รีวิว คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก
- หลังอ่าน: รีวิวหนังสือ
- Sep 22, 2021
- 2 min read


รีวิว คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก
The Magic of Thinking Big
.
.
‘ความสำเร็จ ขึ้นกับขนาดความคิด คิดเล็กจะประสบความสำเร็จเล็ก คิดใหญ่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่’
.
นี่เป็นหนังสือมหาอมตะนิรันดร์กาลที่ควรอ่านตั้งแต่เรียนมหาลัย เพื่อปรับหลักคิด และวางแผนชีวิตด้วยการคิดให้ใหญ่เข้าไว้
.
ตลอดเล่มหนังสือเล่าพลังของความเชื่อมั่นและวิธีการคิดใหญ่ที่เรียกว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่เราสามารถนำไปต่อยอด ตั้งเป้าหมาย และลงมือทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ
.
แน่นอนว่าถ้าใครไม่เคยอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา-พัฒนาตัวเองมาก่อน เล่มนี้นับว่าเป็นเล่มแรกๆที่ควรพิจรณา เพราะช่วยจัดระเบียบความคิดเราใหม่หมด ก่อนจะค้นหาเป้าหมายและมุ่งหน้าไป
.
หนังสือโดยรวมอ่านง่ายมาก ตัวอย่างแม้จะเก่าแต่ไม่เอ้าต์เลย เป็นตัวอย่างที่อ่านแล้วจำได้ เอาไปเล่าต่อได้ แต่ละบทยังกระชับได้ใจความ มีสรุปแนวทางการปรับความคิดสำหรับผู้อ่านเป็นข้อๆชัดเจน
.
ถ้าให้นึกถึงหนังสือจัดระเบียบความคิด เล่มนี้อาจเป็นเล่มแรกๆที่หลายคนนึกถึง
.
นอกจากนี้หนังสือยังทรงอิทธิพลมาก มีการนำไปอ้างอิงต่อมากมาย แม้แต่ quote บน facebook ที่เราเห็นกันอยู่เรื่อยๆ หลายอันก็เอามาจากเรื่องเล่าในหนังสือเล่มนี้เอง
.
อย่างที่บอกเลยครับ ส่วนตัวคิดว่าควรอ่านเล่มนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หรือช่วงก่อนทำงาน เพราะเป็นช่วงที่หลายคนเริ่มวางแผนชีวิต และกำลังหาเข็มทิศที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายที่ใฝ่ฝัน
.
หรือถ้าบางคนค้นพบตัวเองเร็ว รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากมุ่งหน้าไปทางไหน ก็อาจจะเริ่มตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยก็เป็นได้
.
ผมจะขอดึงเนื้อหาบางส่วนที่ชอบมากเป็นพิเศษมาสรุปให้ฟัง เป็นการป้ายยาให้ไปหามาอ่านเล่มเต็มกันต่อนะครับ สรุปออกมาเป็น 10 ข้อดังต่อไปนี้ครับ
.
1) ‘ขนาดความสำเร็จ’ ถูกกำหนดโดย ‘ขนาดความคิด’
.
คนที่คิดเล็ก ก็จะประสบความสำเร็จเล็กน้อย แต่คนที่คิดการใหญ่ก็จะประสบความสำเร็จที่ยิงใหญ่
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ โดยปกติแล้วการคิดใหญ่และแผนการใหญ่มักจะลงมือทำได้ง่ายกว่าแผนการเล็กและการคิดเล็ก
.
ดังนั้นเราต้องเริ่มจากความเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ คิดอยู่เสมอว่าเราจะสำเร็จ และคิดแผนการใหญ่เข้าไว้ เพื่อหาลู่ทางไปสู่ความสำเร็จนั้น
.
.
2) กำจัดข้ออ้างยอดนิยม 4 ประการ
.
คนเรามักมีโรคแห่งความล้มเหลวอยู่ในตัวโดยไม่รู้ตัว นั่นก็คือ ‘โรคชอบแก้ตัว’ โดยใช้ข้ออ้างประการ
.
ข้ออ้างที่ 1: ข้ออ้างเรื่องสุขภาพ
หลายคนนิยมอ้างเรื่องความไม่พร้อมทั้งทางกาย และทางจิตใจในการไม่ลงมือทำสิ่งต่างๆ ไหนจะปวดแขน ไหนจะเป็นโรคนู้น โรคนี้
.
วิธีแก้ข้ออ้างประเภทนี้คือ ปฏิเสะที่จะยึดติดอยู่กับสุขภาพที่ไม่ดีของตัวเอง หยุดพูดถึงมันไปสักพัก อย่าพยายามเป็นทุกขืหรือหนักใจเรื่องสุขภาพให้มากกว่านี้ แล้วลองหันมาโฟกัสที่ส่วนที่ยังดีอยู่ จงภูมิใจในสุขภาพของตัวเองให้เท่าผู้อื่น และคิดว่า ‘สึกไปดีกว่าเป็นสนิม’
.
ข้ออ้างที่ 2: ข้ออ้างเรื่องความฉลาด
มีอยู่ 2 สาหุตที่ทำเป็นข้ออ้างในเรื่องนี้ คือ การประเมินหัวมองของตัวเองต่ำเกินไป และประเมินหัวสมองของคนอื่นสูงเกินไป
เป็นเรื่องน่าแปลกที่การะเมินลักษณะแบบนี้ฉุดรั้งเราไว้ไม่ให้เราลงมือทำ แม้เราจะมีความรู้สะสมไว้อย่างเหลือเฟือ
.
จริงๆแล้วมีผลการวิจัยจากหลายสำนักชี้ให้เห็นว่า คนที่มีไอคิวสูงไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จเสมอไป มันขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น การรู้จักใช้คน การรู้จักทำตัวเป็น ‘วิศวกรมนุษย์’ สร้างทีมขึ้นมาให้ทำงานร่วมกันจนสำเร็จ หรือการนำความรู้ที่มีมาสร้างเป็นความสามารถใหม่และใช้มันอย่างสร้างสรรค์
.
วิธีแก้ง่ายๆสำหรับคนที่ชอบแก้ตัวด้วยความฉลาดคือ เราต้องเข้าใจใหม่ว่าค่าไอคิวและปริมาณสมองไม่ได้สำคัญเท่ากับวิธีการจัดการกับสมอง และที่สำคัญ ‘ทัศนคติสำคัยกว่าความฉลาด’ เราต้องปรับทัศนคติให้ถูกต้อง โดยเฉพาะทัศนคติของผู้ชนะ และเราต้องจำไว้ดีๆว่า การจำข้อมูลได้มากๆไม่ได้ได้ผลดีเท่าการสร้างและพัฒนาความคิด
.
ข้ออ้างที่ 3: ข้ออ้างเรื่องอายุ
มีทั้งสองด้านคือ ‘เราแก่เกินไป’ และ ‘เรายังเด็กเกินไป’
แน่นอนว่าหลายๆครั้งเราอาจพบกับข้ออ้างเหล่านี้ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มธุรกิจใหม่เมื่อเราอายุเริ่มเยอะแล้ว หรือการต้องผู้จัดการตั้งแต่ยังหนุ่มสาว และมีลูกน้องเป็นคนอายุมากกว่า
.
วิธีในการจัดการข้ออ้างเรื่องอายุให้ราบคาบคือ การเปลี่ยนมุมคิด จากการโฟกัสว่าเราแก่เกิน ให้มองว่า ‘เรายังหนุ่มอยู่’ หรือถถ้าเราชอบอ้างว่าเด็กเกิน ก็ให้มองว่า ‘เราโตพอแล้ว’ จำไว้ว่าถึงเราจะอายุ 50 ก็ยังมีเวลาอีกตั้ง 40%ของชีวิตรอเราอยู่ ซึ่งนั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเราก็เป็นได้
.
สิ่งสุดท้ายคืออย่าไปเสียใจกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว ว่าเราไม่ได้ลงมือทำอะไรจริงจังเลย ให้เราเปลี่ยนมาคิดว่า ยังมีอนาคตอันสดใสรอเราอยู่ เราจะเริ่มทำมันเดี๋ยวนี้
.
ข้ออ้างที่ 4: ข้ออ้างเรื่องโชค
หลายคนชอบอ้างว่าคนอื่นโชคดี และตัวเองโชคไม่ดี แต่ถ้าคิดแบบนี้ก็อาจไม่ยุติธรรมกับคนที่เราอ้างถึง และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
.
วิธีแก้คือ จงคิดใหม่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุและผลของมัน แม้ว่าโชคจะเป็นส่วนหนึ่งแต่มีปัจจัยอีกหลายๆอย่าง ทั้งความทุ่มเท การทำงานหนัก และที่สำคัญการมีทัศนคติที่ถูกต้องที่จำทำให้สำเร็จ
.
.
3) บริหารธนาคารความจำด้วย 2 หลักการ
.
1. ฝากเฉพาะความคิดบวก
ทุกคืนก่อนเข้านอนให้คิดถึงเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในวันนั้น อาจเป็นเรื่องง่ายๆ แต่นี่เป็นการฝึกเติมความคิดบวกเข้าไปในธนาคารของเรา
.
นอกจากนี้อย่าเผลอเติมความคิดลบเข้าไปเป็นอันขาด เพราะความคิดลบจะเข้าไปบ่อนทำลาย กัดกร่อนจิตใจ และสร้างความวิตกกังวลให้เราโดยไม่รู้ตัว
.
2. ถอนเฉพาะความคิดบวกจากธนาคารความจำ
แน่นอนว่าหลายๆครั้ง มักมีเรื่องสะเทือนใจที่จำฝังใจของเราเป็นเวลานาน เรื่องเหล่านั้นคือความคิดลบอันเป็นปีศาจร้าย ที่ฉุดรั้งเราไว้ไม่ให้ก้าวไปไหน
.
วิธีแก้ง่ายนิดเดียว คือเราต้องปิดบัญชีความคิดลบไปให้หมด อย่าถอนอสูรกายความคิดลบให้มันมาบ่อนทำลายชีวิตเราได้อีก และโฟกัสไปที่การถอนแต่ความคิดที่เป็นบวก
.
.
4) 5 เทคนิคเสริมความมั่นใจกับตัวเราเอง
.
1. นั่งแถวหน้า
อย่ากลัวที่จะตกเป็นเป้าสายตา จงลองหาที่นั่งแถวหน้าๆเข้าไว้
.
2. ฝึกสบตา
เวลาพูดกับใครอย่าหลบสายตา ถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้ทั้งผู้ฟังและผู้พูดด้วย
.
3. เดินให้เร็วขึ้น 25%
ยืดไหล่ เงยหน้า แล้วเดินให้เร็วขึ้น เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจว่า เรากำลังจะไปที่สำคัญ ไปทำเรื่องที่สำคัญซึ่งจะนำมาซึ่งความสำเร็จ
.
4. ฝึกพูดแสดงความคิดเห็น
อย่าปฏิเสธการให้ความเห็นเพียงเพราะไม่มั่นใจ ให้หมั่นฝึกพูดออกไป เพราะการพูดเป็นทั้งวิตามินและการให้แรงบันดาลใจกับคนอื่นๆ
.
5. ยิ้มกว้าง
การยิ้มช่วยให้เราสลายความกังวลในตัวเอง และยังเป็นการปฏิเสธการขัดแย้งกับคนอื่นไปในตัว เรื่องเหล่านี้ล้วนช่วยสร้างความมั่นใจให้เรามากขึ้น
.
5) ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งต่างๆ
.
เป็นการทบทวนความคิดของตัวเองให้เพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งต่างๆ เหมือนได้ทำแบบฝึกหัดอยู่เสมอๆ
.
1. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งของ
ลองถามตัวเองอยู่เสมอว่า เราจะเพิ่มมูลค่าอะไรให้กับ บ้านหลังนี้ หรือธุรกิจๆนี้ได้บ้าง
.
2. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับผู้คน
ลองถามตัวเองดูว่าเราจะทำยังไงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานของเราได้บ้าง
.
3. ฝึกเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง
ถามตัวเองทุกๆวันว่า เราจะทำอะไรเพื่อทำให้ตัวเราเองมีค่ามากขึ้นในวันนี้
.
.
6) คนใหญ่ผูกขาดการฟัง คนเล็กผูกขาดการพูด
.
ผู้นำในทุกวงการใช้เวลาส่วนใหญ่ในการขอคำแนะนำมากกว่าการให้คำแนะนำ เพราะแน่นอนว่าผู้นำเหล่านี้ต้องตัดสินใจ แต่การจะตัดสินใจได้ดี ต้องอาศัยวัตถุดิบชั้นเลิศ
.
ซึ่งวัตถุดิบชั้นเลิศดังกล่าว ก็มาจากความคิดและคำแนะนำของคนอื่นๆนั่นเอง
.
งานขายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก เพราะว่าเมื่อเราต้องการขายของให้คนๆหนึ่ง เราต้องฟังสิ่งที่คนๆนั้นต้องการอย่างแท้จริง ก่อนจะตัดสินใจเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการปิดการขาย
.
ดังนั้นแล้ว เทคนิค 3 ข้อที่ทำให้เราได้ข้อมูลดีๆมาพัฒนาความคิดสร้างสรรค์คือ
1. ส่งเสริมให้คนอื่นพูด
นอกจากเราจะได้วัตถุดิบดีๆในการสรรสร้างงานแล้ว อีกฝ่ายก็จะชอบเราอีกด้วย เพราะคนเราชอบคนที่พร้อมรับฟังความคิดเราเสมอ
.
2. ทดสอบความคิดของเราในรูปแบบคำถาม
นอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพคนอื่นแล้ว ยังได้ไอเดียดีๆมาต่อยอดความคิดอีกด้วย
.
3. ตั้งใจฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด
ไม่ใช่แค่แกล้งฟัง แต่ต้องฟังจริงๆ เพื่อให้สิ่งที่เขาพูดซึมเศร้าเข้าสู่จิตใจเรา
.
.
7) สิ่งที่เราคิดกำหนดสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราทำกำหนดสิ่งที่คนอื่นจะมีปฏิกริยาต่อเรา
.
การที่เราจะได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่นนั้น มันต้องเริ่มจากการที่เรานับถือตัวเองก่อน
.
‘การปรากฎกายของเรา’ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม บุคลิกท่าทางต่างๆมาจากความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเอง หรือความเคารพนับถือที่มีต่อตัวเราเอง
.
เรื่องเล่าคลาสสิคที่หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินคือ เรื่อง ‘ช่างก่ออิฐ 3 คน’
.
คนแรกตอบว่า ‘กำลังก่ออิฐ’
คนที่ 2 ตอบว่า ‘ทำงานแลกเงิน 7 บาท ต่อชั่วโมง’
คนที่ 3 ตอบว่า ‘กำลังสร้างโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก’
.
สิ่งที่ต่างกันของช่างก่ออิฐทั้ง 3 คือ การเคารพนับถือตัวเอง
.
ในเมื่อช่าง 2 คนแรกไม่นับถืองานของตัวเอง พวกเขาก็จะไม่เจอแรงผลักดันที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป จึงเป็นไปได้มากว่าคนอื่นก็จะมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน และไม่มีโอกาสอะไรจะมอบให้พวกเขา พวกเขาจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องทำงานก่ออิฐไปเรื่อยๆ
.
ในทางตรงกันข้าม ช่างคนที่ 3 มองเห็นความสำคัญของงานตัวเอง เขานับถือตัวเอง และทำให้คนที่มาเห็นรู้สึกนับถือเขาด้วย คนที่มาเห็นจึงพร้อมมอบโอกาสอันดีกว่าให้กับเขา เขาจึงอาจกลายเป็นผู้รับเหมา หรือสถาปานิก เติบโตขึ้นไปในหน้าที่การงานอีกมาก
.
.
8) ทัศนคติ 3 ประการในการทำงานที่ควรปลูกฝัง
.
วิธีการสำคัญที่จะช่วยให้เรามีทัศนติแห่งความสำเร็จ และดึงคนรอบข้างมาเป็นพวกเดียวกับเรา
.
1. ปลูงฝังทัศนติที่ว่า ‘จงกระตือรือร้น’
ลองนึกถึงอาจารย์สอนหนังสือที่ไม่กระตือรือร้นในเนื้อหาที่จะสอน แน่นอนว่านักเรียนย่อมง่วงนอน และไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์พูด
.
ในทางกลับกัน ถ้าอาจารย์แสดงความกระตือรือร้นดังกล่าวออกมา นักเรียนย่อมมีความอยากรู้อยากเห็นไปด้วย
.
ถ้าอยากให้คนอื่นกระตือรือร้น ตัวเราเองจึงต้องกระตือรือร้นให้ได้ก่อน
.
เทคนิคในการสร้างความกระตือรือร้น 3 ประการคือ
- การที่เราศึกษาสิ่งต่างๆให้ลึกลงไป เช่นถ้างานเราเกี่ยวกับเรื่องศิลปะ ก็ลองศึกษามุมเล็กๆของงานเราดู อาจมีเรื่องที่น่าสนใจให้เซอร์ไพร๊สก็เป็นได้
- สร้างมาความมีชีวิตชีวา เวลาเจอกันทักทาย
- ประกาศข่าวดี เพราะข่าวดีช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างได้เสมอ
.
.
2. ปลูงฝังทัศนติที่ว่า ‘เราคือคนสำคัญ’
.
เริ่มจากการปลูกฝังกับตัวเองว่าเราคือคนสำคัญ เพราะโดยธรรมชาติแล้วทุกๆคนล้วนอยากเป็นคนสำคัญ เราล้วนอยากทำสิ่งที่มีควาหมาย
.
และหลังจากนั้นให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญอยู่เสมอ
.
มันคุ้มมากที่จะทำให้คนตัวเล็ก รู้สึกเหมือนเป็นคนใหญ่
.
แนวทางปฏิบัติก็เช่น การขอบคุณในสิ่งต่างๆที่คนรอบข้างทำให้ จดจำชื่อของคนรอบตัวเรา แล้วเรียกชื่อให้ถูกต้องทุกครั้ง และเมื่อมีความดีความชอบเขามา อย่าเก็บไว้คนเดียว ให้เครดิตคนรอบตัวด้วย
.
3. ปลูงฝังทัศนติที่ว่า ‘บริการเป็นอันดับหนึ่ง’
.
จำไว้ว่าการจะทำธุรกิจให้สำเร็จนั้น เราต้องโฟกัสไปที่การบริการก่อน ถ้าบริการดีประทับใจลูกค้า เงินจะตามมาหาเราเอง
.
.
9) ไม่รอให้จิตใจผลักดัน แต่เป็นฝ่ายผลักดันจิตใจตัวเอง
.
ใจของเรามักจะกลัวงานที่ยาก หรืองานที่น่าเบื่อ ดังนั้นในกรณีเหล่านี้เราต้องทำตัวเป็นเครื่องยนต์อัตโนมัติที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอให้ใจมาสั่ง
.
เราควรสร้างระบบกลไกอัตโนมัติให้สร้างความคิด แก้ปัญหา จัดการงานที่น่าเบื่อทั้งหลาย โดยไม่รอให้จิตใจแห่งความกลัวเข้าครอบงำเสียก่อน
.
วิธีที่ได้ผลมากอีกวิธีหนึ่งคือการเขียนงานเหล่านี้ลงกระดาษ ด้วยปากกาหรือดินสอ เพราะเมื่อเราเขียนลงกระดาษแล้ว มันก็จะเหมือนการเขียนงานเหล่านั้นลงในจิตใจเราด้วย
.
เราจึงผลักดันจิตใจของเราให้เริ่มทำงานเหล่านั้นได้เร็วขึ้น โดยความกลัว ความกังวลยังเคลื่อนมาไม่ถึง
.
.
10) ความเพียรพยายาม ผสานกับการทดลองนั้นรับประกันความสำเร็จได้
.
การจะเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้นั้น แน่นอนว่าความพยายามเป็นส่วนประกอบสำคัญ
.
แต่ความพยายามอย่างเดียวอาจไม่พอ
.
ให้ลองนึกถึงเอดิสันว่ากว่าเขาจะประดิษฐ์หลอดไฟขึ้นมาได้ ต้องอาศัยการทดลองวิธีต่างๆที่ไม่ได้ผลมากกว่าพันครั้ง เพราะจเฉะนั้นแล้วการทดลองหาแนวทางใหม่จึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน
.
ดังนั้นเราจึงควรยึดเป้าหมายไว้ให้มั่น แต่วิธีการไปถึงนั้นเปลี่ยนได้ ให้ลองทดลองวิธีการใหม่ๆไปเรื่อยๆ เชื่ออยู่เสมอว่าเรามีหนทาง และ ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักบ้างก้ได้
.
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
.................................................................................................................................
ผู้เขียน: David J. Schwartz
ผู้แปล: ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
จำนวนหน้า: 312 หน้า
สำนักพิมพ์: ซีเอ็ดยูเคชั่น, บมจ.
เดือนปีที่พิมพ์: 1991
.................................................................................................................................
.
.

Comments