9 บทเรียนสำคัญ จากหนังสือ
.
1) เทคนิค 13 ข้อ จาก ‘โรงเรียนธุรกิจ’ ที่ชื่อว่า ‘งานประจำ’
1. ต้องตั้งเป้าหมายว่าอยากทำธุรกิจ ตั้งแต่วันแรกที่สมัครเข้าทำงานประจำ เพราะมันจะส่งผลโดยตรงต่อทัศนคติในการทำงานและการเรียนรู้
ถ้าเราตั้งเป้าว่าอยากทำงานประจำ เราก็จะโฟกัสอยู่กับแค่สิ่งตรงหน้า
แต่ถ้าเราตั้งเป้าว่าจะทำธุรกิจ เราจะพยายามขวนขวายเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เรียนรู้จากองค์กรเราได้
.
2. อย่ารีบโฟกัสที่เงินตั้งแต่อายุยังน้อย ให้โฟกัสว่างานที่เราทำทำให้เราเข้าใกล้ความฝันมากขึ้นแค่ไหน
.
3. การทำงานประจำเราอาจรู้ลึกเพียงอย่างเดียวได้ แต่การทำธุรกิจเราต้องรู้กว้าง
เราจึงควรเสาะหาความรู้แบบตัว T เข้าไว้
.
4. การทำงานประจำจะช่วยให้เราเข้าใจว่า ‘หัวหน้าที่ดีเป็นอย่างไร’
จงเรียนรู้ลักษณะของหัวหน้าที่ถูกลูกน้องเกลียด และอย่าเป็นแบบคนพวกนั้น
.
5. ลองทำงานในบริษัทสตาร์ทอับ เพื่อได้เรียนรู้งานหลายตำแหน่ง และเรียนรู้การทำงานที่ไม่มีระบบมากนัก แต่อาจต้องแก้ปัญหาแบบจับแพะชนแกะอยู่บ้าง
.
6. พยายามเรียนรู้ทุกตำแหน่งงานในองค์กรว่าเขาทำงานกันยังไง ลองหาจังหวะและโอกาสพูดคุยสอบถามกับคนจากแผนกอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้การทำงานของพวกเขา
.
7. ลองหาโอกาสทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับการออกสินค้าและบริการใหม่ เปรียบเสมือนพื้นที่ทดลองก่อนทำธุรกิจจริง
.
8. สร้างวัฒนธรรมตาม 'ผลลัพธ์' ไม่ใช่ 'เวลา'
เพราะในความเป็นจริงไม่มีใครทำงาน 8 ชั่วโมงตามเวลาเข้าออกงานจริง
.
9. หาโอกาสสอนงานคนอื่น เพื่อตกผลึกความรู้ของตัวเอง และพัฒนาทักษะในการสื่อสาร
.
10. หาโอกาสเปิดหูเปิดตาด้วยการไปงานสัมมนาต่าง ๆ เพื่อมองหาไอเดียธุรกิจใหม่ ๆ รวมไปถึงคอนเนกชั่นด้วย
.
11. แสดงความสามารถของตัวเองให้คนอื่นรู้ เพื่อเป็นการสร้างคอนเนกชั่น
เราทำตัวให้เป็นที่ ‘ประจักษ์’ ว่าเราเก่งด้านไหน ที่คนอื่นนึกถึงเวลามีปัญหาให้ช่วยในด้านนั้น ๆ
.
12. ถ้าเจอเรื่องการเมืองในองค์กร พยายามทำตัวเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และถ้าเป็นไปได้วางตัวเป็นกลาง
หรือถ้าดีกว่านั้นหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย
.
13. หลีกเลี่ยงการสังสรรค์เรื่อง ‘คน’ และ ‘ข่าวสาร’ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องซุบซิบนินทา
แต่ให้มองหาการสังสรรค์เรื่อง ‘ไอเดีย’ ใหม่ ๆ
เวลากินข้าวกลางวัน พยายามไปกินข้าวกับคนที่คุยกันเรื่องไอเดียใหม่ ๆ อยู่เสมอ
.
.
2) วิธีคิดแบบลูกจ้าง vs วิธีคิดแบบเจ้าของธุรกิจ
วิธีคิดแบบลูกจ้าง คือการที่เราเอาแต่คิดถึงความคุ้มค่าว่าที่เราทำงานอยู่คุ้มกับค่าจ้างที่ได้รับรึเปล่า
ถ้าไม่คุ้ม ก็ทำงานน้อยลง หรือทำงานเท่าที่สั่งเท่านั้น
.
แต่วิธีคิดแบบเจ้าของธุรกิจ คือการที่เราคิดว่า เราเข้าไปในองค์กรเพื่อเรียนรู้ มองหาโอกาส คอนเนกชั่น และประสบการณ์ใหม่ ๆ
จงคิดซะว่างานประจำคือโรงเรียนสอนธุรกิจ ที่เราไม่ต้องจ่ายเงินเรียน แถมยังได้ค่าจ้างเรียนอีกต่างหาก
.
.
3) อย่าดูถูกพลังของหนังสือ
หนังสือเพียงไม่กี่เล่มอาจเปลี่ยนชีวิตเราได้
มันอาจสร้างโอกาสมหาศาล
เพียงลงทุนซื้ออ่านไม่กี่เล่ม อาจทำให้เราสร้างรายได้เป็นหลัก 100,000 บาทต่อเดือนก็เป็นได้
.
.
4) รู้จัก 3 ขั้นตอนในการตั้งเป้าหมาย
1. ย่อยเป้าหมายใหญ่ให้เล็กลง ทำให้ง่ายกว่าเดิม
เมื่อเป้าหมายเล็กสำเร็จบ่อย ๆ ธรรมชาติของเราจะอยากเพิ่มระดับความยากของมันเอง
.
2. กำหนดระยะเวลา เพื่อสร้างแรงผลักดันและทำให้เราโฟกัสกับเป้าหมาย
.
3. ทำ To do list ในแต่ละวัน
โดยอาจแบ่งช่องเป็น To do, Doing และ Done แล้วแปะไว้บนผนังข้างห้องนอน
เราจะได้มองดู To do list ได้ทุกวัน และสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้อีกวิธีที่น่าสนใจคือ การบอกให้โลกรู้ถึงเป้าหมายของเราเพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นให้เราลงมือทำ
เพราะถ้าไม่ทำก็อาจจะขายหน้าคนอื่นได้
.
.
5) โอกาสสำคัญ 3 อย่างบนโลกออนไลน์
1. การทำเงิน
ถ้าเราทำให้เกิดผู้ติดตามได้จำนวนมาก เราก็เปรียบเหมือน ‘มีรายการทีวี’ เป็นของตัวเอง
เราก็อาจสร้างรายได้จากการขายสินค้าโดยตรง ใช้ทำเป็นโฆษณาขายสินค้าให้แบรนด์อื่น ๆ
ได้ค่าโฆษณาจากแพลตฟอร์มโดยตรงแบบ Youtube หรือ การเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์อื่น ๆ เพื่อแบ่งยอดขายกันตามที่ตกลงได้
.
2. คอนเนกชั่น
ถ้าเรามีอิทธิพลทางความคิดและการตัดสินใจของผู้คนมากขึ้น คนอื่นก็จะเริ่มเข้ามาหาเรา
สร้างเป็นคอนเนกชั่นใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
.
3. ต่อรองทางธุรกิจ
ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องพิสูจน์ credit ของตัวเรา เพื่อต่อรองการทำธุรกิจกับแบรนด์อื่น ๆ
.
.
6) ระวังอาการหลงรักไอเดียตัวเองมากเกินไป
เวลามีไอเดียธุรกิจใหม่ ๆ เป็นไปได้มากว่าเจ้าของไอเดีย จะหลงรักไอเดียตัวเองมากแบบลืมหูลืมตา
จนหลายครั้งเกิดอคติในการเลือกรับข้อมูล หรือเลือกฟังแต่ข้อมูลที่ซัพพอร์ตไอเดียตัวเองเท่านั้น
.
เรื่องแบบนี้อันตรายมาก เพราะทำให้ธุรกิจเจ๋งมาแล้วนักต่อนัก
วิธีที่ควรทำคือ การนำเอาไอเดียตัวเองไปทดลองกับตลาดจริง ลูกค้าจริง ๆ
แล้วน้อมรับคำแนะนำของทุกคนทั้งทางด้านบวกด้านลบ
เราจะได้เห็นฟีดแบ็กลูกค้าแบบตรงไปตรงมา ก่อนจะเอาสินค้าหรือบริการเราออกสู่ตลาดจริง ๆ
.
.
7) ลองใช้ความเงียบในการต่อรอง
ความเงียบในการเจรจาต่อรองอาจเป็นสิ่งที่คนกลัวกันเพราะคิดว่ามันคือเดดแอร์ และทำให้รู้สึกอึดอัด
แต่ความจริงแล้วถ้าเราใช้ความเงียบให้เป็น มันอาจช่วยเราในหารเจรจาต่อรองได้
.
ครั้งต่อไปลองใช้ความเงียบในเหตุการณ์ต่อไปนี้ดู
1. หลังยื่นข้อเสนอให้ฝ่ายตรงข้าม – เช่นขอหัวหน้าขึ้นเงินเดือน
ลองเงียบดูเพื่อให้อีกฝ่ายได้ลองคิดทบทวนถึงคำตอบดี ๆ
.
2. หลังจากถามคำถาม – เพื่อให้เขาไม่อึดอัด และตอบในสิ่งที่มาจากใจของเขาจริง ๆ
3. เมื่อถูกอีกฝ่ายท้าทาย – เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเราไม่เล่นไปตามเกมของเขา และเขาอาจต้องเป็นฝ่ายถอนคำท้าทายออกไปเอง
.
ส่วนระยะเวลาที่ควรใช้ความเงียบคือ 5-12 วินาที เพื่อกดดันให้อีกฝ่ายตอบคำถามออกมาให้เกิดประสิทธิผลตามที่เราคาดมากที่สุด
แต่ถ้าความเงียบตั้งแต่วินาทีที่ 12 เป็นต้นไป ประโยชน์ของความเงียบจะค่อย ๆ ลดลงจนไม่เกิดประสิทธิผลอะไร
.
.
8) จงถามตัวเองอยู่เป็นประจำว่า ‘เราทำอะไรอยู่’ ‘เราอยู่เพื่ออะไร’ แล้ว ‘เรากำลังเดินไปไหน’
หลายครั้งเราอาจเริ่มเกิดความสงสัยในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ว่ามันอาจไม่ตอบโจทย์
หรือมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ
ถ้าเราถามตัวเองด้วยคำถามทั้ง 3 ข้างต้นทุกวันแล้วไม่สามารถตอบตัวเองได้แน่ชัด
ก็คงถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว
.
.
9) ‘ความสำเร็จ’ กับ ‘การบรรลุเป้าหมาย’ เป็นคนละเรื่องกัน
เป้าหมาย มักเป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ มีความหมาย ตรวจวัดได้
แต่ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ ‘ความรู้สึก’
.
ดังนั้นการที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมเราต้องการสิ่ง ๆ นั้น
เช่น เป้าหมายของเราคือ ‘เงินล้าน’
แต่ถ้าเราอยากรู้สึกสำเร็จ เราต้องเข้าใจก่อนว่า เราต้องการเงินล้านนั้นไปทำไม
.
สุดท้ายแล้ว ระหว่างทางที่เดิน ‘อย่าลืมเอาแต่ให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมาย จนลืมเหตุผลวันแรกที่เราเริ่มทำสิ่งนั้น’
.
.
รีวิวหลังอ่านสั้น ๆ
เป็นหนังสือที่อ่านสนุก
กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ตรงของคุณนาฟิส อิสลาม เจ้าของเพจสมองไหล
.
โดยเนื้อหาเน้นไปที่บทเรียนชีวิต ตั้งแต่วัยเด็กของ คุณนาฟิส อิสลาม จนกระทั่งเติบโตขึ้นมาเริ่มทำธุรกิจโรงเรียนสอนเทควันโดตั้งแต่เรียนมัธยม
จนพอจบมหาลัยออกมา ก็เข้าทำงานบริษัท
พร้อมสร้างเพจสมองไหล ที่เป็นเสมือนจุดตั้งตัวใหม่
.
เพจสมองไหล เป็นเพจย่อยความรู้ และสรุปใจความสำคัญของหนังสือ ซึ่งทำเนื้อหาได้น่าสนใจและดึงดูดผู้คนจำนวนมาก
จนในเวลาไม่นาน เพจดังกล่าวก็ค่อย ๆ เติบโตจนคุณนาฟิส อิสลาม เปิดช่องทางขายหนังสือผ่านเพจ
และสร้างรายได้เดือนละหลายแสนบาท
.
เรียกว่าอายุเพียง 20 ต้น ๆ แต่ชีวิตของคุณนาฟิส อิสลาม ก็มาได้ไกลมากจนมีแต่เรื่องราวที่น่าสนใจ
หนังสือตกผลึกบทเรียนของเขาจึงน่าสนใจมาก
.
โดยรวมแล้ว เนื้อหามีความหลากหลาย เน้นไปที่การทำธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็แทรกเรื่องการบริหารเงินส่วนบุคคล รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อยู่เป็นพัก ๆ
.
เนื้อหาอาจไม่ได้ลึกอะไรมาก แต่เน้นความเข้าใจที่ง่าย
และไอเดียที่เอาไปใช้ต่อยอดต่อ
ส่วนไฮไลท์ก็หนีไม่พ้นความเชื่อมโยงระหว่างการทำงานประจำ กับการออกมาทำธุรกิจของตัวเอง
ซึ่งในความจริงแล้ว งานประจำอาจสอนเรื่องธุรกิจได้มากกว่าที่เราคิด
.
หนังสือแบ่งเป็นบทย่อย ๆ อ่านเข้าใจง่าย
เนื้อหาอาจยาวไปนิด และมีความซ้ำกันบ้าง
แต่โดยรวมแล้ว ได้อะไรกลับไปแน่นอนครับ
.
.
.
.........................................................................................................
ผู้เขียน: นาฟิส อิสลาม
จำนวนหน้า: 272 หน้า
สำนักพิมพ์: อะไรเอ่ย, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 4/2021
.........................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
#หลังอ่าน #งานประจำสอนทำธุรกิจ
Comments