รีวิว พลังแห่งการตั้งคำถาม
.
‘หากเราตั้งคำถามได้ดี ก็จะมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งตัวเราและคนรอบข้างได้’
.
คนญี่ปุ่นมีความคล้ายคนไทยตรงที่ เวลาถามว่า ‘มีอะไรจะถามมั้ย’
แทบไม่มีคนยกมือ
อาจเพราะกลัวถูกมองว่าฟังไม่รู้เรื่อง หรือต้องเปิดเผยจุดอ่อนตัวเองตอนถาม
.
แต่แท้จริงแล้ว
แม้แต่คนฉลาดก็ใช่ว่าจะรู้ทุกอย่าง
และพวกคนหัวดีเหล่านี้เองที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่รู้ และกล้าถาม
การถามคำถามที่ดี จึงอาจมีพลังมากกว่าที่คิด
.
หนังสือพลังแห่งการตั้งคำถาม เขียนโดยอาจารย์ เคนอิจิโร่ โมจิ
ผู้มีผลงานการเขียนมาแล้วหลายเล่ม รวมถึง the little book of Ikigai: อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่
แต่ความจริงแล้วอาจารย์ไม่ใช่แค่คนที่มีความรู้ด้านปรัชญาเพียงอย่างเดียว
อาจารย์เคน โมจิ เป็นนักประสาทวิทยา รู้เรื่องราวการทำงานของสมองมากมาย
มีความสนใจพิเศษด้านวิยาศาสตร์ และศิลปะ
.
หนังสือเล่มนี้จึงใช้หลักการทางสมอง และประสาทวิทยา พร้อมทั้งตัวอย่างมากมายจากเรื่องราววิทยาศาสตร์และศิลปะ
มาอธิบายว่า ทำไมการตั้งคำถามจึงสำคัญ
และการตั้งคำถามที่ดีควรมีลักษณะไหน
พร้อมมีตัวอย่างว่าคำถามแบบไหนคือคำถามที่ดี
.
เป็นหนังสืออีกเล่มที่กระชับ และมี key messages น่าสนใจหลายอย่าง
สิ่งที่ชอบที่สุดคือ การมีความเชื่อมโยงกับหลักประสาทวิทยาและการทำงานของสมอง
เพราะปกติหนังสือแปลญี่ปุ่นจะเป็นการเล่าประสบการณ์ซะมากกว่า
เล่มนี้จึงค่อนข้างครบถ้วนในเชิงอรรถรส
มีจิตวิยาที่น่าสนใจ แตกต่างจากเรื่องที่เราเคยรู้อยู่บ้าง
.
แต่เนื้อหาโดยรวมแล้ว ยังไม่ได้ว้าวอะไรขนาดนั้น
อาจเพราะเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงกับคำถามเท่านั้นด้วย
ส่วนตัวยังชอบเล่มก่อนของอาจารย์ หนังสืออิคิไกมากกว่า
แต่ถ้าใครชอบหนังสือของ Welearn อยู่แล้ว ก็ลองหาอ่านกันได้ครับ
อ่านเพลิน ๆ สั้น ๆ จุดให้เราลองคิดทบทวนตัวเองสัก 2-3 ประเด็น
.
สุดท้ายขอเล่าสั้น ๆ ถึง 5 เรื่อง ที่ชอบจากหนังสือพลังแห่งการตั้งคำถาม นะครับ
.
1) ในโลกนี้ปัญหาส่วนใหญ่ที่เราพบเจอนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องตายตัว
สิ่งนี้ต่างจากสมัยเราเรียนมัธยม และต้องท่องจำตำราไปสอบมาก
.
ลองคิดถึงคำถามประเภทว่า
‘เราควรแต่งงานอายุเท่าไหร่’
‘เราควรเข้าทำงานที่บริษัทใหญ่มั้ย’
‘เราต้องแต่งตัวยังไง เพื่อให้ดูทำงานเก่ง’
.
คำถามพวกนี้ล้วนไม่มีคำตอบตายตัว
ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นกับ แต่ละบุคคล และขึ้นกับสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งสิ้น
.
หรือแม้แต่โลกวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
เพราะเราตั้งสมมุติฐานต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เวลาเราจะตอบคำตอบ เราก็ต้องอ้างอิงกับสมมุติญานเหล่านั้น
แต่ถ้าสมมุติฐานที่เราตั้งขึ้นมาเกิดผิดละ
เราก็ต้องตั้งสมมุติฐานใหม่ เพื่อพยายามหาคำอธิบายใหม่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
.
และนี่เป็นอีกสาเหตุที่การตั้งคำถามที่ดี จะนำมาซึ่งคำตอบที่ดีได้
เพราะแค่ตั้งคำถามใหม่ การหาคำตอบอันไม่ตายตัวแบบใหม่ เพื่อตอบคำถามก็จะเกิดขึ้น
.
.
2) จงเปลี่ยนปัญหาที่คลุมเครือให้เป็นคำถามที่หาคำตอบได้
ข้อแตกต่างระหว่าง ข้อสงสัยและปัญหาคือ
ข้อสงสัย = ทักษะการใช้ความรู้สึก ในการรับรู้ถึงความคลุมเครือ และความผิดปกติ
ปัญหา = ทักษะการใช้เหตุผล ในการคิดหาคำถามที่เชื่อมโยงไปสู่การหาคำตอบที่ชัดเจน
.
สิ่งสำคัญจึงเป็น การใช้ความรู้สึกตัวเองรับรู้สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในใจเรา
โดยการยอมรับแบบตรงไปตรงมา
การรู้เท่าทันตัวเองในขั้นถัดมาช่วยให้เรามองเห็นปัญหา
แล้วค่อย ๆ เชื่อมโยงปัญหาดังกล่าว เข้ากับวิธีการว่า เราควรทำอย่างไรเพื่อหาคำตอบ โดยใช้หลักเหตุผล
.
.
3) ในโลกนี้มีคนอยู่ 3 ประเภท
ประเภทที่ 1: คนที่ไม่เคยตั้งคำถาม
ประเภทที่ 2: คนที่ตั้งคำถามได้ไม่ดี
ประเภทที่ 3: คนที่ตั้งคำถามได้ดี
.
สิ่งที่แตกต่างอย่างเด่นชัดของคนที่รู้จักตั้งคำถาม กับคนไม่เคยตั้งคำถามเลย คือ
1. การแก้ปัญหา – การตั้งคำถามนำมาซึ่งการจัดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้
2. การเข้าความรู้สึกของตัวเอง – ว่าเราชอบทำแบบนี้ หรือคิดแบบนั้น
3. การตั้งคำถามนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ – และช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระตามใจตัวเราเอง
ถ้าเราไม่เคยตั้งคำถามกับเรื่องอะไรเลย เราก็จะใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ที่คนอื่นตั้งไว้ ไม่สามารถมีชีวิตเป็นของตัวเองได้
.
ส่วนความแตกต่างระหว่างการตั้งคำถามที่ดี และไม่ดี คือ
การกำจัดความคลุมเครือ และการสร้างผลลัพธ์ได้ชัดเจน และไม่ใช่เพียงครั้งคราว
.
.
4) คำถามที่ไม่ดีมีลักษณะ 5 อย่างดังต่อไปนี้
คำถามที่ไม่ดี เช่น
“ต้องนอนกี่ชั่วโมงถึงจะดี”
“อาหารสมองที่ดีคืออะไร”
“ควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนอายุเท่าไหร่”
“ควรตื่นมาอ่านหนังสือตอน 8 โมงเช้าดีรึเปล่า”
.
คำถามพวกนี้คือคำถามที่ไม่ดี เพราะขาดบริบท และขาดการตั้งสมมุติฐาน
เช่น คำถามเรื่องตื่นมาอ่านหนังสือตอน 8 โมงดีรึเปล่า
ถ้าเราเข้านอนตอน ตี 5 คำตอบก็คงจะเป็น ไม่ดี
หรือถ้าเราอยู่ในประเทศเขตหนาว 8 โมงเช้า ฟ้ายังมืดอยู่เลย
.
เหมือนเรามองต้นไม้ที่อยู่ในพื้นที่โล่ง ไม่มีป่าล้อมรอบ
เราจึงต้องหัดมองต้นไม้โดยมองป่าที่ล้อมรอบอยู่ด้วย
นั่นคือการมองบริบทโดยรอบด้วยนั่นแอง
.
โดยสรุปแล้วคำถามที่ไม่ดีล้วนมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ต้องการคำตอบที่ถูกต้องแน่นอน
2. ขอให้ช่วยแนะนำสิ่งดี ๆ
3. ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้วย
4. คาดคั้นอีกฝ่าย
5. ให้เลือกอย่างใด อย่างหนึ่ง
.
.
5) คำสำคัญที่ช่วยให้ตั้งคำถามได้ดี
1. เวลา - คำว่า “ตอนนี้” มีความสำคัญมาก
เช่น “ปัญหานี้ ตอนนี้เราควรรีบทำอะไรมากที่สุด”
หรือ “ตอนนี้สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดคืออะไร”
.
2. จุดมุ่งหมาย - คำว่า “อยากทำอะไร”
เป็นการตั้งคำถามโดยให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่เรามี
เป็นเหมือนเข็มทิศนำทางเราไปสู่การหาคำตอบ
เช่น “ตอนนี้เราอยากทำอะไรมากที่สุด”
.
3. วิธีการ - คำว่า “ควรทำอย่างไร”
เป็นการตั้งคำถามที่นำมาซึ่งการลงมือทำในขั้นถัดไป
เช่น “สถานการณ์ตอนนี้ เราควรทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด”
.
4. เติมคำว่า “สักนิด” ต่อท้าย
เช่น “ต้องทำยังไง ถึงจะเติบโตอีกสักนิด”
“ต้องทำยังไง ความสัมพันธ์กับผู้อื่นถึงจะดีขึ้นอีกสักนิด”
.
.
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ Welearn ที่ส่งหนังสือดี ๆ มาให้อ่านนะครับ
.
................................................................................................
ผู้เขียน: เคนอิจิโร่ โมจิ
ผู้แปล: ปาวัน การสมใจ
จำนวนหน้า:232 หน้า
สำนักพิมพ์: Welearn
................................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comments