สรุป 15 ข้อคิดไม่ให้ชีวิตสู้กลับ
จากหนังสือ ลุกให้ไวในวันที่ใจล้ม
.
.
1 พลังฟื้นใจ (resilience) หมายถึงความสามารถที่ทำให้คนเราสามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เช่น เมื่อต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการระบาดของ COVID-19 หรือภาวะสงคราม
.
พูดสั้น ๆ คือ พลังฟื้นใจ เป็นสิ่งที่ทำให้เราลุกขึ้นใหม่ได้ ทุกครั้งที่เราล้ม
.
.
2. พลังฟื้นใจเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้
พลังฟื้นใจไม่ได้มีติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเกิดมาในฐานะใด ร่ำรวยเท่าไหร่
.
ทุกครั้งที่ชีวิตเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก และเราต้องเจอกับความล้มเหลว
นับเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้มาฝึกสั่งสมพลังฟื้นใจ
.
.
3. เมื่อชีวิตเรามีเพียง Option B สิ่งที่ทำได้อาจเหลือเพียงการพยายามสมานบาดแผลให้ตัวเอง และลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ในเมื่อ Option A ที่เราเคยมี ชีวิตแบบเดิมที่เราเคยเป็น ไม่ได้เป็นตัวเลือกให้เราอีกต่อไป
เราก็ต้องทำใจยอมรับว่าตอนนี้เหลือแค่ Option B แล้ว
เราจะเศร้าโศกเสียใจนานแค่ไหนก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้อสมานแผลใจให้ตัวเอง
และก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง กับตัวเลือกที่มีอยู่ที่เหลือ
.
.
4. พลังฟื้นใจไม่สามารถถูกสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว
เราจำเป็นต้องมีคนให้พึ่งพาและคอยสนับสนุน ในการค่อย ๆ สร้างพลังฟื้นใจขึ้นมา
เพราะพลังฟื้นใจที่ดีมักมีพื้นฐานมาจากความสัมพันธ์ที่ดี
.
.
5. ระวังการคิดบวกจนเป็นพิษ (toxic positivity)
ในสังคมปัจจุบันสามารถพบเห็นการคิดบวกจนเป็นพิษได้ทั่วไปตามโซเชียมีเดีย
คนพวกนี้ปฏิเสธที่จะยอมรับและมองเห็นความล้มเหลว
และต้องการที่จะรับรู้เพียงแต่เรื่องดี ๆ เรื่องบวก
ซึ่งลักษณะแบบนี้จะสร้าง “หัวใจแก้ว” ที่เปราะบางขึ้นมา
.
หัวใจแก้วเหล่านี้ แตกหักง่าย เพราะไม่เคยถูกฝึกให้รู้จักความยืดหยุ่น
หัวใจที่มีพลังฟื้นใจสูง เกิดจากการการได้ลิ้มรสความล้มเหลว และรู้จักเรียนรู้และลุกขึ้นอีกครั้ง
กล้ามเนื้อหัวใจแบบนี้จะมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และไม่เปราะบาง
.
ดังนั้นแล้ว สิ่งแรกที่เราควรฝึกเพื่อเพิ่มพลังฟื้นใจคือ การมองเห็นและยอมรับในความล้มเหลว
.
.
6. จงเมตตาต่อตัวเอง
แนวคิดความเมตตาต่อตัวเอง (self-compassion) ของ Dr. Kristin Neff กล่าวเอาไว้ว่า
ความเมตตาต่อตัวเองประกอบไปด้วย
1) ใจดีต่อตัวเอง ปฏิบัติต่อตัวเองอย่างอ่อนโยน และบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เรามีสิทธิล้มเหลวได้
2) เข้าใจว่า การมีความรู้สึกเจ็บปวดเป็นประสบการณ์ร่วมของมนุษย์ทุกคน
ทุกคนมีความทุกข์ มีความละอายใจ มีความผิดหวัง ไม่ได้มีแค่ตัวเราคนเดียวที่เป็นแบบนี้
3) มีสติ (mindfulness) รับรู้ว่ากำลังเกิดอารมณ์อะไรอยู่
เราควรทำตัวเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ และปล่อยให้พายุอารมณ์ลอยผ่านไป
.
ดังนั้นแล้วสิ่งที่จะช่วยให้เรามีพลังฟื้นใจได้ คือการที่เรายอมรับทุกอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บปวด ความทุกข์ ความผิดหวัง ต่าง ๆ
.
.
7. เมื่อมีใครสักคนกำลังโศกเศร้าอยู่ สิ่งที่เราควรทำคือเข้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ เขา โดยไม่ต้องพูดหรือให้คำแนะนำอะไรทั้งสิ้น
ปล่อยให้เขาได้แสดงความโศกเศร้าในแบบของตัวเขาเอง
เราเพียงแค่เป็นพยานในความโศกเศร้านั้น และคอยอยู่ข้าง ๆ เขา
.
.
8. รับฟังเสียงแห่งความรู้สึกผิดในใจ ที่หลายครั้งอาจจะเกิดจากค่านิยมที่เราถูกปลูกฝังมาในวัยเด็ก
เผชิญกับความรู้สึกผิดเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา และวิเคราะห์สาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร
พร้อมทั้งยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบในตัวเรา
ทุกคนมีจุดบกพร่องและข้อจำกัด
แต่ก็ยังมีควรค่าแก่การเคารพรัก
.
สุดท้ายให้แปรเปลี่ยนความรู้สึกผิดให้เป็นความรู้สึกขอบคุณ ว่าเรายังทำอะไรได้อีกมาก
และลงมือทำ เพื่อก้าวต่อไป
.
.
9. กอดเด็กตัวเล็ก ๆ ในใจเราที่กลัวความล้มเหลวอย่างมาก
โอบกอดเด็กคนนั้นไว้แน่น ๆ
เด็กคนนั้นอาจกลัวที่ต้องล้มเหลวเมื่อพยายาม
เด็กคนนั้นอาจกลัวที่เมื่อพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ
เด็กคนนั้นอาจกลัวที่เมื่อเห็นคนอื่นสำเร็จไปก่อน ตัวเองจะกดดันอย่างมาก
.
โอบกอดเขาไว้แน่น ๆ และกระซิบบอกเขาว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ตัวเธอนั้นมีค่าเสมอ !
.
.
10. เมื่อประสบกับความล้มเหลว ให้ลองวิเคราะห์ความล้มเหลวจาก 3 มุมต่อไปนี้
- ความล้มเหลวเกิดจากปัจจัยภายใน (ตัวเราเอง) หรือภายนอก
- ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งถาวร หรือชั่วคราว
- ความล้มเหลวนั้นครอบคลุมทุกด้าน หรือแค่บางด้านของชีวิต
.
ถ้าเราได้วิเคราะห์ความล้มเหลวจาก 3 มิติดังกล่าวแล้ว เราอาจค้นพบว่า ความล้มเหลวก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
หลายครั้งความล้มเหลวอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เราก็ควรยอมรับมัน และหันมาเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้จะดีกว่า
และหลายครั้งความล้มเหลวก็เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวที่กระทบต่อชีวิตเราเพียงด้านเดียว
เรายังมีชีวิตด้านอื่น ๆ อีกหลายด้านที่เราทำได้ดี และในไม่ช้าความล้มเหลวก็จะหมดไป
.
สุดท้ายแล้วถ้าเรามองว่าความล้มเหลวเป็นอุปสรรค ไม่ใช่ภัยคุกคาม เราก็จะเตรีวมตัวที่จะข้าม่านอุปสรรคนั้นไป ไม่ใช่พยายามหลีกหนีมัน
.
.
11. มองชีวิตให้เป็นเหมือนโครงเหล็กปีนป่าย ไม่ใช่บันได
ถ้าเราปีนบันได เราจะมีทางปีนแค่ทางเดียว และเมื่อคนข้างหน้าหยุดชะงัก เราก็จะปีนต่อไม่ได้
แต่ถ้าเรามองเป็นโครงเหล็กปีนป่าย เหมือนที่เด็กเล่นกันในสนามเด็กเล่น
เราก็จะพบว่า มีหลากหลายเส้นทางที่เราสามารถปีนขึ้นไปให้ถึงยอดได้
หรือก็อาจมีอีกหลายคนที่ไม่ได้อยากปีนถึงยอด เพียงแค่อยากลองปีน บางคนก็อาจเพียงอยากคุยกับคนอื่นระหว่างทาง
และถ้าเราเกิดเจออุปสรรค เราก็เพียงหักเลี้ยวและหันไปปีนทางอื่นต่อ
.
ถ้าชีวิตเราเป็นดั่งโครงเหล็กปีนป่าย เราจะมีเส้นทางปีนมากมายหลากหลาย
ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องเทียบกับใคร
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเป้าหมายเรา
และที่สำคัญที่สุด ถ้าเราเจออุปสรรค เราก็สามารถหักเลี้ยว และมองหาเส้นทางอื่นต่อไปได้
.
ดังนั้นลองเอาบันไดชีวิตออกไป และมองชีวิตเป็นความเป็นไปได้อันไม่จำกัดดู !
.
.
12. ความฉลาดทางมนุษย์สัมพันธ์ (relationship intelligence) เป็นสิ่งที่เราควรสร้างไว้
เพราะมันมีความสำคัญไม่แพ้ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยสร้างพลังฟื้นใจ
แต่โรงเรียนก็ไมเคยสอนเรา เราจึงต้องรู้จักที่จะฝึกฝนเรื่องนี้เอง
.
.
13. ยอมให้ตัวเองเปราะบางเพื่อความสัมพันธ์จะได้แน่นแฟ้นมากขึ้น
ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเกิดจากการที่ทั้ง 2 ฝ่ายแสดงความเปราะบางภายในจิตใจของตัวเองให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น
สมองเรามักคิดจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ
หลายครั้งเราแต่งเรื่องขึ้นมาจากการกระทำและคำพูดของอีกฝ่าย
มนุษย์เราเปราะบางมาก แต่ถ้าเราไม่ได้แสดงความเปราะบางนี้ออกมาเลย อีกฝ่ายก็คงไม่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่
.
เราจึงควรเพิ่มความกล้าในการแสดงความคิดของเราออกมาอย่างตรงไปตรงมา
แม้จะไม่รู้ผลลัพธ์ แม้ว่าเราจะกลัวการถูกปฏิเสธ
แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเปราะบางทั้งนั้น
และความเปราะบางนี้เองที่เป็นตัวเขื่อมให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นมากขึ้น
.
.
14. ความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้เกิดจากการช่วยเหลือกันในตอนล้มเหลวเท่านั้น แต่ตอนที่ฝ่ายหนึ่งสำเร็จ อีกฝ่ายก็ต้องร่วมยินดีไปด้วยจากใจจริง
มีปฏิกริยา (reaction) อยู่ 4 แบบ เมื่อคนใกล้ตัวเรามาบอกเรื่องราวดี ๆ
1) นักฆ่าบทสนทนา – ตัดบทด้วยอาหการเฉยชา และไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายเล่า เช่น บอกว่ายุ่งอยู่ ค่อยมาเล่าดีหลัง
2) หัวขโมยความสุข - สร้างความกดดัน และสงสัยในตัวอีกฝ่าย เช่น ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าได้เลื่อนตำแหน่ง ก็อาจตอบไปว่า ถ้างั้นเธอก็คงมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง หรือสงสัยว่าเธอจะรับผิดชอบงานที่มากขึ้นไหวจริงเหรอ
3) โจรปล้นบทสนทนา – เปลี่ยนเรื่องคุย และโอ้อวดความสนใจของตัวเอง อาจเพียงเพราะอิจฉา หรือรู้สึกเปราะบางในใจ
4) ผู้เพิ่มพูนความสุข - ร่วมแสดงความยินดีไปกับอีกฝ่าย ตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเล่า สัมผัสความสุขไปด้วยกัน และร่วมกันขยายความสุขให้ขยายตัวออกไป
.
ถ้าเรารู้ตัวว่ากำลังทำตัวเป็น นักฆ่าบทสนทนา หัวขโมยความสุข หรือโจรปล้นบทสนทนา ก็จงยอมรับและเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว
.
.
15. พาตัวเองมาสู่ จุดกึ่งกลาง (in-between)
หลายครั้งเราอาจสูญเสียตัวตนเดิม จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่นการเกิดขึ้นของ COVID-19
เปรียบเหมือนการที่เราพายเรือออกมาจากฝั่งที่เราคุ้นเคย และพายออกมาไกลมากพอที่จะไม่เห็นฝั่งนั้น และเรากลับไปยังจุดเดิมไม่ได้อีกแล้ว
แต่เราก็ยังไม่เห็นฝั่งที่เรากำลังจะไป
นี่คือจุดกึ่งกลาง ของ comfort zone ที่เราอยู่ กับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
.
สิ่งที่เราควรทำคือยอมจำนนต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงให้เรายอมแพ้
เราเพียงต้องโอบรับมัน และหาวิธีก้าวต่อไป
มองจุดกึ่งกลางให้เป็นพื้นที่ที่เราสามารถสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ ๆ มากมาย ไม่รู้จบ
ถ้าเราโอบรับความไม่แน่นอนนี้ได้ และค่อย ๆ ก้าวต่ไป สุดท้ายแล้วเราจะพาตัวเองไปยังฝั่งที่อยู่อีกด้านได้แน่นอน
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
เป็นหนังสือที่ดูเหมือนเป็นกลุ่มฮีลใจทั่วไป แต่เล่มนี้มีความลึกซึ้งกว่านั้น
น่าจะเรียกว่าเป็นหนังสือจิตวิทยามากกว่า เพราะหลักการและทฤษฎีมากมายถูกนำมาใช้อธิบายการทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะสร้าง “พลังฟื้นใจ”
.
ลุกให้ไวในวันที่ใจล้ม เขียนโดย ดร. หลิวเพ่ยเซวียน นักจิตวิทยาชาวไต้หวัน ผู้ต้องการเขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังล้มจากเหตุการณ์ COVID-19
โดยเธออยากนำหลักคิดเรื่องพลังฟื้นใจมาช่วยบรรเทาวิกฤตในใจนักอ่านหลายคน
.
ต้องบอกว่าหนังสือดีกว่าที่คิดมาก เพราะด้วยความที่คนเขียนเป็นนักวิชาการด้านจิตวิทยา จึงไม่ได้เขียนแค่แนวฮีลใจที่เป็นข้อความสั้น ๆ
แต่เป็นการตีความเชิงลึก ที่พยายามค้นเข้าไปถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราล้มลงจากการเจอวิกฤต และวิธีรับมือ พร้อมให้ตัวเองเด้งกลับขึ้นมาผงาดได้อีกครั้ง
.
หลายบทมีความเข้าใจยากระดับหนึ่ง เพราะสไตล์การเขียนไม่ได้ตรงไปตรงมา
แต่มีการเล่าการทดลอง เล่าเหตุการณ์ เล่าทฤษฎีต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
.
จัดเป็นหนังสือจิตวิทยากึ่งฮีลใจที่เหมาะกับคนที่ต้องการหนังสือที่ลึกไปกว่า ข้อความให้กำลังใจทั่วไป
แต่ส่วนตัวชอบเนื้อหา รู้สึกมีหลายส่วนที่จำง่ายและนำมาใชได้ได้จริง
ยังไงลองหาอ่านกันดูได้ครับ
.
.
พิกัดสั่งซื้อ: https://shope.ee/AK0ZwQLXSy
.
.
...............................................................................
ผู้เขียน:ดร. หลิวเพ่ยเซวียน
ผู้แปล: อัษฎา จันหยู
จำนวนหน้า: 320 หน้า
สำนักพิมพ์: Biblio
เดือนปีที่พิมพ์: --/2022
ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Discovering Resilience
...............................................................................
.
.
Comments