top of page
  • Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว พ่อรวยสอนลูก






6 แนวคิดการเงินที่ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งได้เปรียบ

จากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad)

.

.

แนวคิดที่ 1: คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน

สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างคนรวย และคนจนคือ คนจนทำงานเพื่อได้เงิน แต่คนรวยทำงานเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ เมื่อได้เงินมาจึงนำเงินไปต่อยอดซื้อหรือสร้างทรัพย์สินสะสมไว้

และเมื่อทรัพย์สินตัวเองงอกเงยจนสร้างกระแสเงินสดมากพอ ก็จะใช้ทรัพย์สินเหล่านั้นผลิตเงินมาทำงานแทน

.

เรื่องที่ต้องรู้คือ ความรู้เรื่องการเงินเป็นสิ่งที่ต้องเรียนกันตลอดชีวิต โดยเราต้องเริ่มจากการมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อตัวเงิน เช่น ถ้าเราเชื่อว่าการมีเงินเยอะเป็นเรื่องไม่ดี หรือคนรวยขี้โกง

เราก็คงจะเกลียดเงินเยอะอยู่วันยังค่ำ

.

.

แนวคิดที่ 2: จงหมั่นเพิ่มพูนความรู้ทางการเงิน

ความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องไม่มีสอนในโรงเรียน

เพราะโรงเรียนมักจะสอนให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และเข้าทำงานโดยเป็นฟันเฟืองในองค์กรขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประเทศ

การเงินจึงอาจเป็นเรื่องที่ต้องเรียนกันเอาเอง

.

ดังนั้นแล้ว ถ้าอยากรวย เราต้องหาความรู้ทางการเงินให้ครบทุกด้าน รวมถึง การหารายได้ การใช้จ่าย การลงทุน และการเก็บออม

.

อีกคอนเซ็ปต์สำคัญที่ควรรู้คือ ความแตกต่างระหว่าง ‘ทรัพย์สิน’ และ ‘หนี้สิน

ทรัพย์สิน คือ เงินที่ไหลเข้ากระเป๋า

หนี้สิน คือ เงินที่ไหลออกจากกระเป๋า

.

คำถามคือ แล้วบ้านคืออะไร ระหว่างหนี้สิน หรือทรัพย์สิน

คำตอบคืออาจเป็นไปได้ทั้ง 2 ข้อ

- บ้านจะเป็น ทรัพย์สิน ก็ต่อเมื่อ บ้านสร้างกระแสเงินสดให้ไหลเข้ากระเป๋าเรา

เช่น เรานำบ้านไปปล่อยเช่า

- แต่บ้านจะเป็น หนี้สิน ก็ต่อเมื่อ บ้านสร้างแต่กระแสเงินสดไหลออกจากกระเป๋าเรา

เช่น เราอยู่อาศัยเอง แล้วต้องผ่อนเงินกู้จากธนาคารอยู่เรื่อย ๆ

การแยกให้ออกว่าสิ่งใดคือหนี้สิน หรือทรัพย์สิน เป็นสิ่งสำคัญมาก

.

เราสามารถนำทรัพย์สิน และหนี้สินมาแจกแจงความแตกต่างระหว่าง คนจน คนชั้นกลาง และคนรวย

1. กระแสเงินสดของคนจน

ตรงไปตรงมา เงินเดือนไหลเข้ามาแล้วไหลออกไปกับรายจ่าย ค่ากิน ค่าอยู่ และภาษี

ไม่มีเงินเก็บมาถึงช่องทรัพย์สินและหนี้สิน

.

2. กระแสเงินสดของคนชั้นกลาง

คนชั้นกลางมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย ทำให้มีกระแสเงินไหลเข้ามาในช่องทรัพย์สินและหนี้สิน แต่สุดท้ายเงินก็ไปกองอยู่ในช่องหนี้สินเสียหมด เมื่อพวกเขาซื้อบ้าน ซื้อรถ และผ่อนบัตรเครดิต

.

3. กระแสเงินสดของคนรวย

คนรวยไม่มีเงินเดือน แต่จะใช้ ทรัพย์สินที่มีผลิตเงินออกมาเป็นรายได้อัตโนมัติทุกเดือน

โดยทรัพย์สินดังกล่าว อาจเป็นได้ตั้งแต่ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น กองทุน และทรัพย์สินทางปัญญา

ส่วนรายได้ที่เกิดจากทรัพย์สิน ก็ไล่ตั้งแต่ เงินปันผล ดอกเบี้ย ค่าเช่า ค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ

.

สิ่งสำคัญคือ คนรวยเอารายได้ที่ผลิตได้กลับไปลงทุนในช่องทรัพย์สินให้ผลิตเงินออกมาอย่างต่อเนื่องต่อไปเรื่อย ๆ

.

.

แนวคิดที่ 3: จงหมั่นเพิ่มพูนทรัพย์สิน และลองสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง

ไม่ได้แปลว่าเราต้องลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจโดยทันที

หลายคนสามารถเรียนรู้การทำธุรกิจไปพร้อมทำงานประจำได้

นอกจากนี้ การทำงานประจำควบคู่ไปกับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่อาจปลอดภัยกว่า

.

แม้ธุรกิจจะช่วยทำให้เกิดกระแสเงินสดไหลเข้ามาก

แต่ก็ยังมีอีกหลายทางเลือกนอกจากการทำธุรกิจ ที่สามารถเป็น เครื่องผลิตเงิน ให้เราได้

เครื่องผลิตเงินดังกล่าว คือการที่สิ่งนั้นสร้างทรัพย์สินของเราให้งอกเงยขึ้นเรื่อย ๆ เช่น

- การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า

- การลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) และกองทุน เพื่อเงินปันผล

- ทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ เช่น สิทธิบัตร หรือลิขสิทธิ์เพลง และงานเขียนต่าง ๆ

.

.

แนวคิดที่ 4: เข้าใจที่มาของภาษี และบริหารภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

.

วิธีหนึ่งที่ผู้เขียนแนะนำคือ การลงทุนในรูปแบบนิติบุคคล

เพราะเมื่อโดนเก็บภาษี เราจะสามารถนำรายจ่ายทางธุรกิจมาหักเพื่อลดหย่อนภาษีต่อเนื่องต่อจากการลดหย่อนภาษีส่วนบุคคล

นอกจากนี้แล้วคนรวยยังสามารถจ้างทนายเก่ง ๆ มาช่วยดูแลลดการหย่อนภาษีอย่างถูกกฎหมายได้อีกด้วย

.

.

แนวคิดที่ 5: คนรวยสร้างเงินเองได้

การสร้างเงินเองได้ในที่นี้หมายถึง การลงมือเปลี่ยนไอเดียที่มีให้กลายเป็นกระแสเงินสด

นั่นก็คือ การใช้ไอเดียช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น

.

ในชีวิตจริงแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนฉลาดแต่เป็นคนกล้า

คนที่จะกล้าที่จะลงมือทำไอเดียให้เกิดขึ้นจริง และต้องใช้ไหวพริบทางด้านการเงินที่มากพอในการเปลี่ยนเงินก้อนเล็กให้เป็นเงินก้อนใหญ่

.

ไหวพริบทางการเงิน ประกอบไปด้วย 4 ทักษะใหญ่ ๆ นั่นคือ

1) ความสามารถในการอ่านตัวเลข งบการเงินของบริษัท

2) กลยุทธ์ในการลงทุน

3) ความเข้าใจตลาด ทั้งอุปสงค์และอุปทาน

4) ความเข้าใจกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งระบบบัญชี

.

.

แนวคิดที่ 6: จงทำงานเพื่อเรียนรู้ อย่าทำงานเพื่อเงิน

การเรียนรู้ที่ว่านี้ไม่ใช่การเรียนรู้แบบสะเปะสะปะ หรือแค่เรียนให้เก่ง แบบเรียนในโรงเรียน

แต่มันคือการ เรียนรู้ทักษะสำคัญในการหาเงิน

ซึ่งรวมถึงความรู้ด้านการเงินพื้นฐาน เรื่องหลักและวิธีการลงทุน เรื่องความเข้าใจในการเลือกทรัพย์สิน การทำบัญชี ภาษี กฎหมายต่าง ๆ เรื่องระบบ รวมทั้งเรื่องคนและตลาด

.

ความรู้อีกเรื่องที่สำคัญ คือ เรื่องการขาย

ตัวอย่างเช่น คุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ก็เคยลองไปทำงานเป็นพนักงานขายที่บริษัทซีร็อกซ์ เพื่อเพิ่มทักษะการขายให้ตัวเอง ทั้ง ๆ ที่งานที่ทำอยู่ตอนแรกก็มั่นคงดีแล้ว

ในตอนแรกเขาขายของไม่ได้เลย แต่เพราะการหมั่นเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ๆ ไม่นานเขาก็ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นท็อปเซลล์ของบริษัท และยังได้ทักษะการขายติดตัวไปใช้ตอนลงทุนอสังหาริมทรัพย์อีกต่างหาก

.

แม้เราอาจกลัวและขี้เกียจออกไปหาทักษะใหม่ ๆ แต่ลองคิดถึงการออกกำลังกาย ช่วงแรกเราอาจขี้เกียจออกกำลังกาย แต่พอออกเสร็จเราจะรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

การขายก็เช่นเดียวกัน ถ้าขายได้มันคือความภูมิใจในตัวเอง

.

.

รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน

‘หนังสือในตำนาน ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องเงินของคนทั่วโลก ไปแบบสิ้นเชิง’

.

ไม่อยากจะเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ออกมาตั้งแต่ปี 1997

เกินกว่า 20 ปีแล้ว

นับว่าไอเดียเรื่องการเงินในหนังสือเป็นสิ่งแปลกใหม่มากในตอนนั้น

แต่ในปัจจุบัน แทบจะกลายเป็นนอ์รมของคนรุ่นใหม่ไปแล้ว

ความเชื่อหลาย ๆ อย่างของพ่อรวยสอนลูก เรียกได้ว่าปฏิวัติโลกของการทำงาน และการวางแผนชีวิตของใครหลายคน

หลายคนไม่อยากทำงานเป็นลูกจ้าง ก็เพราะหนังสือเล่มนี้

หลายคนผันตัวมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว ก็เพราะหนังสือเล่มนี้

หลายคนเลิกเรียนหนังสือ และพยายามสร้างระบบธุรกิจของตัวเอง ก็เพราะหนังสือเล่มนี้

และหลายคนกลายเป็นหนี้ ก็เพราะอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่เอาไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง

.

อย่างไรก็ตามนับว่าแนวคิดในหนังสือเล่มนี้ เป็นสิ่งที่ควรรู้ไว้

แต่การประยุกต์ใช้ ต้องไปว่ากันอีกที

ถ้าดูจากลิสต์หนังสือเปลี่ยนชีวิต ในโพลคือเห็นพ้องต้องกันอย่างชัดเจนว่า

พ่อรวยสอนลูก มักจะมาเป็นเล่มแรก ๆ เสมอ

ในโพลของกลุ่มหนังสือควรอ่านก่อนอายุ 30 ก็เช่นกัน

หนังสือพ่อรวยสอนลูก มาเป็นที่หนึ่ง ทิ้งห่างอันดับสองแบบไม่เห็นฝุ่น

.

พ่อรวยสอนลูก เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องแนวคิดทางการเงินของ คุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ผ่านพ่อของเขา 2 คน

คนแรกคือ พ่อแท้ ๆ ของเขา ที่โรเบิร์ตเรียกว่า ‘พ่อจน’ เขาเป็นนักวิชาการ เรียนจบปริญญาเอก มีการศึกษาสูง รับราชการ และค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นไปจนทำงานให้ภาครัฐในระดับสูง แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลวด้านการเงิน อาจเพราะเขามีแนวคิดเรื่องเงินไม่ถูกต้อง และไปลงเล่นการเมืองในฝั่งที่ปราชัย

.

คนที่สอง คือ พ่อของเพื่อน ที่โรเบิร์ตเรียกว่า ‘พ่อรวย’ เขาเป็นคนที่เรียนจบเพียงชั้นมัธยม แต่ด้วยความรู้ความสามารถทางการเงิน และการมีแนวคิดทางการเงินที่ถูกต้อง พ่อคนนี้จึงได้เติบโตขึ้นมาเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่เกาะฮาวาย ถิ่นที่อยู่ของโรเบิร์ต

.

หนังสือชุดนี้ก็จะเล่าความแตกต่างของแนวคิดทางการเงิน ผ่านพ่อทั้ง 2 คนนี้ ซึ่งเป็นคนฟูมฟักโรเบิร์ตขึ้นมา จนตกผลึกเป็นไอเดียในหนังสือเล่มนี้

.

จริง ๆ แล้วหนังสือพ่อรวยสอนลูกมีต้นกำเนิดมาจากการที่ ผู้เขียน โรเบิร์ต คิโยซากิ พยายามจะขายเกมกระดาน

ที่ชื่อว่า เกมกระแสเงินสด (cash flow) ที่ให้ผู้เล่นแต่ละคนเลือกอาชีพ 1 อย่าง

และเดินไปเรื่อย ๆ เหมือนเกมเศรษฐี ซึ่งแต่ละช่องที่ตกก็จะกลายเป็น ช่องทรัพย์สิน และหนี้สิน

เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าคนใดคนหนึ่งจะหาทางออกจากวงล้อหนูถีบจักร แล้วได้ขึ้นทางด่วนแห่งอิสรภาพทางการเงิน

นั่นก็คือการมี Passive income ที่มากกว่ารายจ่ายประจำ

อาจจะเล่นจนกว่าทุกคนจะขึ้นทางด่วนกันหมดก็ยังได้

.

แต่เพราะว่าเกมกระดานที่ว่านั้นขายไม่ดีเลย สุดท้ายคุณโรเบิร์ตจึงเปลี่ยนมาขายคู่มือเล่นเกมกระดาน นั่นก็คือหนังสือ พ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad)

แล้วก็ไม่รู้เป็นอีท่าไหน หนังสือตระกูลพ่อรวยสอนลูกก็ดังเป็นพลุแตกขึ้นมา

ทำให้เกมกระแสเงินสดก็ดังไปด้วย

สุดท้ายแล้ว หนังสือชุดพ่อรวยสอนลูก ก็เลยคลอดออกมาต่อเนื่องกว่า 20 กว่าเล่ม

เป็นซีรี่ย์หนังสือสีม่วงทางการเงินที่โด่งดังไปหลายประเทศ

รวมถึงในไทยด้วย

.

แต่หนังสือก็ประสบกับคำวิจารณ์มากกว่าที่คาด

เพราะมีความสุดโต่งทางความคิดพอสมควร

เริ่มตั้งแต่การที่ผู้เขียนเรียกพ่อแท้ ๆ ของตัวเองว่าพ่อจน

และเรียกพ่อคนอื่นว่าพ่อรวย

หรือการที่หนังสือเน้นความคิดที่ต้องสร้าง passive income และเป็นอิสรภาพทางการเงิน

แต่ไม่ได้พูดถึงมิติด้านความสุขในการทำงาน รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์

.

หนังสือเล่มนี้จึงมีความเป็นดาบสองคม ในหลาย ๆ แง่

หนังสืออาจเป็นเหมือนตัวช่วยสำคัญที่จะสร้าง mindset ใหม่สำหรับเรื่องการเงินสำหรับใครหลาย ๆ คน

แต่ก็อาจสร้างความเครียด และความกดดันให้กับคนอีกหลายคน

เนื่องจากโอกาสในการลงทุนของแต่ละคนอาจมีไม่เท่ากัน

และการเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงินนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคตลอดทาง

.

อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวผมเอง

มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย

นับเป็นหนังสือที่เปิดโลกการเงินของจริง

แนวคิดหลาย ๆ อย่างในหนังสือก็ยังส่งอิทธิมาถึงการเลือกอาชีพและการทำงานในปัจจุบัน

ตอลดเวลานั้น ผมได้หยิบหนังสือมาอ่านซ้ำหลายครั้ง

เพราะบางทีก็จำรายละเอียดไม่ได้ และประสบการณ์ในการทำงานที่มากขึ้น ก็ช่วยให้เข้าใจคอนเซ็ปต์ของหนังสือได้ดีขึ้นด้วย

.

สุดท้ายนี้จึงอยากแนะนำให้คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือตระกูลพ่อรวยสอนลูกเลย ได้ลองอ่านกันดูสักครั้งนะครับ

แต่ไม่ต้องตามเก็บครบทุกเล่ม

เพราะมันเยอะมาก และเนื้อหาก็มีความซ้ำซ้อนกันพอควร (ผมเองก็อ่านแค่ไม่กี่เล่ม แต่ได้ยินมาแบบนั้น จากหลาย ๆ คนครับ)

เล่มที่แนะนำให้อ่านก็คือ

เล่มนี้ พ่อรวยสอนลูกเล่มแรก

เพราะเป็นการปูแนวคิดพื้นฐานทางการเงินของโรเบิร์ต

และ เล่มที่ 2 เรื่องเงิน 4 ด้าน

ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักที่ถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย

.

เล่มอื่น ๆ ถ้ามีโอกาสค่อยไปตามเก็บกันทีหลังครับ

.

.

........................................................................................................................

ผู้เขียน: Robert T. Kiyosaki

ผู้แปล: จักรพงษ์ เมษพันธุ์, ธนพร ศิริอัตรกรกุล

จำนวนหน้า: 376 หน้า

สำนักพิมพ์: ซีเอ็ดยูเคชั่น, บมจ.

เดือนปีที่พิมพ์ (ปกใหม่): 2022

ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Rich Dad Poor Dad

........................................................................................................................

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #พ่อรวยสอนลูก




687 views0 comments
Post: Blog2_Post
bottom of page