12 ข้อคิดให้ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ
จากหนังสือ ฝึกตัวเองให้เป็นคนทิ้งเป็น
.
.
1) จง “ทิ้ง” สิ่งที่เคยทำมาในอดีต แม้มันจะเคยได้ผลก็ตาม
เพราะไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่า สิ่งที่พาเรามาถึงจุดนี้ จะยังพาเราไปยังจุดหมายข้างหน้าได้
กับดักที่คนเรามักจะพลาดคือการยึดติดตัวเองกับอดีต และไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ลองถามตัวเองให้ดีว่า มันอาจถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องรู้จัก “ทิ้ง” แล้วเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนใหม่
.
2) อย่ายึดติดกับ “สิ่งที่เคยพูดในอดีต” มากจนเกินไป
เพราะตัวเราล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ในอดีตเราอาจเคยพูดว่า “เราเกลียดการกินผัก” แล้วพูดออกไปให้คนอื่นฟัง
ถ้าเรายังยึดติดอยู่กับคำพูดนี้ เราก็อาจไม่กล้าพูดออกไปว่า ตอนนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราชอบกินผักแล้ว
เช่นเดียวกันกับเรื่องสำคัญอื่น ๆ เมื่อก่อนมันอาจสำคัญ แต่ตอนนี้เรื่องนั้นอาจไม่สำคัญแล้วก็เป็นได้
ดังนั้น ลองพิจารณาว่าเราเป็นยังไงในปัจจุบัน แล้วปล่อยคำพูดในอดีตทิ้งไปซะ
.
3) ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงได้ ต้องออกจากสภาพแวดล้อมแบบเดิม ๆ
มีสถิติที่บ่งชี้ว่า 90% ของคนที่อยากเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนตัวเองไม่ได้สักที คือคนที่อยู่กับพ่อแม่
เพราะเราล้วนเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมบ้านเดียวกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก
เราอาจติดนิสัยรักสบาย ขี้เกียจ
แม้จะออกไปทำงานข้างนอก แต่พอกลับมาบ้านพ่อแม่ ก็อาจกลับมาอยู่ใน “โหมดบ้านเกิด”
ดังนั้นถ้าเราอยากเปลี่ยนตัวเองได้ เราอาจต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม พยายามออกมาให้ไกลจากจุด ๆ เดิมให้มากที่สุด
.
4) วิธีที่รับประกันได้เลยว่าจะล้มเหลว คือ การทำทุกอย่างให้ “สมบูรณ์แบบ”
ความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง เช่น การที่จะทำให้ทุกคนรัก มักเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
คนที่จะตั้งใจจะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ จึงมักพบกับความล้มเหลว
ดังนั้นแล้ว เราจึงควรเลิกใส่ใจความสมบูรณ์แบบ แล้วหันมาสนใจสิ่งที่เป็นไปได้จะดีกว่า
.
5) เป้าหมายของเราต้องไม่ใช่ “การไม่เป็น....” แต่ต้องเขียนออกมาให้ชัดเจน
การที่เราแค่รู้ว่าเราไม่ชอบอะไร หรือไม่อยากเป็นอะไร ไม่นับว่าเป็นเป้าหมายที่แท้จริง
เราต้องทำเป้าหมายของตัวเองให้ชัดก่อน
แล้วเรายังคอยหมั่นตรวจดูว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นเป็นประตูที่จะนำไปสู่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ รึเปล่า
.
6) คนที่เราควรจะทำให้มีความสุขที่สุดคือ “ตัวเราเอง”
ไม่ใช่คู่ชีวิตของเรา ไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่ลูก
เพราะมีแต่ตัวเราที่มีความสุขเท่านั้น ที่จะส่งผ่านความสุขนี้ไปหาคนรอบข้างได้
ดังนั้นแล้ว เราควร “เลิกรู้สึกผิด” เวลาที่เรากำลังทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเอง
.
7) ถ้าเรากำลังไขว่คว้าหาความสำเร็จให้คิดว่า “จะทำอะไร” แต่ถ้ากำลังไขว้คว้าหาความสุข หรือตัวตนของตัวเองให้คิดว่า “จะไม่ทำอะไร”
เพราะหลายครั้งเราต้องเลือกโฟกัสให้ถูกจุด และต้องเลือกทำซ้ำในสิ่งที่เป็นตัวเอง
การที่เรารู้จักตัดตัวเลือกอื่นที่อาจเข้ามา และมุ่งโฟกัสไปที่ตัวเอง อาจเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในสิ่งที่ตัวเองทำ
ดังนั้นแล้ว จงเลือกสนามแข่งของตัวเองที่เราจะโฟกัสได้ แล้วอย่าแหย่เท้าเข้าไปในสนามแข่งที่ไม่ใช่ของเรา
.
8) การพัฒนาความสามารถนั้นสำคัญ แต่ถ้าอยากขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุด เราต้องใส่ “ความเป็นตัวเอง” เข้าไปด้วย
คนที่มีทักษะสูง ทำงานเก่ง อาจไม่ได้หารายได้เท่าคนที่ขายความเป็นตัวเองได้มาก
เช่น นักกีตาร์ที่เล่นโชว์ในทีวี อาจเล่นกีตาร์ไม่ได้เท่าลุงเซียนกีตาร์ที่เปิดร้านขายเครื่องดนตรี
แต่นักกีตาร์ที่ออกทีวี หาเงินได้มากกว่าลุงร้านเครื่องดนตรีมาก เพราะเขามี “จุดขาย” และใส่ “ความเป็นตัวเอง” เข้าไปในการแสดงแต่ละครั้ง
ดังนั้นแล้ว จงอย่าหนีความเป็นตัวเอง ลองหาวิธีผสานมันเข้าไปร่วมกับการพัฒนาทักษะต่าง ๆ
.
9) ยอมจำนนกับความเป็นตัวเอง
หลายคนอยากหนีความเป็นตัวของตัวเอง เพราะเคยมีตัวตนที่ไม่เอาไหนมากก่อน
แต่แท้จริงแล้ว การหนีจากตัวเองนั้นอาจทำไม่ได้จริง และอาจไม่ทำให้เราได้ค้นพบตัวตนที่ใช่
ทางที่ดีกว่าจึงเป็นการ “ยอมจำนน” หรือ “โอบรับ” ความเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่
ใหอภัยตัวเองและยอมให้ค่ากับส่วนที่ไม่ดี พร้อมมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าเดิม
.
10) บทถัดไปของชีวิตเราอาจอยู่ “นอก comfort zone”
หลายครั้งเราไม่กล้าลองทำอะไรสักอย่างที่เราอยากทำ ไม่ใช่เเพราะไม่อยาก แต่เพราะ “กลัว”
กลัวว่าจะทำสิ่งนั้นไม่ได้ดี
ถ้าเราเอาแต่กลัว สุดท้ายก็คงไม่ได้เริ่มลงมือทำสิ่งใหม่สักที
ดังนั้นวิธีที่ดีคือ การรวบรวมความกล้าแม้จะน้อยนิด เอาชนะความกลัวนั้นให้ได้ แล้วลงมือทำ !
.
11) ศักยภาพของเรามักซ่อนอยู่ในหัวใจของ “เด็กน้อย” ลึก ๆ ในตัวเรา
ทุกคนมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว แต่หลายคนเลือกที่จะปิดกั้นมันไว้
และยอมใช้ชีวิตตามมาตรฐานสังคมน่าเบื่อ ๆ แบบผู้ใหญ่
แต่แท้จริงแล้ว เสน่ห์ของตัวเรานั้นมักอยู่ในตัวตนเด็กน้อยของเรา
ดังนั้น เราควรปลดปล่อยตัวตนนี้ออกมาอย่างตรงไปตรงมา
รู้จักสนุกสนานกับสิ่งที่ทำบ้าง อย่าเอาแต่ทำตัวแข็งทื่อตามแบบผู้ใหญ่อย่างเดียว
.
12) เราทำได้เพียงสัญญากับตัวเองว่าจะพาตัวเองไปยังจุด ๆ นั้น ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของ “พลังภายนอก”
หลายครั้งเราต้องรู้จักไหลลื่นไปตาม “กระแสของชีวิต” และ “ความสัมพันธ์ของผู้คน”
ซึ่งสุดท้ายอาจพาเราไปอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับตัวเราเองในที่สุด
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
เป็นหนังสือแปลญี่ปุ่น แนว howto ที่ฉีกแนวคิดเดิม ๆ หลายอย่าง
โดยเฉพาะเรื่องการรู้จักทิ้งตัวตนในอดีต
ซึ่งแม้เราจะเคยสำเร็จมาแค่ไหน แต่ถ้าถึงจุดหนึ่ง เราก็อาจต้องเปลี่ยนแปลง
คนเขียนกลั่นกรองประสบการณ์ชีวิตตัวเองออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเรียนจบแค่ม.3
และกลายมาเป็นเซียนปาจิงโกะ นั่งเล่นแต่เกมปาจิงโกะทั้งวัน
แต่ก็ยังหาช่องทางมาเปิดธุรกิจตัวเอง จนประสบความสำเร็จใหญ่โตได้
.
ด้วยประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
แนวคิดการใช้ชีวิตที่ถ่ายทอดผ่านหนังสือเล่มนี้ จึงแตกต่างจากหนังสือแปลญี่ปุ่นเล่มอื่น ๆ
ถ้าใครอยากได้แนวคิด howto ที่แตกต่างจากเดิม เล่มนี้ก็พอตอบโจทย์ได้ครับ
.
.
.......................................................................................................................
ผู้เขียน: ชิฮาระ ทากาชิ
สำนักพิมพ์: Be(ing)
จำนวนหน้า: 208 หน้า
.......................................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comments