รีวิว ทำที่บ้าน
How to Work in a Family Business
.
‘ยากกว่าทำธุรกิจ คือการทำธุรกิจครอบครัว’
.
มีคำกล่าวกันอย่างหนาหูสำหรับการทำธุรกิจที่บ้านว่า
‘รุ่น 1 สร้าง
รุ่น 2 สาน
รุ่น 3 ทำลาย’
.
คำกล่าวนี้ดูจะได้รับการยืนยันจากการสำรวจของ Pwc ที่บอกว่า
มีธุรกิจเพียง 40% ที่ส่งต่อถึงรุ่นที่ 2
และมีธุรกิจเพียง 12 ที่ส่งต่อถึงรุ่นที่ 3
และมีธุรกิจเพียง 1 ที่อยู่ได้จนถึงรุ่นที่ 5
.
นี่เป็นการยืนยันถึงปัญหาของการทำที่บ้าน ที่ปกติมักถูกละเลย และไม่ค่อยมีคนเขียนถึงมาก่อน
หนังสือเล่มนี้อาจเป็นเล่มแรกที่หยิบสารพัดปัญหาการสานต่อธุรกิจของเหล่าทายาทมาพูดกันแบบเปิดอก ตรงไปตรงมา
พร้อมเสนอทางออกสำหรับปัญหาเหล่านั้น
.
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย กวาง เสสินัน ทายาทธุรกิจปั๊มน้ำมัน ที่ได้ตัดสินใจกลับไปสานต่อธุรกิจครอบครัว
หลังจากเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตอนป.ตรี ในตอนแรกได้ช่วยพ่อแม่ดูแลธุรกิจหลัก จนทำไปเรื่อย ๆ ก็ออกมาเปิดปั๊มน้ำมันสาขาของตัวเอง
.
เป็นเวลากว่า 5-6 ปี ที่กวางกลับมานั่งอยู่ที่ ‘บ้าน’ ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่ทำงานไปในตัว
กวางได้เจอกับปัญหาสารพัดในการทำงาน และเริ่มคิดว่า ทำไมไม่มีคู่มือดี ๆ ที่แนะนำหลักการทำงานกับที่บ้านมาก่อน
เลยตัดสินใจรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ของตัวเอง และการพูดคุยกับเหล่าทายาทคนอื่น ๆ จนกลั่นกรองออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
.
หนังสือเล่มนี้อาจดูจะเจาะตลาดกลุ่มเฉพาะสำหรับเหล่าทายาทผู้มารับหน้าที่สานต่อธุรกิจครอบครัว
แต่ถ้าเราดูตัวเลขตามสถิติแล้วจะพบว่ากว่า 80% ของ SMEs ในไทยล้วนเป็นธุรกิจครอบครัว
และกว่า 80% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็ล้วนเริ่มมาจากธุรกิจครอบครัวทั้งสิ้น
ดังนั้นแล้วปัญหาการสานต่อธุรกิจครอบครัวอาจเป็นปัญหาขนาดใหญ่ ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมานานกว่าที่คิด
.
สำหรับคนที่เป็นทายาท เล่มนี้จะทำตัวเป็นคู่มือเวลาเจอปัญหาหนักใจ
และอาจทำตัวเป็นเพื่อนที่เข้าใจ ในวันที่รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ที่บ้านของตัวเอง
.
สำหรับคนนอก (รวมถึงตัวผมด้วย) แล้ว อ่านเล่มนี้จบก็ทำให้เข้าใจความรู้สึกของเหล่าทายาทธุรกิจรุ่น 2 มากขึ้น
ยอมรับว่าภาพความสบาย คุณหนู คุณชาย ก็จาง ๆ ลงบ้าง
แต่ที่สำคัญคือเข้าใจว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ต้องเจอปัญหาด้วยกันทั้งนั้น
ทำงานประจำ ก็มีปัญหาแบบหนึ่ง
ทำงานฟรีแลนซ์ ก็เจอปัญหาอีกแบบหนึ่ง
ทำธุรกิจเองก็ ก็มีปัญหาของตัวเอง
และทำธุรกิจที่บ้าน ก็เจอปัญหาที่ซับซ้อนในแบบของมัน
.
ถ้าใครอยากรู้จักวงการการทำธุรกิจที่บ้าน ก็ลองซื้อมาหาอ่านได้เลยครับ
.
.
สุดท้ายขอยก 10 บทเรียนสำคัญสำหรับทายาทที่อยากกลับไปทำที่บ้าน มาฝากกันครับ
.
1) เหตุผลของการกลับไปทำที่บ้าน
เป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างยิ่งที่เหตุผลหลักกว่า 70% คือการกลับไปเพราะความกตัญญู
ต้องการตอบแทนคุณพ่อแม่ และไม่อยากทิ้งสิ่งที่คนรุ่นก่อนสร้างมากับมือ
.
ในขณะที่อีก 30% ที่เหลือคืออยากสานต่อธุรกิจ และทำให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
.
การที่คนกลับไปทำที่บ้านกว่า 70% มองเรื่องความกตัญญูและความรับผิดชอบมากกว่า ความอยากทำของตัวเอง
ทำให้เกิดปัญหามากมายระหว่างทำ
การทะเลาะเบาะแว้ง การโต้เถียง การไม่เข้าใจกัน
และหลายครั้งธุรกิจก็เป็นอันต้องจบสิ้นไป
.
.
2) ข้อดี และข้อเสียของการกลับมาทำที่บ้าน
สำหรับคนที่ตัดสินใจจะกลับมาทำที่บ้านอาจได้พบข้อดีดังต่อไปนี้
1. มีเวลามากขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
2. มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ดูแลผู้ใหญ่มากขึ้น
3. ไม่ต้องเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ มียอดขาย มีฐานลูกค้าเก่า ไม่ต้องเสี่ยงเริ่มใหม่หมด
.
ส่วนราคาที่ต้องจ่ายมาในการกลับมาทำที่บ้านก็เช่น
1. มีเวลาให้เพื่อนลดลง สังสรรค์ได้ลดลง ยิ่งถ้าธุรกิจที่บ้านอยู่ต่างจังหวัด แต่มาเรียนในกรุงเทพ และเพื่อนส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในเมืองหลวง
2. การไม่ต้องเริ่มศูนย์อาจเป็นข้อดี แต่ในบางครั้งการนับเลขต่อก็ยากไม่แพ้กัน
3. การทะเลาะกับครอบครัวเพราะเรื่องงาน อาจกระทบความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย
4. ความสบายก็อาจลดลง เพราะต้องอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ตลอดเวลา เช่น ตื่นสายในวันหยุด ก็อาจโดนคนรุ่นก่อนมองว่าขี้เกียจ
.
.
3) การแบกรับแรงกดดันมหาศาล
ตามมุมมองของผู้เขียนแล้ว ทายาทอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่แบกรับแรงกดดันไว้มากที่สุด
และการเป็นทายาทก็ไม่ได้สบายเหมือนที่คนนอกชอบจินตนาการกัน
.
แรงกดดันก็มาจากหลายแหล่ง
เช่น
- แรงกดดันที่ต้องเป็นเงาของผู้ใหญ่อยู่ตลอดเวลา
- แรงกดดันที่ทำดีเท่าไหร่ ก็ถูกมองว่าเสมอตัว
- แรงกดดันที่ต้องสานต่อธุรกิจให้ได้ หลายครั้ง การสร้างขึ้นมาว่ายากแล้ว การรักษาไว้อาจยากกว่า
- แรงกดดันที่ต้องสร้างการยอมรับจากลูกน้องที่อาจทำงานมาก่อนเรา
- แรงกดดันในการดีลงานกับคู่ค้า
.
ดังนั้นแล้วทายาทต้องรู้จักฝึกวิชาอดทนรับแรงกดดันเหล่านี้ไว้ให้ดี
.
.
4) เหงาเท่าอวกาศ
ความสัมพันธ์เองก็เป็นราคาอีกอย่างที่ทายาทต้องจ่ายเมื่อกลับไปทำงานกับที่บ้าน
และหลาย ๆ ครั้งผู้ใหญ่ที่บ้านก็อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้นคนที่ตัดสินใจจะกลับมาทำที่บ้าน ต้องทำใจว่า
1. ต้องกินข้าวคนเดียว หลายครั้งอาจต้องกินข้าวบนโต๊ะทำงาน
ไม่มีเพื่อนออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเหมือนการทำงานบริษัท
เพื่อนที่ดีที่สุดอาจเป็น Youtube และ Netflix
.
2. ไม่มีเพื่อนร่วมงานที่แท้จริง
คนที่ทำงานด้วยส่วนใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือคนในครอบครัวและเป็นหัวหน้าเราโดยตรง
ส่วนลูกน้องคนอื่น ๆ เมื่อเราสวมหมวกทายาท ก็คงพูดไม่ได้เต็มปากว่าจะคุยกับพวกเขาได้ตรง ๆ
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่
.
3. ไม่มีเวลาให้เพื่อน
นัดเพื่อนยาก อาจมีวันหยุดไม่ตรงกัน
และอาจถูกมองไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่
.
4. ไม่มีใครเข้าใจ
บริบทของงานที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะกับเพื่อน ๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนคนอื่น ๆ
หรือจะคุยกับผู้ใหญ่ทีเป็นคนละเจนกัน ก็คงคุยได้ไม่ทุกเรื่อง
.
วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ที่ผู้เขียนนำเสนอคือ
1. ตั้งใจทำงาน พิสูจน์ผลงานให้ผู้ใหญ่เห็น จะได้ไม่มีใครว่าตอนที่เราแบ่งเวลาไปสร้างสมัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
2. คุยกันให้ชัดเจนว่าเราแบ่งเวลางาน เวลาสร้างความสัมพันธ์ยังไง
.
.
5) เปลี่ยนวิธีการ อย่าเปลี่ยนความเชื่อ
สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาของคนต่างเจนกันคือ เรื่องความเชื่อ
ซึ่งก็มักจะเกิดจากอิทธิพลของสภาพสังคมในยุคที่แต่ละเจนเติบโตขึ้นมา
.
เรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความอดทน
คนกลุ่ม baby boomer จะเป็นคนที่อดทนมาก
ทุ่มเทกับการทำงานหนัก เคร่งครัดกับจารีตประเพณี เพราะยุคของเขาคือยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เศรษฐกิจต่าง ๆ เพิ่งเริ่มฟื้นตัว
ในขณะที่ คน Gen X และ Gen Y เริ่มมีความอดทนลดหลั่นลงมา
พอคน Gen Y มารับช่วงต่อธุรกิจ จึงมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องความเชื่อเกิดขึ้น
.
แต่เรื่องความเชื่อล้วนเป็นสิ่งที่หล่อหลอมกันมานานนับสิบปี
ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันง่าย ๆ
โดยเฉพาะคนรุ่นก่อน ๆ
.
สิ่งที่เปลี่ยนกันง่ายกว่าจึงเป็น เรื่อง ‘วิธีการ’
โดยยังให้ตอบความเชื่อเดิมของคนทั้ง 2 รุ่น
เช่น คนเจน Baby Boomer ชอบการตื่นมาทำงานแต่เช้า
ในขณะที่คน Gen Y ชอบการทำงานที่เป็นระบบ
พอรุ่นผู้ใหญ่ตื่นขึ้นมาเปิดประตูม้วนโรงงานทุกวันตอนตีห้า คน Gen Y ก็คงจะอยากเปลี่ยน
แต่จะให้เปลี่ยนด้วยการเปลี่ยนความเชื่อก็คงไม่ได้
คงจะได้นั่งเถียงกันทั้งวัน เหมือนเรื่องการเมืองหรือศาสนา
ดังนั้นสิ่งที่ทายาท Gen Y ควรทำคือเปลี่ยนที่วิธีการ
ประตูโรงงานจะยังถูกเปิดตอนตีห้า
แต่ถูกเปิดโดยระบบอัตโนมัติ ที่ทำงานโดยระบบสวิตชิ่ง
และก็แค่นำรีโมทไปให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
.
เท่านี่ก็เกิดการทำงานที่เป็นระบบ โดยผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องลำบากไปเปิดประตูโรงงานทุกวันแล้ว
.
.
6) แก้ปัญหาคลาสสิคของระบบกงสี
กงสีคือ ระบบที่ลูกหลานมาแบ่งส่วนงานในธุรกิจทำ และได้ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ
บางคนอาจได้เป็นเงินปันผล บางคนได้เป็นค่าจ้าง
แต่ส่วนใหญ่ชอบเกิดปัญหา พอถึงตอนคนรุ่นก่อน ส่งมอบกิจการให้คนรุ่นถัดไป
.
ปัญหาส่วนใหญ่ก็จะมาจากการที่ผลตอบแทนไม่เท่ากับแรงที่ลงไป
คนทำไม่ได้ คนได้ไม่ทำ ลูกชายคนโตรับหมด
.
วิธีแก้ปัญหาแบบนี้ ต้องจัดทำธุรกิจกงสีให้เป็นระบบ เช่น
1. ผลตอบแทนต้องชัดเจน
ใครเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้แต่ปันผล ใครเป็นคนทำงานก็ได้ค่าตอบแทนไป
.
2. เงินเดือนต้องเหมาะสมกับความสามารถ
ให้คิดซะว่า เหมือนเราไปทำงานในบริษัทอื่น
.
3. เงินธุรกิจ ไม่เท่ากับ เงินครอบครัว
แยกออกจากกันให้ชัดเจน
เงินธุรกิจมีไว้เพื่อใช้ดำเนินธุรกิจเท่านั้น
.
4. กระจายอำนาจ ลดบทบาทตัวเอง
ลองเปิดโอกาสให้ลูกหลานได้แสดงความเห็น ได้ลองใช้ไอเดียตัวเองบ้าง
อย่ายึดอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว
.
5. หาคนนอกเข้ามาช่วยงาน
เพื่อมองหาไอเดียใหม่ ๆ และอย่าเข้าข้างคนในครอบครัวตัวเอง
พยายามบริหารงานแบบมืออาชีพ
.
.
7) ธุรกิจแบบเถ้าแก่ ต้องคิดถึงระบบ
เข้าใจว่า ถ้าเป็นร้าน ๆ เดียว ยังใช้ระบบแบบเถ้าแก่
ซึ่งหมายถึง ผลลัพธ์ของการบริหารงานคือ ผลลัพธ์ของแนวคิดผู้บริหาร
.
ถ้าธุรกิจเริ่มมีร้านสาขา ก็อาจจะหา ‘ร่างทรง’ ซึ่งก็มักจะเป็นเหล่าทายาทมาบริหารร้านสาขาต่อ
แต่ถ้าธุรกิจเติบโต และมีเป็น 100 สาขา
อาจจะถึงเวลาที่ต้องวางระบบแบบจริงจังแล้ว
เช่น การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็น ERP POS หรือการ outsource กิจกรรมธุรกิจบางอย่าง
เพื่อให้ผู้บริหารโฟกัสกับงานสำคัญได้มากขึ้น
.
.
8) พิสูจน์ตัวเอง เอาชนะใจผู้ใหญ่
สิ่งแรกที่ทายาททุกคนควรทำคือ การเอาชนะใจผู้ใหญ่
และพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า เรามีความสามารถมากพอในการรับช่วงต่อธุรกิจ
.
เพราะธุรกิจครอบครัวแตกต่างจากธุรกิจทั่วไปตรงที่ว่า
ความมั่นคงของธุรกิจ อาจหมายถึงความมั่นคงของครอบครัวด้วย
ผู้ใหญ่ซึ่งรู้ดีกับธุรกิจมากที่สุด จึงต้องไว้ใจทายาทในระดับหนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือให้มาบริหารแบบเต็มตัว
.
ทายาทหลายคนอยากสร้างระบบ อยากรีแบรนด์ อยากทำให้ธุรกิจเติบโต
แต่สิ่งแรกที่ควรทำจริง ๆ คือการพิสูจน์มือตัวเองกับผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในธุรกิจมาก่อน
.
.
9) ตอดงาน ดื้อ และสร้างความสำเร็จเล็ก ๆ
มีหลายวิธีที่ช่วยให้เราพิสูจน์ตัวเองได้
เช่น การลองตอดงาน หรือการของานผู้ใหญ่มาทำ
เราจะนั่งรอให้งานมาหาเราเองไม่ได้
เราต้องเป็นคนออกไปหางาน
.
หรือเราจะลองดื้อบ้างเป็นครั้งคราว
การดื้อ คือการทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย
เช่น ผู้ใหญ่อาจไม่อยากได้คนมาช่วยขาย
แต่เราอยาก เพราะจะช่วยแบ่งเบาภาระลงได้
ก็ให้ลองทำดูบ้าง
ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร
ถ้าสำเร็จ ก็อย่าเอาไปคุยโวต่อหน้าผู้ใหญ่ละ
.
และอีกเรื่องคือการค่อย ๆ สะสมความสำเร็จไปทีละน้อย
เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอน
หลักกิโลเมตรที่ 1 คือการเปลี่ยนระบบหลังบ้าน
หลักกิโลเมตรที่ 2 คือการสื่อสารกับคนในองค์กร
หลักกิโลเมตรที่ 3 คือการเข้าใจแบรนด์
เมื่อเราทำสำเร็จกับเรื่องเล็ก ๆ ไปเรื่อย
ผู้ใหญ่จะเริ่มเชื่อใจเรามากขึ้น
เหมือนการค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองนั่นเอง
.
.
10) อย่าลืมบริหารความสัมพันธ์
แม้จะได้ยินคำแนะนำที่ให้แยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันอยู่บ่อย ๆ
แต่สำหรับธุรกิจครอบครัวนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าความสัมพันธ์ดี งานก็ดูน่าจะออกมาดีไปด้วย
.
ดังนั้นแล้วสิ่งที่ต้องทำไปพร้อม ๆ กับการพิสูจน์ตัวเอง คือการบริหารความสัมพันธ์กับครอบครัว
ลองใช้เวลาด้วยกันดู กินข้าว ออกไปเที่ยว
แต่อย่าให้มันดูน่าเกลียดจนกลายเป็นการเลียแข้งเลียขา เพื่อรอรับมรดก
.
.
…………………………………………………………………………………………………
ผู้เขียน: เสสินัน นิ่มสุวรรณ์
จำนวนหน้า: 248 หน้า
สำนักพิมพ์: เสสินัน นิ่มสุวรรณ์
เดือนปีที่พิมพ์: 9/2020
…………………………………………………………………………………………………
.
.
コメント