top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว ความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน

Updated: Oct 11, 2021






รีวิว ความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน

.

‘ใช้พลังของสมาธิอย่างถูกต้อง เพื่อกำจัดงานให้ได้ปริมาณมาก ในเวลาเท่าเดิม’

.

หนังสืออีกเล่มของ Mentalist DaiGo นักจิตวิทยาชาวญี่ปุ่น เจ้าของหนังสือ Bestsellers หลายเล่ม ทั้งในญี่ปุ่นและที่แปลมาเป็นภาษาไทย

ถ้าใครติดตาม Mentalist DaiGo มาตลอด จะเห็นว่าหนังสือแต่ละเล่มของเขามักจะมีคอนเซ็ปต์หลักที่ชัดเจน และมีการแบ้งเคล็ดลับการพัฒนาตัวเอง เป็น howto ข้อ ๆ อ่านเข้าใจง่าย

.

หนังสือความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน ก็เป็นอีกเล่มที่เป็นจิตวิทยา-howto ในการพัฒนาตัวเองทั้งในด้านการทำงาน และการใช้ชีวิต โดยเล่มนี้เน้นคอนเซ็ปต์เรื่องการใช้ ‘พลังแห่งสมาธิ’

ซึ่งตามตรงผมก็คิดว่าไม่ค่อยตรงกับชื่อหนังสือสักเท่าไหร่ คงต้องถามคนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออกอีกทีว่า ชื่อต้นฉบับเขียนว่ายังไง

.

เพราะเล่มนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องการทำงานให้เสร็จเร็ว ให้เสร็จทันตามชั่วโมงการทำงาน จนไม่ต้องหอบงานกลับบ้าน หรือมานั่งเปิดคอมทำในวันหยุด

แต่หนังสืออธิบายเทคนิคการเพิ่มสมาธิ การใช้สมาธิ และการควบคุมสมาธิในแต่ละช่วงเวลาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ส่วนตัวคิดว่า หนังสือน่าจะชื่อประมาณว่า ‘พลังแห่งสมาธิ’ อะไรแบบนี้มากกว่า

.

แน่นอนว่าหนังสือของ Mentalist DaiGo จะมีการอธิบายเชิงจิตวิทยาที่เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่พอสมควร ต่างจากหนังสือแปลญี่ปุ่นเล่มอื่นๆที่มักเป็นการเล่าประสบการณ์

หลักการที่ว่ามีทั้งในเรื่อง การกิน การนอน การออกกำลังกาย การแบ่งเวลาทำงาน เป็นต้น

.

เนื้อหาที่หนังสือเล่ามีความใหม่อยู่ประมาณนึง แต่หลายๆเรื่องผู้อ่านอาจเคยอ่านเจอมาแล้วจากเล่มอื่น ๆ ถ้าผ่านหนังสือจิตวิทยามาแล้วหลายๆเล่ม

แต่ถ้าเป็นเรื่องความน่าสนใจ ยังไงเล่มนี้ก็ผ่านครับ เทคนิค howto แต่ละข้อคัดมาแต่เรื่องที่เอาไปใช้ได้จริงทั้งนั้น

.

ความรู้สึกหลังอ่าน เหมือนอ่านหนังสือจิตวิทยา ผสมสุขภาพยังไงยังงั้น เพราะแท้จริงแล้ว การจะเพิ่มพลังสมาธิได้ เราก็ต้องปรับกิจวัตรประจำวัน และปรับพฤติกรรมการกินการนอน ให้สมองทำงานได้ดีขึ้นก่อน

เรียกว่าหนังสือเกี่ยวข้องกับเรื่องชีวิตทั่วๆไปที่ไม่ใช่แต่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างเดียว

.

หนังสืออ่านง่ายมากครับ มีรูปประกอบ เนื้อหาสั้นๆได้ใจความ ไม่ยืดเยื้อ ไม่เน้นเรื่องงานวิจัยยาวจนเกินไป อ่านประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพลินๆก็จบแล้วครับ

.

.

ขอเลือกเนื้อหาส่วนที่ชอบมาเล่าฟังนะครับ มีทั้งหมด 5 ส่วน

.

1) ประโยชน์ของพลังสมาธิ

.

การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคลียร์งานได้เยอะ หรืออ่านหนังสือจบหลายเล่มในเวลาไม่นานล้วนมาจากการฝึกใช้พลังสมาธิ

ตัว Mentalist Daigo อ่านหนังสือได้วันละ 20 เล่ม มากกว่าคนอื่นถึง 200 เท่า เพราะการฝึกฝนพลังสมาธินี่เอง

.

ดังนั้นแล้วถ้าเรามีเทคนิคการควบคุมพลังสมาธิแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่เราก็ยังจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ ได้ต่ออยู่ดี

.

โดยหลักสำคัญของการควบคุมพลังสมาธิคือ ‘การโฟกัสกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เร็วที่สุด’ แล้วปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไปตามอัตโนมัติโดยไม่ใช้พลังสมาธิ แล้วเก็บพลังสมาธิที่เหลือไปใช้กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อื่น ๆ

.

ประโยชน์จากการฝึกสมาธิมีมากมายเช่น

· มีพลังสมาธิเพิ่มขึ้น

· ผ่อนคลาย กังวลหรือประหม่าลดลง

· ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

· ไขมันในร่างกายลดลง หุ่นดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น

· ประสิทธิภาพในการนอนหลับสูงขึ้น

.

.

2) กฎ 3 ข้อที่ใช้ควบคุมพลังสมาธิ

กฎข้อที่ 1: คนที่มีสมาธิสูงจะเข้าใจวิธีการฝึกฝนพลังสมาธิ เพราะพลังสมาธิไม่ได้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด

เนื่องจากพลังสมาธิถูกสร้างมาจากจุดสำคัญในสมองเพียงจุดเดียวนั่นก็คือ สมองกลีบหน้า ที่มีพลังในการควบคุมความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ ปริมาณของแหล่งกักเก็บสมาธิจึงมีจำกัด

.

ในภาษาจิตวิทยาที่หนังสือใช้เรียกว่า ‘อำนาจจิต’

โดยอำนาจจิตดังกล่าวมีลักษณะสำคัญอยู่ 2 ประการคือ

1. อำนาจจิตมีปริมาณจำกัด และจะหมดไปตามจำนวนครั้งที่ใช้พลังสมาธิ

2. อำนาจจิตถูกปล่อยออกมาจากเพียงจุดเดียว

.

ดังนั้นแล้วเมื่อเราเข้าใจหลักการของอำนาจจิต เราจึงสามารถเพิ่มพลังสมาธิได้โดย

1. เพิ่มอำนาจจิต ด้วยการฝึกฝน

มีหลายวิธีที่เราสามารถลองใช้ฝึกเพิ่มอำนาจจิตได้ เช่น การปรับบุคลิกภาพ ยืดหลังตรงเมื่อนึกขึ้นได้

.

2. ประหยัดอำนาจจิต โดยการเปลี่ยนกิจวัตรในแต่ละวัน

เช่น การตัดสินใจให้น้อยลง หรือรวมการตัดสินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ทำให้เสร็จในครั้งเดียว

เพราะทุกครั้งที่เราตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น จะกินอะไรดีเช้านี้? จะไปออกกำลังกายดีมั้ย? จะพกร่มไปด้วยเผื่อฝนตกดีมั้ย? เราจะใช้พลังสมาธิเสมอ

คนเรารู้สึกเหนื่อยล้า เพราะ ‘การตัดสินใจ’ ไม่ใช่การกระทำ

.

กฎข้อที่ 2 : คนที่มีพลังสมาธิสูง ไม่ใช่คนที่ใช้สมาธิได้นาน แต่เขาจะใช้พลังสมาธิในช่วงสั้น ๆ แต่ใช้บ่อย ๆ

เนื่องจากเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังสมาธิได้นาน ๆ ตามธรรมชาติ

มันจึงอาจดีกว่าที่เราจะแบ่งการใช้สมาธิออกเป็นรอบ ๆ

เช่น การแบ่งช่วงเวลาทำงานเป็นรอบละ 15 นาที หรือ 30 นาที แล้วพักก่อนเพื่อชาร์จพลังสมาธิใหม่ จึงกลับมาทำงานอีก 15 นาที หรือ 30 นาที แล้วแต่เวลาที่กำหนด

จำไว้ว่า ความสามารถในการทำงาน = พลังสมาธิ x เวลา

.

กฎข้อที่ 3: คนที่มีพลังสมาธิจะควบคุม ‘ความเหนื่อย’ ด้วยสมอง

แท้จริงแล้วการที่เรารู้สึกเหนื่อยและไม่มีสมาธิ คือภาพมายาของสมองนี่เอง

กายเหนื่อย อาจไม่เท่ากับสมองเหนื่อย

ให้นึกถึงตอนนักกีฬาฝึกซ้อม แล้วรู้สึกเหนื่อย ไม่ไหว อยากกลับบ้าน แต่โค้ชยังให้ฝึกซ้อมต่อไปเพราะตัวโค้ชรู้ดีว่า จริง ๆแล้วนักกีฬายังไหวอยู่ ถ้าสมองบอกว่าไหว

วิธีการฝึกเพิ่มประสิทธิภาพของนักกีฬาจึงเป็นการฝึกแบบอัลติจูดเทรนนิ่ง หรือการฝึกในสภาะวออกซิเจนต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สมอง

หรือถ้าเอาให้ง่ายคือการฝืนตัวเองทำต่อ เมื่อรู้สึกร่างกายเหนื่อย แต่สมองยังไหว

.

.

3) เครื่องยนต์ 7 อย่างที่ช่วยควบคุมพลังสมาธิ

.

1. สถานที่

แยกสถานที่ที่ใช้ทำกิจกรรมแต่ละอย่างออกจากกัน เช่นห้องไหนใช้ทำงาน ห้องไหนใช้พักผ่อน พยายามอย่าทำกิจกรรมเหล่านี้ในสถานที่เดียวกกัน

.

ส่วนสีที่ควรใช้เพื่อเพิ่มพลังสมาธิในการเรียนและการทำงาน คือ ‘สีฟ้า’ ดังนั้นควรจัดโต๊ะทำงาน ปากกา และสภาพแวดล้อมให้มีสีฟ้าเป็นองค์ประกอบเยอะๆ

.

นอกจากนี้ควรนำของที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณที่ต้องการโฟกัสกับการทำงานให้มากที่สุด

เทคนิคหนึ่งคือการหยิบของเหล่านั้นใส่ ‘กล่องเอาไว้ก่อน’ แล้วเอากล่องดังกล่าวไปวางไว้ในที่ที่ไกลๆ เราจะได้มีสมาธิลุยงานตรงหน้าได้เต็มที่

.

2. บุคลิกภาพ

นั่งหลังตรง ลุกขึ้นยืนบ่อย ๆ ทุก10-15 นาที เพราะคนที่นั่งติดต่อกันนาน ๆ สมองจะเสียการโฟกัสได้ง่าย

.

3. การรับประทานอาหาร

อาหารที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิเช่น พวกอาหารที่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังธัญพืช และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง

และหาเวลาทานอาหารว่าง ช่วงที่สมาธิตกลง ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วง 2 ชั่วโมงหลังทานอาหารกลางวัน

เราจึงควรเพิ่มมื้ออาหารว่างนี้เข้าไป โดยผู้เขียนแนะนำให้กินพวกถั่วชนิดต่างๆ

.

4. อารมณ์

จัดตารางกิจวัตรที่ใช้ประโยชน์จากอารมณ์แต่ละแบบ รวมถึงความโกรธ ความเศร้า ความเอนจอย

.

5. กิจวัตร

ลดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็น ทำเป็นกิจวัตรให้หมด เช่นการเลือกเสื้อผ้า การจัดข้างของในห้องให้เรียบร้อย

.

6. การออกกำลังกาย

หลังออกกำลังกาย 20 นาที ภายใน 3-4 ชั่วโมง เราจะมีพลังปัญญา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และพลังสมาธิเพิ่มมากขึ้น

เราจึงควรหาเวลาออกกำลังกายระหว่างวัน ง่ายสุดคือการเดินไปเดินมา เดินขึ้นบันไดบ้าง

อ่านหนังสือก็ลองอ่านแบบออกเสียงดู

และพยายามเดินไปหาพื้นที่สีเขียวที่สวนหย่อมใกล้ๆบ้านให้ตัวเองสดชื่น

.

7. การฝึกสมาธิ

เรื่องนี้ตรงไปตรงมา คือการฝึกนั่งสมาธิ และการกำหนดลมหายใจเข้าออก

.

.

4) วิธีการบำบัด 3 แบบที่ช่วยรีเซตความเหนื่อยล้า

1. การนอนหลับ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ตัวเองเป็นคนต้องการนอนมากน้อยแค่ไหน

มีคน 3 ประเภท คือ

- ต้องการนอนเยอะ มากกว่า 9 ชั่วโมง (แบบไอสไตน์)

- ต้องการนอนน้อย 3-4 ชั่วโมง (แบบนโปเลียน)

- ต้องการนอนแบบปกติ 6-8 ชั่วโมง

ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประเภทสุดท้าย คือนอน 6-8 ชั่วโมง เมื่อรู้แล้วเราจึงควรจัดเวลาการนอนให้พอกับตัวเอง

นอกจากนี้เราควรนอนให้ถูกตามหลักชีววิทยาในร่างกาย คือนอนช่วง สี่ทุ่ม ถึง ตีสอง เพราะเป็นช่วงที่ growth hormone หลั่ง และนอนในที่ที่มืด ตื่นเมื่อเจอแสงอาทิตย์

และหาเวลางีบช่วงกลางวัน ประมาณ 20 นาทีเพื่อหยุดพักและเพิ่มพลังสมาธิให้ตัวเอง

.

2. การบำบัดจากประสาทสัมผัส

มีเทคนิคมากมายที่ช่วยบำบัดประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ รวมถึง ตาและจมูก

เช่น การหลับตาเมื่อเพ่งกับอะไรนานๆ การเอามือสองข้างอังตา การประคบด้วยผ้าอุ่นๆ หรือการใช้กลิ่นหอมๆโรสแมรี่มาช่วยบำบัดประสาทการรับกลิ่น

.

3. การเขียนความกลุ้มใจออกมา

ลดการใช้งานความจำชั่วคราว (working memory) โดยการเขียนทุกอย่างออกมา

เมื่อเราเขียนความกังวลลงในกระดาษ ก็เหมือนเราดึงความกังวลเหล่านั้นออกจากตัวด้วย

.

.

6) เทคนิคการใช้เวลา 5 ข้อ ที่ช่วยเพิ่มพลังสมาธิ

.

1. เทคนิคโพโมโดโร

ทำงาน 25 นาที สลักับพัก 5 นาที

.

2. อัลตราเดียนริทึ่ม (Ultradian Rhythm)

การหลอกสมองด้วยการงีบหลับ 20 นาที (power nap)

เพราะปกติเวลาเราหลับลึก เราใช้เวลา 90 นาที และหลับตื้นอีก 20 นาทีก่อนตื่น สมองจึงรู้สึกเหมือนเราได้หลับพักผ่อนมาแล้ว

เป็นการรีเฟรชตัวเองให้มีสมาธิ

.

3. วิธีการของไอวี่ ลี (Ivy Lee Method)

ทำ To do list 6 อย่าง ของสิ่งที่สำคัญในวันนั้นตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรกที่ตื่นนอน และเริ่มลงมือทำโดยเรียงตามลำดับความสำคัญ ถ้าทำไม่เสร็จ ก็ยกยอดไปวันรุ่งขึ้นต่อไป

.

4. สร้างที่ว่างลงในกำหนดการ

เพื่อลดความกังวล และทำให้โฟกัสกับสิ่งที่ทำได้เต็มที่

.

.

.

.......................................................................................................

ผู้เขียน: Mentalist DaiGo

ผู้แปล: กมลวรรณ เพ็ญอร่าม

จำนวนหน้า: 236 หน้า

สำนักพิมพ์: Shortcut

เดือนปีที่พิมพ์: 9/2019

.......................................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #ความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับไปทำที่บ้าน




310 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page