รีวิว ภาวะสมองบอด (พร้อมวิธีรักษา)
Creative Blindness (and how to cure it)
.
‘หลายครั้ง ไอเดียแสนบรรเจิดก็อยู่รอบ ๆ ตัวเรา แต่เพราะเราสมองบอด เลยมองมันไม่เห็น’
.
ถ้าใครถามว่าหนังสือแปลจากฝั่งตะวันตกเล่มไหนอ่านง่ายและสนุก
คำตอบสั้น ๆ ของผมคงเป็นหนังสือของ ‘Dave Trott’
.
และเล่ม ภาวะสมองบอด เป็นตัวอย่างที่ดีมาก
เพราะหนังสือเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนทึ่ง
ที่เราคงไม่ได้อ่านจากทีไหนอีก ถ้าไม่ใช่จากปลายปากกาของ Dave Trott คนนี้
.
Dave Trott เป็นนักโฆษณา และนักการตลาดระดับพระกาฬ
ที่มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
ทุกเรื่องในหนังสือเป็นเรื่องสั้น ๆ 2-3 หน้า ก็จบ
แต่ให้ข้อคิดด้านไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ที่ดีมาก
.
อ่านจบแล้วจะรู้สึกว่า ‘โหห คิดได้ไงวะ’
สุดยอดดด
ไอเดียสร้างสรรค์มีอยู่รอบตัวจริง ๆ นะ
.
และที่ชอบอีกเรื่องคือ การตกผลึกเป็นข้อคิด จากเรื่องราวที่เขาเล่า
เขาไม่ได้เล่าเฉย ๆ แล้วให้เราไปคิดต่อเอง
แต่เขาเล่า และเขาตกผลึกมาให้เรียบร้อย
.
โดยแม้ส่วนใหญ่ Dave Trott จะโยงเรื่องเหล่านั้นเข้ากับวงการโฆษณาและการตลาด
แต่ผมคิดว่า เราเอาไปโยงต่อเข้ากับชีวิตเราได้ในทุก ๆ เรื่อง
เพราะไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ก็คือไอเดียที่เอาไว้ใช้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็ก หรือใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เราแก้ได้ด้วยตัวคนเดียว หรือปัญหาที่ต้องอาศัยคนหลาย ๆ คนช่วยกันแก้
หรือแม้แต่ปัญหาระดับชาติ
.
หนังสือยาว 300 กว่าหน้า มีความหนาพอสมควร
แต่อ่านแล้วไม่เบื่อเลย
เพราะแต่ละบทสั้น ๆ
และเป็นเรื่องที่แตกต่างกันตลอด
.
อยากแนะนำว่าเล่มนี้ควรอ่านกันทุกคน
โดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านการตลาด
หรืองานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง
.
เล่มนี้อ่านง่ายกว่าพวกหนังสือ Grit Mindset เยอะพอสมควรครับ
เพราะกลุ่มนั้นเป็นหนังสือแนวงานวิจัย
เรื่องน่าสนใจเหมือนกัน แต่อ้างอิงจากงานวิจัยเสียส่วนใหญ่
แต่เล่มนี้เป็นเรื่องสั้นจากเรื่องจริง ที่ให้ข้อคิดปัง ๆ เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
.
สุดท้ายขอย้ำว่า หนังสือ ภาวะสมองบอด
เป็นหนังสือธุรกิจที่อ่านสนุกสุด ๆ เล่มหนึ่งตั้งแต่ได้อ่านมาครับ
.
ขอเล่าสั้น ๆ 5 เรื่องที่ผมชอบมากที่สุดจากหนังสือ ภาวะสมองบอด (Creative Blindness) ในภาษาของผมเอง ซึ่งจะเข้าใจง่าย แต่อาจตัดรายละเอียดไปพอสมควร
เอาเป็นว่าให้พอหอมปากหอมคอกันนะครับ
.
1) สุนัขจรจัด และนักโทษ
ในอเมริกาทุก ๆ ปี จะพบสุนัขจรจัดกว่า 2 ล้านตัวที่ถูกส่งเข้าศูนย์พักพิง
แต่เมื่อไม่มีใครรับไปอุปการะ
สุดท้ายพวกมันก็จะถูกการุณยฆาต เพราะงบประมาณที่ไม่มากพอ
.
แต่ปัญหาคือ สุนัขจรจัด หาบ้านไม่ได้ง่าย ๆ
เพราะว่าพวกมันตัวเหม็น สกปรก และไม่เชื่อง
.
หน่วยงานรัฐของอเมริกาจึงพยายามแก้ปัญหานี้โดยการหาคนที่มีเวลามากพอมาทำความสะอาดตัวสุนัขจรจัด
และเลี้ยงให้พวกมันเชื่อง
คนที่มีเวลาเหลือเฟือก็คือ ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ
.
การจับคู่ระหว่างสุนัขจรจัด และผู้ต้องขังคือการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว
นั่นคือการแก้ปัญหาเรื่องสุนัขจรจัด
และแก้ปัญหาขัดเกลาให้ผู้ต้องขังกลับตัวกลับใจ
เรียนรู้ที่จะอดทน มีความรับผิดชอบ และมีความไว้เนื้อเชื่อใจ
ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตในโลกจริง ๆ
.
การที่มีคนอุปการะสุนัข ถึงขนาดว่ามีพิธีประกาศจบการศึกษาทีเดียว
.
.
2) ความกลัวของ สตีฟ จ็อบส์
ในปี 2006 ช่วงที่บริษัทแอปเปิ้ลกำลังรุ่งโรจน์จากการขายไอพอดอย่างถล่มทลาย
สตีฟ จ็อบส์ ก็ฝันร้าย
และตื่นขึ้นมากลางดึกคืนหนึ่ง
เขานอนไม่หลับทั้งคืน และเรียกประชุมทีมแอปเปิ้ลเป็นการใหญ่ในวันรุ่งขึ้นทันที
.
สิ่งที่สตีฟ จ็อบส์กลัวคือ
โทรศัพท์รุ่นใหม่ของโนเกียออกลูกเล่นใหม่
นั่นก็คือ การดาวน์โหลดเพลงลงเครื่องได้แล้ว 6 เพลง !!
.
แน่นอนว่า จ็อบส์ไม่ได้กลัวการดาวน์โหลดเพลง 6 เพลงลงมือถือ
แต่เขากลัวว่าถ้ามันกลายเป็น 60 เพลง หรือ 600 เพลง ต่างหาก
เมื่อนั้น ไอพอดคงถึงกาลอวสาน
.
จ็อบส์จึงตัดสินใจอย่างแน่แท้ว่าจะมุ่งสู่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ
และไอโฟนก็โด่งดังเป็นพลุแตก มาจนถึงทุกวันนี้
.
ความกลัวของจ็อบส์ เป็นตัวช่วยสำคัญในการตัดสินใจครั้งนั้น
จริง ๆ แล้วความกลัวอยู่ในวิวัฒนาการของมนุษย์มานานแล้ว
.
สมมุติว่า โอกาสในการเจอก้อนหินกับหมี คือ 1:99
ถ้าเราเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็น ก้อนหิน ทุกครั้ง
เราก็คงไม่ต้องวิ่งหนี และใช้ชีวิตแบบสบายใจไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งวันที่เจอหมีจริง ๆ
เราก็คงจะถูกขย้ำตายคาที่
.
กลับกันถ้าเราเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็น หมี ทุกครั้ง
เราก็คงจะเหนื่อยจากการหนี 99 ครั้ง
และต่อให้เราคิดผิดกว่า 99 ครั้ง
แต่เราก็จะไม่ตายจาก 1 ครั้ง ที่เจอหมีเข้าจริง ๆ
.
ความกลัวจึงสร้างความได้เปรียบ
และทำให้เราเป็นคนระแวดระวังภัยได้
.
.
3) ปลอมตัวเป็น คู่เดท
เอมี เว็บบ์ ผู้หญิงคนหนึ่งเคยออกเดทจากการนัดบอดออนไลน์มาหลายครั้ง
แต่เธอไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง
เพราะผู้ชายที่เข้าหาเธอ เธอก็ไม่ชอบ
แต่คนที่เธอชอบ ก็ไม่มีใครสนใจเธอสักที
.
วันหนึ่งเธอจึงคิดกลยุทธ์ใหม่ด้วยการปลอมตัว
เธอสร้างโปรไฟล์ปลอม เป็นผู้ชายแบบที่เธอชอบ
แล้วลองดูว่า จะมีผู้หญิงคนไหนเข้ามาหาตัวผู้ชายที่เธอสร้างขึ้นบ้าง
ผู้หญิงพวกนั้นคือ คู่แข่งของเธอ
.
ผลปรากฏว่า เธอได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาก
ผู้หญิงที่สนใจผู้ชายพวกนี้ ใช้รูปถ่ายตัวเองที่ดูดี น่าดึงดูด
ในขณะที่เธอใช้รูปสบาย ๆ
และผู้หญิงเหล่านั้นเขียนข้อมูลสั้น ๆ
ในขณะที่เธอเขียนข้อมูลแบบยาวยืด
.
เมื่อเธอลองเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอตัวเอง
เธอก็ประสบความสำเร็จในการนัดเดทกับหนุ่มที่เธอใฝ่หา
.
นี่คือกระบวนการคิดแบบนักล่า
ไม่ใช่เหยื่อที่ถูกเลือก
เป็นการมองจากมุมคู่แข่ง
และทำตัวให้เหนือกว่าคู่แข่งเหล่านั้น
.
.
4) กลยุทธ์การโยนทิ้งของแมคโดนัลด์
เมื่อก่อนแมคโดนัลด์ขายอาหารกว่า 27 เมนู
เพราะแนวคิดที่ว่าขายเมนูอาหารมาก จะดึงดูดลูกค้าได้มาก
.
จนกระทั่งสองพี่น้องแมคโดนัลด์เข้ามาบริหาร
และค้นพบว่า รายได้ว่า 87% มาจากอาหารเพียง 3 เมนู
นั่นก็คือ แฮมเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด และเครื่องดื่ม
.
พวกเขาจึงตัดเมนูอื่นทิ้งทั้งหมด และขายแค่ 3 เมนู
การมีเมนูน้อยทำให้กระบวนการทำงานเป็นไปได้เร็วขึ้น
มากไปกว่านั้น ทั้ง 3 เมนู ยังเป็นเมนูที่ทำง่าย มีการทำเตรียมรอไว้ได้ระดับหนึ่ง
ทำให้พนักงานทำงานง่ายขึ้น การบริการลูกค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น
.
สุดท้ายลูกค้าก็มากขึ้น
จนแมคโดนัลด์ประสบความสำเร็จ และขยายสาขาด้วยการขายแฟรนไชส์ได้
.
นี่เป็นการประยุกต์ใช้กฎพาเรโตพื้นฐาน
ใคร ๆ ก็คงเคยได้ยินกฎ 80/20
นั่นหมายถึง ผลลัพธ์ 80 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากสิ่งสำคัญเพียง 20 เปอร์เซ็นต์
แต่คนที่เข้าใจและประยุกต์ใช้มันอย่างถูกต้อง
.
หลายธุรกิจใช้วิธีเพิ่มเมนู เพิ่มตัวเลือก
แต่ความจริงแล้ว กลยุทธ์ที่สำคัญกว่าคือการเลือกเฉพาะตัวเลือกที่สำคัญจริง ๆ
และโยนตัวเลือกที่เหลือทิ้งไป
.
.
5) พลิกสนามรบของตัวเอง
ในสงครามระหว่างชาวโรมันกับคาร์เธจ
เกิดการต่อสู้ทางทะเลครั้งใหญ่ขึ้น
.
ในขณะที่ชาวโรมันเก่งการรบบนบก ชาวคาร์เธจเก่งการรบในทะเล
เมื่อกองกำลังทั้งสองมีจำนวนเรือรบและพลทหารพอ ๆ กัน มาสู้กันในสมรภูมิทะเล
ชาวคาร์เธจที่เชี่ยวชาญการสู้รบในทะเลมากกว่า จึงน่าจะเป็นฝ่ายชนะ
.
แต่ชาวโรมันรู้เรื่องนี้ดี
และชิงจังหวะรบไม่ให้ชาวคาร์เธจใช้ข้อได้เปรียบดังกล่าว
ด้วยวิธีการจอดเรือเทียบสองฝั่งไม่ให้ชาวโรมันใช้ปืนใหญ่อย่างที่ถนัด
และใช้สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าสะพานไม้พับได้ ‘คอร์วัส’
มาติดไว้ตรงหน้าเรือ
.
ทันทีที่มีโอกาส พวกโรมันก็ปล่อยสะพานไม้นี้ลง
สะพานไม้ก็จะหล่นไปพาดเรือของศัตรู และถูกตะปูตรงหัวสะพานตอกเอาไว้กับเรือศัตรูอย่างแน่นหนา
ชาวโรมันจึงวิ่งขึ้นเรือศัตรู ไปสู้รบได้ทันที
และเมื่อนั้น จากสมรภูมิทางน้ำ ก็กลายเป็นสมรภูมิทางบก
.
ชาวโรมันจึงกลายเป็นผู้ได้เปรียบในการสู้รบครั้งนี้ทันที
และพวกเขาก็เอาชนะชาวคาร์เธจผู้เชี่ยวชาญการสู้รบทางทะเลได้
.
การเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามที่ตัวเองใช้จุดแข็งได้เต็มที่
คือบทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้
เราต้องไม่เล่นไปตามเกมของคนอื่น แต่เล่นในเกมที่เรารู้แน่ ๆ ว่าจะชนะ
.
.
.
...................................................................................................
ผู้เขียน: Dave Trott
ผู้แปล: พราว อมาตยกุล
จำนวนหน้า: 328 หน้า
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.
หมวดหมู่: บริหารธุรกิจ , การตลาด
...................................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #ภาวะสมองบอด
Comentários