.
2. ทำงานหลายอย่างไม่ได้ต้องกระทบกับเวลาในชีวิตทังหมด ถ้าเรารู้จักบริหารเวลาดีๆ
.
3. ทำงานหลายอย่างที่เชื่อมโยงถึงกัน และเอามาต่อยอดซึ่งกันและกันได้
เช่น พี่ปิ๊กผู้เขียน ทำงานหลายอย่าง แต่มีแกนหลักแค่ 2 แกนคือ งานทำคอนเทนต์ (เขียนเพจ, podcast, ทำรายการข่าว) กับงานบริหารธุรกิจ (ที่ปรึกษา, งานบรรยาย, งานจัดสัมมนา คอร์สออนไลน์)
ซึ่งสุดท้ายแล้ว งานทั้ง 2แกนซับพอร์ตซึ่งกันและกัน
ถ้าใครทำงานที่ไม่ซับพอร์ตกันเลย ระวังจะยืนระยะไม่ได้นาน
.
4. งานหลายอย่างช่วยลดความเสี่ยงให้เราได้ โดยเฉพาะเรื่องการมีรายได้มาจากช่องทางเดียว
5. งานหลายอย่าง ทำให้เราเก่งทักษะหลายด้าน สร้างโอกาสต่อยอดได้ในอนาคต
.
.
6) ความต่างของกลยุทธ์ (Strategy) และวิธีการ (Tactic)
กลยุทธ์คือแนวทางใหญ่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจ
ส่วนวิธีการคือ สารพัดวิธีที่จะช่วยให้เราบรรลุแนวทางนั้น ๆ
.
ตัวอย่างเช่น การเทน้ำออกจากแก้ว
สมมุติว่า เป้าหมายของเราคือ การเทน้ำออกจากแก้ว
กลยุทธ์มีอยู่ 5 วิธี คือ
1. เทน้ำออก
วิธีการมากมายเช่น เอียง คว่ำแก้ว เอาไม้เขี่ย เตะโต๊ะ
วิธีนี้สะดวกรวดเร็วแต่อาจสร้างความเสียหายให้ธุรกิจได้
.
2. ดูดน้ำออก
วิธีการเช่น ใช้หลอดฉีดยา เอาทิชชูมาซับน้ำออก
วิธีนี้คู่แข่งมาก แข่งกันดุเดือด เพราะทำง่าย และไม่ต้องไปกระทบกับตัวแก้วใส่น้ำ
ใครมีอุปกรณ์ดูดที่ดีกว่า มีประสิทธิกว่า ก็จะกลายเป็นผู้ชนะไป
.
3. แทนที่น้ำ
วิธีการ คือเอาของที่ตันมาใส่ลงไปในแก้ว แทนน้ำที่อยู่ข้างใน
ในโลกธุรกิจ กลยุทธ์แบบนี้คือ การเปลี่ยนผ่านธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น หรือการ transform องค์กรให้มีความทันสมัย
.
4. ปล่อยให้ระเหย
วิธีการคือ เอาแก้วไปตากแดด แล้วปล่อยให้น้ำระเหยออกไปเอง
เป็นกลยุทธ์ของคนใจเย็น เหมาะกับธุรกิจขาลง หรือธุรกิจที่เติบโตไม่ได้แล้ว จึงไม่ควรลงแรงทำอะไรมาก
5. ทำให้น้ำแข็งตัวแล้วดึงออก
วิธีการคือ การเอาไนโตรเจนเหลว มาทำให้น้ำแข็งตัว
เปรียบเหมือนกลยุทธ์ในโลกธุรกิจที่ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อให้องค์กรก้าวกระโดดได้
แต่ต้องลงทุนเงินมหาศาล และต้องต่อสู้กับแรงต้านจากทั่วสารทิศของคนในองค์กร
.
อย่าลืมว่า ไม่มีวิธีการหรือกลยุทธ์ไหนดีกว่าอีกอันหนึ่งเสมอ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสม
.
.
7) โลกของการแข่งขัน 3 แบบ
.
การแข่งขันแบบที่ 1: แข่งแบบประจันหน้า
เปรียบเหมือนการแข่งชกมวย เทควันโด ซึ่งเราต้องพยายามสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามมากที่สุด
การแข่งประเภทนี้ ถ้าเราเลือกสนามแข่งดี ๆ เจอคู่แข่งไม่โหด เราก็สามารถลงสนามให้ชนะได้
แต่สุดท้ายแล้ว อาจกลายเป็นว่า เราล้มกันทั้งคู่ เจ็บกันทั้งคู่ และอาจไม่รู้ว่าคนชนะจะยืนระยะไปได้นานแค่ไหน
.
การแข่งขันแบบที่ 2: แข่งทำสิ่งที่เหนือกว่า
เปรียบเหมือนการวิ่งแข่ง ให้เร็วกว่าเดิม หรือว่ายน้ำเข้าเส้นชัยให้เร็วกว่าเดิม
ในโลกธุรกิจก็คือ การทำสินค้าให้คุณภาพดีที่สุด การส่งของให้รวดเร็วที่สุด การจ่ายเงินให้ง่ายที่สุด
ข้อดีของการแข่งแบบนี้คือ ไม่ได้สร้างความเสียหายให้คู่แข่งมาก
แต่ความยากคือ เราต้องเหนือกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ จริง ๆ และจะมีแต่ผู้ชนะเท่านั้นที่จะอยู่รอด
.
การแข่งขันแบบที่ 3: แข่งกับตัวเอง
เปรียบเหมือน ยิมนาสติก กระโดดน้ำ ที่ให้กรรมการคอยให้คะแนน
การแข่งแบบนี้ เราโฟกัสแค่ธุรกิจของเราเอง ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร แล้วให้ลูกค้าเป็นคนตัดสิน
โดยอาจต้องสร้าง Ecosystem ขึ้นมาเองแบบ Apple หรือเซเว่น
ซึ่งทำได้ยาก แต่ก็ช่วยกั้นกำแพงไม่ให้คนอื่นเข้ามาแข่งกับเราได้ง่ายเช่นกัน
.
สุดท้ายแล้วธุรกิจในโลกทุกวันนี้ แข่งกันด้วย
- ความเร็วในการเข้าถึงตัวลูกค้า ใครถึงก่อนมีโอกาสก่อน
- ความสนใจของลูกค้า ที่มีข้อมูลมากมายพร้อมแย่งความสนใจ
- เงินในกระเป๋า ใครแย่งเงินในกระเป๋าของลูกค้าได้มากกว่ากัน
- ความเชื่อมั่น สร้างความน่าเชื่อถือในสินค้าหรือบริการของเรา
.
.
8) สร้างแลนด์มาร์คของธุรกิจตัวเอง
ตามเมืองต่าง ๆ จะมีสถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์คให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปถึง ไปถ่ายรูปกัน
ในธุรกิจก็ไม่ต่างกัน เราต้องมองหาว่าอะไรจะเป็น แลนด์มาร์ค ของธุรกิจเราได้
โดยแลนด์มาร์ค ต้องเป็นสินค้าหรือบริการประเภทที่ว่า ถ้านึกถึงสินค้า/บริการตระกูลนี้ ต้องนึกถึงร้านเราเป็นอันดับแรก
เช่น ถ้านึกถึงฮันนี่โทสต์ นึกถึง After You หรือนึกถึงชาบู นึงถึง Momo paradise เป็นต้น
.
สิ่งสำคัญคือ แลนด์มาร์คในธุรกิจเราต้องเป็นของระดับตำนาน ขึ้นหิ้ง เป็นของที่มีคุณภาพเยี่ยม
เราทำแล้วจึงไม่ควรเบื่อ เหมือนนักร้องที่มีเพลงดัง และไม่ว่าจะไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนก็จะร้องแต่เพลงขึ้นหิ้งที่ว่าซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีเบื่อ
.
ดังนั้นแล้ว ลองเจียดเงินส่วนหนึ่งของธุรกิจมาสร้างแลนด์มาร์คกัน แล้วเราจะเติบโตแบบก้าวกระโดดมาก
.
9) ปั้นตุ๊กตาหิมะแห่งธุรกิจกัน
ลองมาจัดพอร์ตสินค้าในธุรกิจของเราด้วยวิธีคิดแบบตุ๊กตาหิมะ
ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ส่วนคือ
1. เท้า - เปรียบเหมือนสินค้าลดราคา พวก flash sale ที่ทำหน้าที่เรียกแขกเข้าบ้าน
เราอาจลองดูสินค้าตกเกรด หรือสินค้าตกรุ่น มาทดลองลดราคาดูเพื่อให้มีลูกค้ามาสนใจร้านเราเพิ่ม
เราควรมีสินค้าประเภทนี้ประมาณ 15-20%
.
2. ตัว – เปรียบเหมือนสินค้าส่วนใหญ่ของพอร์ตสินค้า
เป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดกลุ่มใหญ่ สเปคอาจกลาง ๆ แต่เป็นสินค้าจำเป็น ยังไงเราก็ต้องมีโชว์ ขาดตลาดไม่ได้
เช่น พวกมาม่า บุหรี่ น้ำดื่มในร้านโชว์ห่วย หรือ เสื้อเชิ้ตสีขาว สีดำ ในร้านเสื้อผ้า
เราอาจลดราคาได้บ้าง แต่ไม่ต้องมาก เพราะลูกค้าต้องกลับมาซื้ออยู่แล้ว
เราควรจัดสินค้าประเภทนี้ไว้ 40% ของสินค้าทั้งหมด
.
3. หัว - สินค้าทำกำไร
เป็นสินค้าที่สร้างความแตกต่างของร้านเรากับร้านอื่น ช่วยสร้างตัวตนให้คนจดจำร้านเราได้
โดยอาจทำกำไรได้มากกว่าสินค้าอื่น แต่ยอดขายอาจไม่มากเท่า
เราควรมีสินค้าประเภทนี้ไว้ 30% ของพอร์ตสินค้าทั้งหมด
.
4. ของตกแต่ง – สินค้าสร้างความน่าสนใจ
เอาไว้เรียกลูกค้าให้สนใจร้านเรา ซึ่งหลายครั้งอาจเน้นไปที่การตามกระแสหรือเทรนด์ในปัจจุบัน
อาจเป็นสินค้าแปลก ๆ ที่ขายไม่ได้เลย แต่ก็ช่วยให้คนหันมามองสินค้าอื่นในร้านเรา
เราควรจัดไว้ประมาณ 5-10% ของพอร์ตสินค้า
.
.
.........................................................................................
ผู้เขียน: ธรรศภาคย์ เลิศเศวตพงศ์
จำนวนหน้า: 288 หน้า
สำนักพิมพ์: อะไรเอ่ย, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 12/2021
แนวหนังสือ: บริหารธุรกิจ
.........................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
Comments