top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20





รีวิว น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20

What I Wish I Knew When I Was 20

.

‘ในวัย 20 ปี เราอาจกังวลเมื่อมองไปข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในหัวโค้งถัดไป

แต่จงเชื่อเถอะว่า เราต้องเลิกกลัวและโอบกอดความไม่แน่นอนนั้น

ชีวิตจะพาเราไปยังโลกรอบตัวที่เต็มไปด้วยโอกาส และความเป็นไปได้เหลือคณานับ’

.

ข้างต้นคือใจความสุดท้ายที่ Tina Seelig เขียนทิ้งไว้ในหนังสือ น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20

เธอเล่าให้ฟังว่า ในวัย 20 ปี เธอเองก็มีความวิตกกังวลกับอนาคตอันไม่แน่นอนของเธอ

เธอได้แต่คิดว่าในวัยนั้น น่าจะมีใครสักคน ที่อาจเคยผ่านชีวิตมาก่อนเธอ

ได้เล่าและกระซิบบอกเธอให้เลิกหวาดหวั่น และจงมุ่งไปข้างหน้า โอบรับความไม่แน่นอนนั้น

เธอจึงตัดสินใจเขียนหนังสือที่จะเป็นแทนทำสิ่งนั้นขึ้นมา

.

และหลังอ่านจบต้องบอกว่า หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่ดังกล่าวได้ดีมาก

ไม่ใช่เฉพาะกับคนวัย 20

แต่ไม่ว่าคนอ่านจะอายุ 30, 40, หรือแม้แต่ 50 ปีก็ยังอ่านได้

เพียงแต่ว่าวัยที่เราหวาดหวั่นกับชีวิตมักเกิดขึ้นตอนที่เรากำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

และมองเห็นแต่ความไม่แน่นอน

.

หนังสือ น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20 ครอบคลุมเนื้อหาหลายส่วนที่กลั่นกรองจากประสบการณ์ตรงของ Tina Seelig ผู้เป็นอาจารย์ประจำวิชานวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ ที่มหาวิทยาลัย Stanford

พร้อมกับดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรการลงทุนทางเทคโนโลยีที่คณะวิศวกรรมประจำ Stanford อีกด้วย

.

วิธีการสอนของเธอนับว่ามีการคิดนอกกรอบ และเน้นการลงมือปฏิบัติ

แน่นอนว่ามันช่างแตกต่างจากที่เราคนไทยเคยเรียน ๆ กันมาในมหาลัยแบบคาดไม่ถึง

ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนมาจากประสบการณ์จริงของเธอ ก่อนที่จะก้าวเข้ามาเป็นอาจารย์

.

เรื่องเล่าจากกิจกรรมการสอนในคลาสวิชาผู้ประกอบการ และประสบการณ์ตรงของ Tina Seelig ที่ได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่าง ๆ ล้วนประกอบไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์มากมาย

ที่เหมาะมากสำหรับคนอยากเริ่มทำธุรกิจ และผู้ประกอบการหน้าใหม่ทุก ๆ คน

.

แต่ส่วนตัวคิดว่า หนังสือไปไกลมากกว่าเป็นคู่มือสร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่

เนื้อหาให้บทเรียนที่ดีมากสำหรับคนที่ยังไม่เคยทำงาน หรือมีประสบการณ์น้อย

เพราะโลกการทำงานล้วนแตกต่างจากโลกการเรียนในมหาลัยแบบลิบลับ

.

สำหรับคนที่กำลังจะจบมหาลัย ก็อาจจะค่อย ๆ ได้เรียนรู้เรื่องเหล่านั้นจากประสบการณ์ตรง

เมื่อค่อย ๆ ก้าวเข้าไปทำงานไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างในบริษัท หรือทำธุรกิจของตัวเองก็ตาม

.

แต่เหมือนที่เกริ่นไว้ข้างต้น แม้เราจะเรียนรู้เรื่องราวในโลกการทำงานได้ด้วยตัวเอง

แต่มันจะดีกว่ามั้ย ถ้ามีใครสักคนคอยชี้แนะ

เล่าให้ฟังถึงโลกใบนั้นตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนเราจะก้าวเข้าไปผจญภัยจริง ๆ

.

มันจะดีกว่ามั้ย ถ้ามีคนคอยให้คำแนะนำ พร้อมส่งกำลังใจ

เป็นกำลังใจที่แท้จริง จากคนที่เคยผ่านโลกนั้นมาก่อน

.

บทเรียนสำคัญจากโลกธุรกิจ พร้อมกำลังใจให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า และโอบรับความไม่นอนของโลกการทำงานนั้น

อาจสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของนักศึกษาจบใหม่ในยุคนี้

โลกปัจจุบันที่มีการแข่งขันที่สูงมากก

และหลาย ๆ คนยังคงเดินงงอยู่กับความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

วิชาที่สอนกันในมหาลัยทั่วไปอาจไม่เพียงพอจะปลอบประโลมหัวใจอันว้าวุ่นของคนที่กำลังจะก้าวผ่านรั้วมหาลัยสู่โลกการทำงานอีกต่อไป

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้เหล่าผู้ว้าวุ่นใจสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากเหล่านี้ได้

.

หลังอ่าน ยอมรับว่าแม้จะไม่ค่อยชอบสไตล์การเขียนหนังสือแนวนี้ ที่เป็นพารากราฟยาว ๆ เขียนติด ๆ กัน เว้นวรรคน้อย เป็นเรื่องเล่าที่แทรกบทเรียนสำคัญระหว่างเรื่อง ซึ่งผู้อ่านอาจต้องควานหาให้เจอเอง

แต่ข้อคิดที่ได้จากหนังสือมีประโยชน์จริง

หลายเรื่องเล่าชวนว้าวมาก

หลายเรื่องเล่าก็อาจไม่อิน

.

ผมอ่านครั้งแรก เฉย ๆ กับเล่มนี้มาก เพราะไม่อิน และไม่ชอบสไตล์การเขียน

แต่อ่านรอบถัดมา ได้ค้นพบข้อคิดดี ๆ ที่แทรกอยู่ระหว่างบรรทัด

แล้วรู้สึกได้เลยว่า หนังสือเล่มนี้ดีมากจริง ๆ

ดีกว่าอีกหลาย ๆ เล่มที่ให้บทเรียนตรงไปตรงมา แต่ไม่ลึกซึ้ง

.

เพราะฉะนั้นแล้ว ขอแนะนำว่า น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 20 เป็นหนังสือที่น่าอ่านเป็นอันดับต้น ๆ สำหรับคนวัย 20-30 ปีครับ

.

ส่วนสรุปหนังสือ ผมขอหยิบข้อคิดที่แฝงตัวอยู่ระหว่างบรรทัดมาเล่าให้ฟัง 7 เรื่องนะครับ

.

1) โลกแห่งความเป็นจริงนั้น แตกต่างจากห้องเรียนทั่วไป

โลกในห้องเรียนนั้น นักเรียนมักจะต้องทำข้อสอบแบบปรนัย

ซึ่งจะมีคำตอบที่ถูกต้องตายตัวเพียงคำตอบเดียว

.

แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานการณ์ในโลกภายนอก

ที่คำตอบมักจะเป็นไปได้หลากหลาย และแต่ละคำตอบก็มักจะถูกต้องในทางใดทางหนึ่งเสมอ

.

และการไม่ได้เลือกคำตอบที่ถูกต้องตั้งแต่ตอนแรกก็ไม่ได้ทำให้สอบตกเหมือนในห้องเรียน

ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ในชีวิต

ชีวิตเต็มไปด้วยก้าวย่างที่ผิดพลาด อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และคนที่จะสำเร็จได้คือ คนที่กลั่นกรองบทเรียนจากความผิดพลาดนั้น ๆ และก้าวต่อไปโดยอาศัยสิ่งที่เรียนรู้ใหม่

.

การเลือกเส้นทางชีวิตนั้นก็ไม่ต่างอะไรกัน

เราไม่จำเป็นต้องเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกสำหรับเราตั้งแต่ครั้งแรก

เพราะชีวิตจะมองโอกาสอันหลากหลายให้เราได้ทดลอง

และผสานทักษะและความหลงใหลเข้าด้วยกัน ในแบบที่นึกไม่ถึงมาก่อน

.

และที่ต้องรู้ไว้อีกอย่างคือ

ทุกคนต้องเจอสถานการณ์เดียวกัน เราไม่ได้เลือกเส้นทางที่ผิดอยู่คนเดียว

ดังนั้นจงอย่ากลัวกับคำตอบที่ผิด หรือความไม่แน่นอนของชีวิต

จงเปิดรับอย่างมั่นใจที่จะออกค้นหาและสร้างเส้นทางของตัวเองไปเรื่อยๆ

.

.

2) ไม่มีแนวคิดที่แย่ แนวคิดที่มีคุณค่า คือแนวคิดที่เป็นไปได้เท่านั้น

แบบฝึกหัดของ Tina Seelig ในคลาสเรียนวิชาผู้ประกอบการ มหาลัย Stanford

คือ การให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนไอเดียในการแก้ปัญหาตามโจทย์ทีได้รับ

แล้วให้แบ่งไอเดีย เป็นแนวคิดที่แย่ที่สุด และแนวคิดที่ดีที่สุด

จากนั้นเธอก็นำแนวคิดที่แย่ที่สุดของแต่ละกลุ่มไปให้กลุ่มอื่น

เพื่อให้กลุ่มอื่นเอาแนวคิดเหล่านั้นไปต่อยอด

.

หลายครั้งที่นักเรียนในคลาสของเธอได้ค้นพบว่า แนวคิดที่ว่าแย่นั้น

ความจริงมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น

มันมีทางเป็นไปได้

แค่ต้องได้รับการปรับแต่งนิดหน่อย

และหลายครั้งแนวคิดที่ดูยังใช้ไม่ได้ในทันที ถ้าได้รับการขัดเกลา มันก็อาจเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมในการใช้แก้ปัญหาได้

. และทั้งหมดก็เกิดจาก ‘การระดมสมอง’

คือการต่อยอดไอเดียซึ่งกันและกัน

ซึ่งอาจเปลี่ยนแนวคิดแย่ ๆ ของใครคนหนึ่ง เป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมในการนำไปแก้ปัญหาจริงได้

.

.

3) โลกของคนเรามีอยู่ 2 แบบ

แบบแรก คือคนที่ต้องรอคนอื่นอนุญาตก่อน ถึงจะลงมือทำ

แบบที่ 2 คือคนที่ลงมือทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ โดยไม่รอให้คนอื่นอนุญาต

.

คนแบบแรกอาจต้องรอให้คนอื่นบอกก่อน ถึงจะค่อยทำ

เช่น ต้องคอยคนบอกว่ามีศักยภาพเพียงพอที่จะเขียนหนังสือได้ ถึงจะเริ่มเขียน

ต้องรอให้คนอื่นเรียกว่าประธานบริษัท ถึงจะยอมรับตำแหน่งนี้

เหมือนรอให้มีแรงกระตุ้นจากภายนอกแล้วจึงค่อยทำ

.

แต่คนแบบที่ 2 มองหาแรงจูงใจภายใน และเริ่มลงมือทำเลย

คนประเภทนี้จะคอยมองหาโอกาสด้วยตัวเอง

มองให้ไกลไปกว่าโต๊ะทำงาน มองออกไปภายนอกอาคาร มองออกไปที่หัวมุมถนน

โอกาสมีอยู่เกลื่อนกลาดมากมาย

.

คนประเภทที่ 2 จะมีเรื่องให้คุยมากกว่าคนประเภทแรกที่รอให้คนหยิบยื่นโอกาสให้

.

.

4) ลองทำหลาย ๆ อย่าง และล้มเลิกอย่างสง่างาม

หลักสำคัญในการพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ คือ

การที่เราทดลองทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย และเชื่อมั่นว่าต้องมีสักอย่างที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ

ความลับของผู้ชายคนหนึ่งที่มีโชคเรื่องสาว ๆ อยู่เสมอ

ทั้งที่หน้าตาไม่หล่อ ไม่ได้ฉลาด และไม่ได้มีอารมณ์ขันสักเท่าไหร่

คือ เขาขอนัดเดทกับหญิงสาวทุกคนที่เขาเจอ และยอมรับการถูกปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง

.

แต่คำถามสำคัญจริง ๆ คือถ้าเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไหร่ที่เราควรล้มเลิก และเปลี่ยนไปทำสิ่งใหม่

.

บางสิ่งบางอย่าง อาจไม่มีวันสำเร็จไม่ว่าเราจะพยายามทุ่มเวลา เงินทอง และหยาดเหงื่อไปมากเท่าไหร่ก็ตาม

วิธีง่าย ๆ ที่เราจะใช้ตัดสินว่าควรล้มเลิกโครงการนั้นแล้วหรือยัง คือการฟังสัญชตญาณตัวเอง

และพูดคุยกับตัวเองแบบตรงไปตรงมาถึงทางเลือกที่เป็นไปได้อื่น ๆ

.

และอีกสิ่งที่สำคัญคือ เมื่อเราล้มเลิก

เราต้องล้มเลิกอย่างสง่างาม และไม่ทิ้งหลุมขนาดใหญ่ไว้เบื้องหลัง

เมื่อล้มเลิก เราต้องทำอย่างรอบคอบ และทำให้เกิดผลกระทบต่อคนรอบข้างน้อยที่สุด

.

ลองนึกถึง คนที่ลาออก 1 สัปดาห์สุดท้ายในการทำโปรเจคสำคัญดู

คนแบบนี้ได้สร้างผลกระทบให้กับเพื่อนร่วมโปรเจคที่เหลือ และทิ้งรอยบาดหมางไว้เบื้องหลัง

.

ถ้าวันหนึ่งคน ๆ นี้โคจรมาพบกับเพื่อนร่วมโปรเจคนั้นอีกครั้ง

ไม่ต้องคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

.

และจงระลึกไว้เสมอว่า โลกกลมมาก เรามีโอกาสจริง ๆ ที่จะได้เจอกับคนในอดีตที่เราเคยสร้างผลกระทบไว้

.

.

5) การยึดติดกับเส้นทางใดก็ตามเร็วเกินไป อาจทำให้เราเดินไปผิดทางได้

หลายคนตั้งเป้าอนาคตตัวเองไว้แน่นเกินไป

เหมือนจรวดนำวิถีที่พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย

.

แต่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น

คนส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้ง จนค้นพบเส้นทางที่เหมาะกับทักษะและความสนใจของตัวเอง

ไม่ต่างอะไรกับการออกผลิตภัณฑ์หรือซอฟต์แวร์ตัวใหม่

.

ถ้าเปรียบเทียบกับการเดินทางท่องเที่ยว

หลายครั้งที่ประสบการณ์ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นกับสิ่งที่เราไม่ได้วางแผนไว้

แน่นอนว่าเราต้องวางแผนเที่ยวไว้ก่อนเดินทาง แต่อย่ายึดติดกับมันมากเกินไป

.

พอออกเดินทางแล้ว เราอาจพบกับเพื่อนใหม่ที่พาเราไปยังสถานที่ที่ไม่ได้อยู่ในคู่มือท่องเที่ยว

หรือเราอาจพลาดตกรถไฟ จนได้ออกสำรวจเมืองเล็ก ๆ นั้นทั้งวัน

.

ชีวิตจริงก็ไม่ต่างอะไรกัน

เรามักต้องพบเจอกับสิ่งไม่คาดฝันที่จะเข้ามาสร้างความประหลาดใจให้เราได้ตลอดการเดินทาง

.

เพราะฉะนั้นแล้วอย่ายึดติดกับเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งมากจนเกินไป

จงเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้ามา

และจงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในองค์กร และสภาพแวดล้อมที่เปี่ยมไปด้วยโอกาส

.

.

6) คุณลักษณะ 4 แบบของคนโชคดี

ตามงานวิจัยของริชาร์ด ไวส์แมน

คนที่โชคดีมักจะแชร์คุณลักษณะร่วมกันบางประการ

.

ประการที่ 1: คนโชคดีจะใช้ประโยชน์จากเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เป็นคนช่างสังเกต

คนอื่น ๆ มักมองข้ามเหตุการณ์เหล่านี้ไป แต่คนโชคดีจะพยายามดึงคุณค่าของสิ่งที่เกิดขึ้นออกมา

.

ประการที่ 2: คนโชคดีจะเปิดใจรับประสบการณ์ใหม่ ๆ และลองทำในสิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย

เดินทางไปในที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก คบหาคนที่ตัวเองไม่คุ้นเคย

.

ประการที่ 3: คนโชคดีจะเป็นคนชอบเข้าสังคม เป็นมิตรกับผู้คน

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน และได้รับโอกาสที่ดีกลับมามากกว่าคนอื่น

.

ประการที่ 4: คนโชคดีจะมองโลกในแง่ดี และคาดหวังถึงสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตัว

เขาจะมีทัศนคติที่ดีกับคนรอบข้าง และเปลี่ยนสถานการณ์แย่ ๆ ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ดี

.

สรุปแล้ว นอกจากการทุ่มเททำงานหนัก ความโชคดียังเกิดจากการที่เราเปิดรับโอกาสต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตักตวงผลประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น ใส่ใจกับโลกรอบตัวอย่างเต็มที่ ปฎิสัมพันธ์กับคนให้มากที่สุด และพยายามสร้างความสัมพันธ์ในเชิงบวก

.

.

7) ความสัมพันธ์ของคนเรา เหมือนการค่อย ๆ หยดน้ำลงในสระ

โดยปกติแล้ว ชื่อเสียงเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในตัวเรา

จงรักษามันเอาไว้ให้ดี

แต่ถ้าในอดีตเราเคยทำผิดพลาดมาบ้าง ก็ต้องรอเวลาที่จะค่อย ๆ เยียวยาชื่อเสียงอันด่างพร้อย

.

การปฏิสัมพันธ์ของคนเราเหมือนการหยดน้ำลงในสระ

ยิ่งเรามีปฏิสัมพันธ์มาก ปริมาณน้ำก็จะยิ่งมาก สระก็จะยิ่งลึก

การปฏิสัมพันธ์ในแง่บวก คือการเติมหยดน้ำใสลงในสระ

ในขณะที่ การปฏิสัมพันธ์ในแง่ลบ คือการเติมหนดน้ำสีแดงลงในสระ

.

ดังนั้นแล้ว ถ้าเราจะเจือจางหยดน้ำสีแดง เราก็ต้องใช้หยดน้ำใส ปริมาณมหาศาล

แต่ก็ขึ้นกับคนแต่ละคนด้วย

คนใจดีอาจต้องการหยดน้ำใสเพียงเล็กน้อย

แต่คนใจแคบต้องการหยดน้ำใสปริมาณมาก

.

และสระน้ำแห่งความสัมพันธ์ก็ค่อย ๆ แห้งเหือดลงอย่างช้า ๆ

คนเรามักจะสนใจกับประสบการณ์ที่ได้รับล่าสุด มากกว่าประสบการณ์ที่ผ่านไปนานแล้ว

.

สิ่งที่ดีคือเราสามารถค่อย ๆ เติมหยดน้ำใสลงในบ่อน้ำสีแดงได้

แต่ถ้าหยดน้ำสีแดงมีปริมาณมากเกินไป ไม่ว่าจะเติมเท่าไหร่ ก็คงจะไม่สามารถเจือจางได้

และนั่นก็คงเป็นสัญญาณให้เราหยุดความสัมพัน์นั้นไว้เพียงเท่านั้น

.

ดังนั้นแล้วเราจึงควรตระหนักถึงผลกระทบของหยดน้ำสีแดงที่จะหยดลงในสระแห่งความสัมพันธ์

ก่อนที่จะสร้างประสบการณ์แย่ ๆ กับใคร

.

วิธีหนึ่งที่เรียบง่าย เมื่อเราเจอสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกคือ

การที่เราคิดว่า จะเล่าเรื่องราวนั้นอย่างไรในอนาคต ถ้ามีคนมาถาม

จงหาวิธีที่จะเราจะเล่าได้อย่างภาคภูมิใจในภายหลัง

.

.

.

.

.

.

.

..............................................................................................

ผู้เขียน: Tina Seelig

ผู้แปล: ธัญลักษณ์ เศวตศิลา, พรเลิศ อิฐฐ์

จำนวนหน้า:200 หน้า

สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.

..............................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #น่าจะรู้อย่างนี้ตั้งแต่ตอนอายุ20




2,232 views0 comments

留言


Post: Blog2_Post
bottom of page