10 ข้อคิดให้ชีวิตเดินต่อ ในวันที่ล้ม
จากหนังสือ ล้มแล้วไง ไปต่อ Fuck up and Move on
.
.
1. เป้าหมายในการทำงานของเรา อาจไม่ใช่เพื่อความสุขของตัวเอง แต่เป็นการทำงานเพื่อความสุขของคนอื่นด้วย
สำหรับหลายคนที่ยังหาเป้าหมายในการทำงานของตัวเองไม่เจอ
ลองมองไปให้ไกลกว่าตัวเองดู
.
ลองคิดว่า ถ้าเราทำงานของเราให้ดี ลูกค้าจะมีความสุขแค่ไหน
ถ้าเราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี เพื่อนร่วมงานก็อาจมีกำลังใจมากขึ้นเวลาเจอปัญหา
ถ้าเราเป็นลูกน้องที่ดี หัวหน้าเราก็จะเต็มใจช่วยเหลือเรา และมีกำลังใจขับเคลื่อนทีมต่อไป
ถ้าเราเป็นทำงานให้ดี กลับบ้านไปเราก็จะได้พลังบวกดี ๆ กลับไปเพิ่มให้ครอบครัวต่อ
.
.
2. ลองคิดว่าเราอาจไม่มีโอกาสทำงานที่ทำในวันนี้ตลอดไป
ถ้าเป็นเชฟ ก็จงตั้งใจทำอาหารมื้อนี้ให้ดีที่สุด
ถ้าเป็นครู ก็จงตั้งใจสอนหนังสือในคลาสนี้ให้ดีที่สุด
ถ้าเป็นพนักงานบริษัท ก็จงทำงานที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด
เราจะได้ส่งมอบความสุขจากงานที่เราทำ ให้คนอื่นได้อย่างเต็มที่
.
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า เราจะมีโอกาสทำงานตรงหน้านี้อีกสักกี่วัน
ถ้าเรามีโอกาสทำมันแล้ว ก็จงใช้โอกาสทำตรงนี้ให้เต็มที่
.
.
3. บอกกลับไปกับทุกอุปสรรคที่เผชิญในชีวิตว่า “แล้วไง”
หลายครั้งเรามักพบเจอกับคำปรามาส และสบประมาทในความสามารถของตัวเรา
มันอาจเป็นเหมือนข้อสอบภาคบังคับที่ยังไงเราก็ต้องเจอ
แต่เราไม่จำเป็นต้องยอมสยบให้คำสบประมาทเหล่านั้น
.
เราสามารถนำมันมาเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้เราพยายามมากขึ้น
แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่า เราทำได้ ไม่เหมือนที่ถูกปรามาสเอาไว้
ดังนั้นแล้วครั้งต่อไปถ้าต้องเจอกับอุปสรรคไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ให้ตอบไปดัง ๆ ก่อนเลยว่า “แล้วไง”
.
.
4. ชีวิตนี้อาจสั้นเกินกว่าที่เราจดจำเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น และลืมเลือนเรื่องดี ๆ ที่เคยมีให้แก่กัน
สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะเก่งแค่ไหน ประสบความสำเร็จมามากเท่าใด แต่ก็หนีไม่พ้นความตาย
ความเจ็บปวด ความแก่เฒ่า และความตาย เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องเหล่านี้คือ เรารู้ล่วงหน้าว่าตัวเรา และคนที่เรารักต้องเจอเข้าสักวัน
.
ดังนั้นวิธีรับมือกับข่าวร้ายเหล่านี้ อาจไม่ใช่การมานั่งเสียใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น
แต่เป็นการพยายามใช้เวลาทุก ๆ วันกับคนที่เรารักให้ดีที่สุด
ข้าวทุกมื้อที่ได้กินด้วยกัน จงกินให้อร่อย
หนังทุกเรื่องที่ได้ดูด้วยกัน จงดื่มด่ำไปกับมัน
และที่สำคัญ เรื่องเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จงให้อภัย
เพราะชีวิตเรามันสั้นจริง ๆ
.
.
5. Just enjoy it !! กับทุกเรื่องที่ทำในชีวิต
แม้ว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรก ครั้งสุดท้าย หรือครั้งที่เท่าไหร่ก็ตาม
เราควรสนุกไปกับมัน เอนจอยในทุก ๆ นาทีที่เราได้ทำมัน
เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ต้องจบลง
.
เหมือนคำพูดของนักกีฬาชื่อดังที่กำลังจะเลิกเล่น
การลงเล่นเป็นสนามสุดท้าย แม้จะรู้ว่าตัวเองแทบไม่มีโอกาสชนะการแข่งขันเลย
แต่สิ่งที่เขาจะได้จากการลงแข่งครั้งสุดท้ายนี้แน่ ๆ ก็คือ “ความสนุก”
จงสนุกไปกับมัน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็ตาม !
.
.
6. คนเดียวที่จะหยุดความฝันของเราได้ คือตัวเราเอง
แม้คนรอบข้างจะไม่สนับสนุนให้เราทำตามความฝันของเรา
แต่ถ้าเราไม่ล้มเลิกสักอย่าง เราก็ยังมีโอาสกที่จะทำตามฝันได้
.
แม้โชคชะตาดูเหมือนจะกลั่นแกล้ง และคอยทำให้ดูเหมือนว่าฝันเราจะไม่มีวันเป็นจริง
แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ และใช้สมองวิเคราะห์สถานการณ์ไปพร้อม ๆ กับใจที่มุ่งมั่น
สักวันหนึ่งเราจะต้องไปถึงฝันของเราอย่างแน่นอน !
.
.
7. งานอาจเป็นสิ่งที่หล่อหลอมตัวตนเราอยู่
หลายคนมองงานเป็นสิ่งที่ต้องทำให้จบ ๆ ไป เลยต้องเผชิญกับอาการเบื่องาน และมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ
คำแนะนำหนึ่งที่อาจช่วยได้ จึงเป็นการมองงานให้มากกว่าแค่สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ
ลองมองงานให้เป็นสิ่งที่กำลังหลอมรวมตัวเรากับผลงานเข้าด้วยกัน
งานกำลังสอนอะไรเราอยู่บ้าง และเราได้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนจากการทำงานนี้
.
ไม่แน่ว่าเราอาจได้ค้นพบถึงอิทธิพลของงานที่มีต่อตัวเรา
รวมถึงตัวตนของเราที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากงานที่เราทำอยู่โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
.
.
8. เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับใครสักคน เขาคนนั้นอาจค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเรา และเราก็อาจกำลังเปลี่ยนตัวเขาเหมือนกัน
หลายครั้งเรามักมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะอิทธิพลที่เรามีกับอีกฝ่าย
แต่แท้จริงแล้ว เราล้วนกำลังเปลี่ยนอีกคนอยู่เสมอ
สิ่งสำคัญคือ เราต้องพยายามทำให้มั่นใจว่า เราทั้งสองคนกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ช่วยส่งเสริมข้อดีของกันและกันให้ชัดเจนขึ้น
ส่วนข้อเสียบางข้อถ้าเปลี่ยนได้ก็ดี แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็ต้องปล่อยผ่านไปบ้าง
.
เพราะสุดท้าย เราทั้งคู่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเข้าหากัน และเติบโตไปด้วยกันในระยะยาว
.
.
9. โลกนี้กว้างใหญ่พอให้คนสองคนประสบความสำเร็จพร้อมกันได้
มีหลายครั้งที่เรามักมองคนที่อยู่ในวงการเดียวกันว่าเป็นคู่แข่ง
และถ้าถูกยุจากคนนอก เช่น พวกนักข่าวที่ชอบยุ ดารา/นักร้อง/ นักกีฬา ให้เกลียดกันเอง
เราก็อาจหลงกล สร้างความเกลียดชังขึ้นมาในตัว
.
แต่ถ้าเราเชื่อว่าโลกนี้ใหญ่พอที่จะทำให้คนหลายคนประสบความสำเร็จพร้อมกันได้
นอกจากเราจะไม่สร้างความเกลียดชังในตัวคนอื่นแล้ว
ใจเรายังสงบ และไม่เต้นไปตามพวกบ่างช่างยุ ที่คอยจุดไฟแห่งความเกลียดชังอยู่เสมอ
.
.
10. แทนที่จะคิดว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน” ให้ตั้งสติ แล้วค่อย ๆ คิดว่าเราจะ “หาทางแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง”
การคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำโดยโชคชะตาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อเราต้องเผชิญกับเรื่องที่เลวร้าย
แต่ถ้าเราตั้งสติ ค่อย ๆ หาวิธีแก้ไข โดยที่อาจไม่ต้องได้คำตอบในทันที แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่า เรากำลังหาทางจัดการกับเรื่องนี้อยู่ และเราเชื่อว่าสุดท้ายเราจะจัดการกับมันได้
.
การตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่แตกต่างกันสองแบบนี้ อาจให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันมหาศาล ระหว่างเหยื่อที่ยอมแพ้ต่อโชะตาอันเลวร้าย กับนักสู้ที่ฝ่าฟันอุปสรรคจนกลับมามีชีวิตที่สวงามอีกครั้ง
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
ต้องบอกว่าเนื้อหาที่ผมดึงมาเขียนสรุปข้างต้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของหนังสือที่มีเรื่องราวสนุก ๆ ให้อ่าน
โดยเรื่องราวแต่ละเรื่องจะแฝงข้อคิดให้กำลังใจชั้นดี
เหมาะมากกับคนที่ท้อ เบื่องาน และกำลังล้มลุกคลุกคลานกับชีวิตอยู่
.
ต้องบอกว่า คุณ ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ มีเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าเยอะ และเรียบเรียงได้ดีมาก
อ่านเพลิน ๆ ไม่เบื่อเลย
แถมจำข้อคิดได้ เพราะมีเรื่องราวประกอบอีก
.
โดยรวมแล้วเป็นหนังสือให้กำลังใจจากสำนักพิมพ์ Dot ที่ชอบมากครับ
.
.
.....................................................................
ผู้เขียน: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
จำนวนหน้า: 248 หน้า
สำนักพิมพ์: DOT, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 9/2022
.....................................................................
.
.
พิกัดการสั่งซื้อ:
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #ล้มแล้วไงไปต่อ #FuckupandMoveon
Comments