12 บทเรียนในการหางานที่ใช่
จากหนังสือ งานที่ใช่หาง่ายกว่าที่คิด: Love Me Love My Job
.
.
1. 90% ของงานนั้นน่าเบื่อ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม
ถ้าเป็นนักร้อง ก็ต้องร้องเพลงซ้ำเดิมรอบที่ 100
ถ้าเป็นโค้ชสร้างแรงบันดาลใจ ก็ต้องคอยโปรโมทตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ ชีวิตก็จะวน ๆ อยู่กับการหมุนเงิน
ถ้าเป็น Head of People อย่างผู้เขียนเล่มนี้ ก็ต้องนั่งอ่าน resume แล้วก็หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการจ้องหน้าจอคอม
.
เราจึงต้องรู้จักทนอยู่กับ 90% ของความน่าเบื่อนั้นให้ได้
และพยายามมองหาส่วนที่สนุก 10% ที่เหลือของงาน
ซึ่งอาจเป็นตอนที่เราได้ร่วมงานกับคนเก่ง ๆ หรือตอนที่น้องในทีมพูดขอบคุณเรา
.
จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความน่าเบื่อ และมองหาความสนุกของงานที่ตัวเองทำอยู่
.
.
2. 30% ของเงินเดือนที่ได้คือ ค่าอดทน
ไม่ว่าจะทำงานตำแหน่งอะไรก็ต้องอดทนกันทั้งนั้น
ถ้าเป็นลูกน้อง ก็ต้องอดทนกับรถติด โดนหัวหน้าสั่งให้ทำงานที่ไม่อยากทำ
ถ้าเป็นหัวหน้า ก็ต้องอดทนกับความกดดันจากทั้งข้างบน และข้างล่าง และเรื่องการซุบซิบนินทาของลูกน้อง
ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ ก็ต้องอดทนกับการนอนไม่หลับ กังวลว่าจะหมุนเงินทันมั้ย จะจ่ายเงินเดือนลูกน้องไหวรึเปล่า และยังอาจโดนตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายในสายตาลูกน้องอีก
.
ถ้าคิดว่าเงินเดือนที่ได้ส่วนหนึ่งคือ เขาจ่ายมาให้เราอดทน เราอาจจะสบายใจที่จะทำงานตรงหน้ามากขึ้น
.
.
3. ก่อนเริ่มให้ถามทุกครั้งว่า “วันนี้มาประชุมเพื่ออะไร”
เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าจะไม่เสียเวลาเปล่า
และเพื่อไม่ให้การพูดคุยออกนอกลู่นอกทาง
.
.
4. Done is better than perfect เพราะเราล้วนมีเวลาจำกัด
ถ้าเราทำงาน 1 ชั่วโมงให้ได้คุณภาพ 90%
แล้วต้องทำอีก 1 ชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณภาพ 99%
แล้วอาจต้องทำต่ออีก 1 ชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณภาพ 99.99%
.
สู้เอาเวลา 3 ชั่วโมงไปทำ 3 งานให้ได้ 90% อาจเกิดประโยชน์มากกว่า
เพราะไม่ว่าจะทำยังไง ก็ไม่มีทางทำให้งานสมบูรณ์แบบ 100% ได้อยู่ดี
.
.
5. องค์กรจำเป็นต้องมีทั้ง Superstars และ Rock stars
Superstars เป็นคนที่ต้องการแสดงผลงาน ไต่เต้าขึ้นไปเป็นระดับหัวหน้า ชอบความท้าทาย ชอบความก้าวหน้า
Rock stars เป็นคนที่สนุกกับงานที่ตัวเองทำอยู่ และไม่ได้ต้องการความก้าวหน้า
.
ถ้าบริษัทตัดสินใจผิด พยายามโปรโมทคนประเภท Rock stars จนคนเหล่านี้ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ
บริษัทก็มีโอกาสจะสูญเสียคนเหล่านี้ไป
บริษัทจึงต้องมองให้ออกว่าใครเป็น Superstars และ ใครเป็น Rock stars พร้อมบาลานซ์คนทั้ง 2 ประเภทให้เหมาะสม
.
.
6. อยากขายของได้ ให้คิดว่าสินค้าหรือบริการของเราตอบโจทย์ “งานที่ต้องทำ” อะไรของลูกค้า
เช่น กาแฟที่เราขาย อาจต้องทำงานให้ลูกค้าตื่นในตอนเช้า
เหล้าที่เราขาย อาจต้องทำงานสร้างความกมึน ๆ กรึ่ม ๆ ให้ลูกค้า เพื่อให้เขาสนุก
.
ดังนั้นสินค้าทุกอย่างล้วนทำงานบางอย่างให้ลูกค้าที่ซื้อมันเสมอ
จงมองหางาน ๆ นั้นให้เจอ
.
.
7. เรารู้จักใคร ไม่สำคัญเท่าใครรู้จักเรา
เราอาจรู้จัก CEO บริษัท แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าการที่ CEO รู้จักเรา
เพระาถ้าคนในตำแหน่งสูง ๆ จำหน้าเราได้ รู้ว่าเราทำอะไรได้ดี
เราจะได้รับมอบหมายงานสำคัญ ๆ มาให้ตลอด
เหมือนเป็นการสร้าง personal branding
.
และเมื่อมีคนรู้จักเรามากขึ้น โอกาสต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ เข้าหาเรามากขึ้นเอง
.
.
8. ความเข้าใจลูกน้อง 4 ระดับ
ระดับที่ 1: ไม่มีอะไรเลย ไม่เคยสนใจลูกน้องในทีม
ระดับที่ 2: มี Sympathy คือเข้าใจสถานการณ์และปัญหาที่ลูกน้องเผชิญอยู่
ระดับที่ 3: มี Sympathy + Empathy คือเข้าใจและรู้สึกร่วมไปกับปัญหาของลูกน้อง
อาจให้คำปลอบประโลมดี ๆ กับลูกน้องได้
ระดับที่ 4: มี Sympathy + Empathy + Compassion คือเข้าใจ รู้สึกร่วม และเสอนแนะวิธีแก้ปัญหาให้ลูกน้องด้วยสติปัญญา
.
การจะเป็นหัวหน้าที่ดีได้ เราต้องค่อย ๆ ไต่ระดับความเข้าใจลูกน้อง จนสามารถเสนอทางแก้ปัญหาที่ดีกับเขาได้
.
.
9. บางทีสิ่งที่เราต้องทำก็แค่พูด “ขอ” ออกไป
หลายคนไม่กล้าร้องขอ ทั้ง ๆ ที่มันทำได้ง่ายมาก
ถ้ามาเจาะดูสาเหตุ อาจพบว่า เราไม่กล้าร้องขอเพราะกลัวการถูกปฏิเสธ กลัวการถูกมองในแง่ลบ และสูญเสียอัตตา
แต่ถ้าเราคิดว่า การขอของเราเป็นการให้โอกาสคนอื่นในการช่วยเหลือเราในเรื่องที่เขาถนัด มุมมองของเราอาจเปลี่ยนไป
.
เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่เอ่ยปากขอ คำตอบก็คือ “no” อยู่เสมอ
.
.
10. บางสิ่งเราสะสมได้ แต่บางสิ่งเราสะสมไม่ได้
สิ่งที่เราสะสมได้เช่น เงินทอง ยอดไลค์ ชื่อเสียง ผลงาน เพื่อน
แต่สิ่งที่เราสะสมไม่ได้เช่น เวลา สุขภาพ การนอนหลับ การกินอาหาร
.
จุดต่างของสิ่งที่สะสมได้ กับสะสมไม่ได้คือ “เพดาน” ในการสะสม
เช่น เราอาจสะสมเงินจนเป็นหลักล้าน สิบล้าน ร้อนล้าน พันล้าน
เราอาจสะสมขอดคนตามจนเป็น หลักแสน หลายแสน หลักล้าน หลายล้าน
.
แต่เรากินสะสมไม่ได้ เราต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อเพราะกระเพาะเราจำกัด
เรานอนหลับ 24 ชั่วโมง เพื่อให้ตื่นไปทำงาน 72 ชั่วโมงต่อเนื่องกันไม่ได้
เราจะขยันทำงานแค่หน สุดท้ายเวลาเราก็ถูกจำกัดที่ 24 ชั่วโมง
.
สำหรับสิ่งที่เราสะสมไม่ได้ เราจึงต้องทำมันอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ วัน
และอย่าฝืนไปพยายามสะสมมันจนระบบร่างกายรวมถึงชีวิตเรามันรวน
.
.
11. เวลาเรา say no เรากำลังปฏิเสธแค่ทางเลือกเดียว
แต่ถ้าเรา say yes เรากำลังปฏิเสธทางเลือกอื่น ๆ ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นยังไงเราก็กำลังตัดสินใจ
แต่การที่เรา say yes ให้กับอะไรอย่างหนึ่งแล้ว มันจะกลายเป็นความรับผิดชอบทันที
.
.
12. ชีวิตจะส่งสัญญาณเตือนเรา ถ้าเราละเลยสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป
หลายเรื่องเราอาจคิดว่า ทำแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่เห็นจะเป็นไร
ผลร้าย ๆ ที่ได้ยินมาก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก
ที่เป็นแบบนี้เพราะเราคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น
.
แต่ถ้าวันไหนดวงซวยแล้วเกิดเรื่องขึ้นมา ชีวิตเราก็อาจพังพินาศได้
เช่น การดื่มแล้วขับ ที่เราอาจรอดมาได้หลายครั้ง แต่ถ้าพลาดครั้งหนึ่ง ขับไปชนคน หรือโดนเป่าแล้วติดคุก ชีวิตก็คงเสียหายไปไม่น้อย
การสูบบุหรี่ ที่ทำนิดหน่อยไม่เห็นผลอะไร แต่พอสูบไปเรื่อย ๆ ดันเจอมะเร็งปอดซะงั้น
หรือการบ้าทำงานหนัก โดนไม่สนใจครอบครัว สุดท้ายสุขภาพเราเสีย ความสัมพันธ์ก็แย่ ลูกเราก็กลายเป็นเด็กมีปัญหา
.
ดังนั้นแล้ว เราต้องบาลานซ์ชีวิตให้ดี อย่าละเลยสิ่งสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งนานจนเกินไป
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นของคุณอานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ ที่่อ่านสนุกมาก
คุณอานนทวงศ์ เริ่มจากการเขียนบล็อกชื่อ Anontawong's Musings
แล้วตกผลึกไอเดียมาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจ รวมถึงประสบการณ์การทำงานของตัวเองด้วย
.
สไตล์การเขียนที่สรุปเนื้อหาเป็นบทความสั้น ๆ แต่มี key message โดน ๆ แฝงอยู่ นับว่าเหมาะกับจริตการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองของคนไทยมาก
เพราะสามารถเลือกอ่าน และจดจำ key message เหล่านั้นได้ง่าย
.
ด้านเนื้อหาเองก็มีประโยชน์ทั้งต่อการพัฒนาตัวเองทั่วไป และการทำงานในบริษัท
แนะนำให้ลองหยิบมาอ่านกันดูนะครับ
.
.
..............................................................................................
ผู้เขียน: อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์
จำนวนหน้า: 184 หน้า
สำนักพิมพ์: DOT, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 6/2022
..............................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comments