รีวิว ความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน
.
‘ใช้พลังของสมาธิอย่างถูกต้อง เพื่อกำจัดงานให้ได้ปริมาณมาก ในเวลาเท่าเดิม’
.
หนังสืออีกเล่มของ Mentalist DaiGo นักจิตวิทยาชาวญี่ปุ่น เจ้าของหนังสือ Bestsellers หลายเล่ม ทั้งในญี่ปุ่นและที่แปลมาเป็นภาษาไทย
ถ้าใครติดตาม Mentalist DaiGo มาตลอด จะเห็นว่าหนังสือแต่ละเล่มของเขามักจะมีคอนเซ็ปต์หลักที่ชัดเจน และมีการแบ้งเคล็ดลับการพัฒนาตัวเอง เป็น howto ข้อ ๆ อ่านเข้าใจง่าย
.
หนังสือความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน ก็เป็นอีกเล่มที่เป็นจิตวิทยา-howto ในการพัฒนาตัวเองทั้งในด้านการทำงาน และการใช้ชีวิต โดยเล่มนี้เน้นคอนเซ็ปต์เรื่องการใช้ ‘พลังแห่งสมาธิ’
ซึ่งตามตรงผมก็คิดว่าไม่ค่อยตรงกับชื่อหนังสือสักเท่าไหร่ คงต้องถามคนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออกอีกทีว่า ชื่อต้นฉบับเขียนว่ายังไง
.
เพราะเล่มนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องการทำงานให้เสร็จเร็ว ให้เสร็จทันตามชั่วโมงการทำงาน จนไม่ต้องหอบงานกลับบ้าน หรือมานั่งเปิดคอมทำในวันหยุด
แต่หนังสืออธิบายเทคนิคการเพิ่มสมาธิ การใช้สมาธิ และการควบคุมสมาธิในแต่ละช่วงเวลาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ส่วนตัวคิดว่า หนังสือน่าจะชื่อประมาณว่า ‘พลังแห่งสมาธิ’ อะไรแบบนี้มากกว่า
.
แน่นอนว่าหนังสือของ Mentalist DaiGo จะมีการอธิบายเชิงจิตวิทยาที่เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่พอสมควร ต่างจากหนังสือแปลญี่ปุ่นเล่มอื่นๆที่มักเป็นการเล่าประสบการณ์
หลักการที่ว่ามีทั้งในเรื่อง การกิน การนอน การออกกำลังกาย การแบ่งเวลาทำงาน เป็นต้น
.
เนื้อหาที่หนังสือเล่ามีความใหม่อยู่ประมาณนึง แต่หลายๆเรื่องผู้อ่านอาจเคยอ่านเจอมาแล้วจากเล่มอื่น ๆ ถ้าผ่านหนังสือจิตวิทยามาแล้วหลายๆเล่ม
แต่ถ้าเป็นเรื่องความน่าสนใจ ยังไงเล่มนี้ก็ผ่านครับ เทคนิค howto แต่ละข้อคัดมาแต่เรื่องที่เอาไปใช้ได้จริงทั้งนั้น
.
ความรู้สึกหลังอ่าน เหมือนอ่านหนังสือจิตวิทยา ผสมสุขภาพยังไงยังงั้น เพราะแท้จริงแล้ว การจะเพิ่มพลังสมาธิได้ เราก็ต้องปรับกิจวัตรประจำวัน และปรับพฤติกรรมการกินการนอน ให้สมองทำงานได้ดีขึ้นก่อน
เรียกว่าหนังสือเกี่ยวข้องกับเรื่องชีวิตทั่วๆไปที่ไม่ใช่แต่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างเดียว
.
หนังสืออ่านง่ายมากครับ มีรูปประกอบ เนื้อหาสั้นๆได้ใจความ ไม่ยืดเยื้อ ไม่เน้นเรื่องงานวิจัยยาวจนเกินไป อ่านประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพลินๆก็จบแล้วครับ
.
.
ขอเลือกเนื้อหาส่วนที่ชอบมาเล่าฟังนะครับ มีทั้งหมด 5 ส่วน
.
1) ประโยชน์ของพลังสมาธิ
.
การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคลียร์งานได้เยอะ หรืออ่านหนังสือจบหลายเล่มในเวลาไม่นานล้วนมาจากการฝึกใช้พลังสมาธิ
ตัว Mentalist Daigo อ่านหนังสือได้วันละ 20 เล่ม มากกว่าคนอื่นถึง 200 เท่า เพราะการฝึกฝนพลังสมาธินี่เอง
.
ดังนั้นแล้วถ้าเรามีเทคนิคการควบคุมพลังสมาธิแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่เราก็ยังจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ ได้ต่ออยู่ดี
.
โดยหลักสำคัญของการควบคุมพลังสมาธิคือ ‘การโฟกัสกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เร็วที่สุด’ แล้วปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไปตามอัตโนมัติโดยไม่ใช้พลังสมาธิ แล้วเก็บพลังสมาธิที่เหลือไปใช้กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อื่น ๆ
.
ประโยชน์จากการฝึกสมาธิมีมากมายเช่น
· มีพลังสมาธิเพิ่มขึ้น
· ผ่อนคลาย กังวลหรือประหม่าลดลง
· ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
· ไขมันในร่างกายลดลง หุ่นดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น
· ประสิทธิภาพในการนอนหลับสูงขึ้น
.
.
2) กฎ 3 ข้อที่ใช้ควบคุมพลังสมาธิ
กฎข้อที่ 1: คนที่มีสมาธิสูงจะเข้าใจวิธีการฝึกฝนพลังสมาธิ เพราะพลังสมาธิไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
เนื่องจากพลังสมาธิถูกสร้างมาจากจุดสำคัญในสมองเพียงจุดเดียวนั่นก็คือ สมองกลีบหน้า ที่มีพลังในการควบคุมความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ ปริมาณของแหล่งกักเก็บสมาธิจึงมีจำกัด
.
ในภาษาจิตวิทยาที่หนังสือใช้เรียกว่า ‘อำนาจจิต’
โดยอำนาจจิตดังกล่าวมีลักษณะสำคัญอยู่ 2 ประการคือ
1. อำนาจจิตมีปริมาณจำกัด และจะหมดไปตามจำนวนครั้งที่ใช้พลังสมาธิ
2. อำนาจจิตถูกปล่อยออกมาจากเพียงจุดเดียว
.
ดังนั้นแล้วเมื่อเราเข้าใจหลักการของอำนาจจิต เราจึงสามารถเพิ่มพลังสมาธิได้โดย
1. เพิ่มอำนาจจิต ด้วยการฝึกฝน
มีหลายวิธีที่เราสามารถลองใช้ฝึกเพิ่มอำนาจจิตได้ เช่น การปรับบุคลิกภาพ ยืดหลังตรงเมื่อนึกขึ้นได้
.
2. ประหยัดอำนาจจิต โดยการเปลี่ยนกิจวัตรในแต่ละวัน
เช่น การตัดสินใจให้น้อยลง หรือรวมการตัดสินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ทำให้เสร็จในครั้งเดียว
เพราะทุกครั้งที่เราตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น จะกินอะไรดีเช้านี้? จะไปออกกำลังกายดีมั้ย? จะพกร่มไปด้วยเผื่อฝนตกดีมั้ย? เราจะใช้พลังสมาธิเสมอ
คนเรารู้สึกเหนื่อยล้า เพราะ ‘การตัดสินใจ’ ไม่ใช่การกระทำ
.
กฎข้อที่ 2 : คนที่มีพลังสมาธิสูง ไม่ใช่คนที่ใช้สมาธิได้นาน แต่เขาจะใช้พลังสมาธิในช่วงสั้น ๆ แต่ใช้บ่อย ๆ
เนื่องจากเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังสมาธิได้นาน ๆ ตามธรรมชาติ
มันจึงอาจดีกว่าที่เราจะแบ่งการใช้สมาธิออกเป็นรอบ ๆ
เช่น การแบ่งช่วงเวลาทำงานเป็นรอบละ 15 นาที หรือ 30 นาที แล้วพักก่อนเพื่อชาร์จพลังสมาธิใหม่ จึงกลับมาทำงานอีก 15 นาที หรือ 30 นาที แล้วแต่เวลาที่กำหนด
จำไว้ว่า ความสามารถในการทำงาน = พลังสมาธิ x เวลา
.
กฎข้อที่ 3: คนที่มีพลังสมาธิจะควบคุม ‘ความเหนื่อย’ ด้วยสมอง
แท้จริงแล้วการที่เรารู้สึกเหนื่อยและไม่มีสมาธิ คือภาพมายาของสมองนี่เอง
กายเหนื่อย อาจไม่เท่ากับสมองเหนื่อย
ให้นึกถึงตอนนักกีฬาฝึกซ้อม แล้วรู้สึกเหนื่อย ไม่ไหว อยากกลับบ้าน แต่โค้ชยังให้ฝึกซ้อมต่อไปเพราะตัวโค้ชรู้ดีว่า จริง ๆแล้วนักกีฬายังไหวอยู่ ถ้าสมองบอกว่าไหว
วิธีการฝึกเพิ่มประสิทธิภาพของนักกีฬาจึงเป็นการฝึกแบบอัลติจูดเทรนนิ่ง หรือการฝึกในสภาะวออกซิเจนต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สมอง
หรือถ้าเอาให้ง่ายคือการฝืนตัวเองทำต่อ เมื่อรู้สึกร่างกายเหนื่อย แต่สมองยังไหว
.
.
3) เครื่องยนต์ 7 อย่างที่ช่วยควบคุมพลังสมาธิ
.
1. สถานที่
แยกสถานที่ที่ใช้ทำกิจกรรมแต่ละอย่างออกจากกัน เช่นห้องไหนใช้ทำงาน ห้องไหนใช้พักผ่อน พยายามอย่าทำกิจกรรมเหล่านี้ในสถานที่เดียวกกัน
.
ส่วนสีที่ควรใช้เพื่อเพิ่มพลังสมาธิในการเรียนและการทำงาน คือ ‘สีฟ้า’ ดังนั้นควรจัดโต๊ะทำงาน ปากกา และสภาพแวดล้อมให้มีสีฟ้าเป็นองค์ประกอบเยอะๆ
.
นอกจากนี้ควรนำของที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณที่ต้องการโฟกัสกับการทำงานให้มากที่สุด
เทคนิคหนึ่งคือการหยิบของเหล่านั้นใส่ ‘กล่องเอาไว้ก่อน’ แล้วเอากล่องดังกล่าวไปวางไว้ในที่ที่ไกลๆ เราจะได้มีสมาธิลุยงานตรงหน้าได้เต็มที่
.
2. บุคลิกภาพ
นั่งหลังตรง ลุกขึ้นยืนบ่อย ๆ ทุก10-15 นาที เพราะคนที่นั่งติดต่อกันนาน ๆ สมองจะเสียการโฟกัสได้ง่าย
.
3. การรับประทานอาหาร
อาหารที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิเช่น พวกอาหารที่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังธัญพืช และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
และหาเวลาทานอาหารว่าง ช่วงที่สมาธิตกลง ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วง 2 ชั่วโมงหลังทานอาหารกลางวัน
เราจึงควรเพิ่มมื้ออาหารว่างนี้เข้าไป โดยผู้เขียนแนะนำให้กินพวกถั่วชนิดต่างๆ
.
4. อารมณ์
จัดตารางกิจวัตรที่ใช้ประโยชน์จากอารมณ์แต่ละแบบ รวมถึงความโกรธ ความเศร้า ความเอนจอย
.
5. กิจวัตร
ลดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็น ทำเป็นกิจวัตรให้หมด เช่นการเลือกเสื้อผ้า การจัดข้างของในห้องให้เรียบร้อย
.
6. การออกกำลังกาย
หลังออกกำลังกาย 20 นาที ภายใน 3-4 ชั่วโมง เราจะมีพลังปัญญา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และพลังสมาธิเพิ่มมากขึ้น
เราจึงควรหาเวลาออกกำลังกายระหว่างวัน ง่ายสุดคือการเดินไปเดินมา เดินขึ้นบันไดบ้าง
อ่านหนังสือก็ลองอ่านแบบออกเสียงดู
และพยายามเดินไปหาพื้นที่สีเขียวที่สวนหย่อมใกล้ๆบ้านให้ตัวเองสดชื่น
.
7. การฝึกสมาธิ
เรื่องนี้ตรงไปตรงมา คือการฝึกนั่งสมาธิ และการกำหนดลมหายใจเข้าออก
.
.
4) วิธีการบำบัด 3 แบบที่ช่วยรีเซตความเหนื่อยล้า
1. การนอนหลับ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ตัวเองเป็นคนต้องการนอนมากน้อยแค่ไหน
มีคน 3 ประเภท คือ
- ต้องการนอนเยอะ มากกว่า 9 ชั่วโมง (แบบไอสไตน์)
- ต้องการนอนน้อย 3-4 ชั่วโมง (แบบนโปเลียน)
- ต้องการนอนแบบปกติ 6-8 ชั่วโมง
ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประเภทสุดท้าย คือนอน 6-8 ชั่วโมง เมื่อรู้แล้วเราจึงควรจัดเวลาการนอนให้พอกับตัวเอง
นอกจากนี้เราควรนอนให้ถูกตามหลักชีววิทยาในร่างกาย คือนอนช่วง สี่ทุ่ม ถึง ตีสอง เพราะเป็นช่วงที่ growth hormone หลั่ง และนอนในที่ที่มืด ตื่นเมื่อเจอแสงอาทิตย์
และหาเวลางีบช่วงกลางวัน ประมาณ 20 นาทีเพื่อหยุดพักและเพิ่มพลังสมาธิให้ตัวเอง
.
2. การบำบัดจากประสาทสัมผัส
มีเทคนิคมากมายที่ช่วยบำบัดประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ รวมถึง ตาและจมูก
เช่น การหลับตาเมื่อเพ่งกับอะไรนานๆ การเอามือสองข้างอังตา การประคบด้วยผ้าอุ่นๆ หรือการใช้กลิ่นหอมๆโรสแมรี่มาช่วยบำบัดประสาทการรับกลิ่น
.
3. การเขียนความกลุ้มใจออกมา
ลดการใช้งานความจำชั่วคราว (working memory) โดยการเขียนทุกอย่างออกมา
เมื่อเราเขียนความกังวลลงในกระดาษ ก็เหมือนเราดึงความกังวลเหล่านั้นออกจากตัวด้วย
.
.
6) เทคนิคการใช้เวลา 5 ข้อ ที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิ
.
1. เทคนิคโพโมโดโร
ทำงาน 25 นาที สลักับพัก 5 นาที
.
2. อัลตราเดียนริทึ่ม (Ultradian Rhythm)
การหลอกสมองด้วยการงีบหลับ 20 นาที (power nap)
เพราะปกติเวลาเราหลับลึก เราใช้เวลา 90 นาที และหลับตื้นอีก 20 นาทีก่อนตื่น สมองจึงรู้สึกเหมือนเราได้หลับพักผ่อนมาแล้ว
เป็นการรีเฟรชตัวเองให้มีสมาธิ
.
3. วิธีการของไอวี่ ลี (Ivy Lee Method)
ทำ To do list 6 อย่าง ของสิ่งที่สำคัญในวันนั้นตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรกที่ตื่นนอน และเริ่มลงมือทำโดยเรียงตามลำดับความสำคัญ ถ้าทำไม่เสร็จ ก็ยกยอดไปวันรุ่งขึ้นต่อไป
.
4. สร้างที่ว่างลงในกำหนดการ
เพื่อลดความกังวล และทำให้โฟกัสกับสิ่งที่ทำได้เต็มที่
.
.
.
.......................................................................................................
ผู้เขียน: Mentalist DaiGo
ผู้แปล: กมลวรรณ เพ็ญอร่าม
จำนวนหน้า: 236 หน้า
สำนักพิมพ์: Shortcut
เดือนปีที่พิมพ์: 9/2019
.......................................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #ความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน
Comments