10 เคล็ดลับวิชาดูดเงินเข้ากระเป๋า ด้วยการทำการตลาดออนไลน์
จากหนังสือ ขายดี 24 ชั่วโมง ไม่ต้องยิงแอด
.
.
1. ในโลกยุคปัจจุบัน พื้นที่ที่มีลูกค้ามากที่สุดคือ “ออนไลน์”
เพราะลูกค้ามักจะเข้ามาค้นข้อมูลในโลกออนไลน์ ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
ถ้าเราเอาตัวเองไปอยู่ในโลกออนไลน์ที่ลูกค้าเข้ามาเห็นได้
แม้ร้านจริงจะอยู่ในซอยลึก เป็นมุมอับ ไม่โดดเด่นแค่ไหน ลูกค้าก็ยังหาเราเจอ
.
.
2. อย่าให้หน้าเพจร้านของเรามีแต่โพสต์ขายของ
เหมือนร้านในห้างที่มีแต่เคาน์เตอร์แคชเชียร์
คือ เราเอาแต่โพสต์ขายของและยิงโฆษณา แต่ไม่มีคอนเทนต์แบบอื่น
.
สัดส่วนที่เหมาะสมคือ 80% ของโพสต์ควรเป็นคอนเทนต์ที่ให้คุณค่าแก้ลูกค้าที่เดินเข้ามาเห็น
อีก 15% เป็น Testimonial หรือโพสต์รีวิวจากลูกค้า เอาไว้สร้างความน่าเชื่อถือ
5% ค่อยเป็นโพสต์ขาย
.
นึกเปรียบเทียบ Facebook เหมือนเป็นห้างสรรพสินค้าของมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก
แล้วเราเปิด Facebook ขึ้นมาเพื่อเดินเล่นพักผ่อน หาคอนเทนต์ดี ๆ เสพ
สุดท้ายถ้าเราถูกใจเราก็คงได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้าน เหมือนตอนเดินห้าง
แต่ถ้าร้านไหนมีแต่พนักงานพุ่งตรงมาขายของ เราก็คงไม่อยากไปเดินแถวร้านนั้นอีก
.
.
3. การจะขายของได้ ก็เหมือนการจีบสาว
ที่ผู้หญิงจะต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักผู้ชายที่เข้ามาจีบตัวเองก่อน
ไม่ต่างอะไรจากลูกค้าที่ต้องค่อย ๆ ทำความรู้จักร้านที่ตัวเองจะซื้อของก่อน
.
ดังนั้นเราต้องค่อย ๆ ทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จัก
ด้วยการโพสต์คอนเทนต์ที่มีคุณค่า 4-7 ครั้ง
จากนั้นจึงเริ่มโพสต์ Testimonial/ รีวิว เพื่อสร้างความมั่นใจ และให้ลูกค้าเริ่มพิจารณา
แล้วจึงค่อยโพสต์ขาย เพื่อกระตุ้นการซื้อ
.
.
4. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของตัวเอง
คำตอบสำหรับคำถามที่ว่าเราควรสร้างแบรนด์เองหรือ ไปเอาสินค้าแบรนด์อื่นมาขายดี
อาจขึ้นอยู่กับ “ความน่าเชื่อถือ” ของตัวเราเอง
.
เพราะความน่าเชื่อถือของร้านเรา ขึ้นกับความน่าเชื่อถือของตัวเรา + ความน่าเชื่อถือของสินค้า
ถ้าตัวเรามีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว เช่น เป็นดาราที่ผิวสวย แล้วมาขายครีม ความน่าเชื่อถือของครีมที่ดาราคนนี้ขายก็มีมาก
หรือเพจสมองไหลที่ทำคอนเทนต์พัฒนาตัวเองมากมาย จนสุดท้ายเขียนหนังสือขาย ความน่าเชื่อถือของหนังสือก็มีมาก
.
แต่ถ้าตัวเราเองไม่ได้มีความน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่นัก
การนำสินค้าแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้วมาขาย ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
.
.
5. เอาชนะสงครามราคา ด้วยการสร้างความแตกต่างของประสบการณ์ที่ลูกค้าต้องไปบอกต่อ
ตามทฤษฎี Product 4 Level
Level 1: สินค้าเหมือนกัน ขายแข่งกันด้วยราคา
Level 2: สินค้าแตกต่างกัน แต่วันหนึ่งคู่แข่งก็อาจลอกเลียนเราได้
Level 3: บริการที่แตกต่างกัน สร้างความประทับใจให้ลูกค้าอย่างน่าจดจำ
Level 4: ประสบการณ์ที่แตกต่าง เป็นการสร้างความประทับใจที่ลูกค้าอยากไปบอกคนอื่นต่อ
.
ตัวอย่างเช่น ร้าน Starbucks ที่ให้คนเข้ามานั่งทำงาน ประชุม ติวหนังสือกันอย่างเต็มที่ โดยอาจซื้อกาแฟแค่เดียวแม้จะนั่งทั้งวัน
เสียงเพลงคลอ กลิ่นหอมกาแฟ และบรรยากาศร้าน สร้างความประทับใจให้ลูกค้า จนอยากบอกต่อให้คนมาใช้บริการเรื่อย ๆ
.
.
6. อย่าขายเนื้อ แต่จงขายเสียงย่างเนื้อ
เหมือนเวลาเดินผ่านร้านไก่ทอด แล้วไม่มีใครสนใจเนื้อไก่ดิบที่แม้จะเป็นเนื้อไก่คุณภาพดีแค่ไหนก็ตาม
เพราะทุกคนสนใจแต่ไก่ทอดที่หอมหวลชวนรับประทาน
.
ดังนั้นเวลาจะขายสินค้า เราต้องไม่คิดแต่เรื่องคุณสมบัติที่สินค้ามี แต่ให้คิดถึงสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ
เราต้องมองในมุมลูกค้า และพูดจูงจากคุณประโยชน์ที่สินค้า/บริการ เราสามารถสร้างให้ลูกค้าได้
.
เช่น ถ้าจะขายหมอน เราไม่ต้องบอกว่าเป็นหมอนใบใหญ่ กรองไรฝุ่นได้ แต่ให้บอกว่านอนแล้วลูกค้าจะหายปวดคอ ไม่หายใจลำบาก
ถ้าขายประกัน เราไม่ต้องบอกว่าลูกค้าได้วงเงินคุ้มครองเท่าไหร่ ต้องจ่ายเบี้ยเท่าไหร่ต่อปี แต่ให้บอกว่าลูกค้าจะซื้อประกันไปทำไม อาจซื้อเพื่อให้ภรรยากับลูก ๆ ได้มีชีวิตที่ดีต่อไปแม้ตัวลูกค้าจะไม่อยู่แล้ว
.
.
7. อย่าเอาแต่พูด แต่ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วย
เพราะลูกค้าอาจตัดสินใจซื้อจากสิ่งที่เขาเห็น ไม่ใช่คำพูดลอย ๆ ของเรา
ดังนั้นถ้าขายอาหาร ก็ต้องทำแล้วกินให้ดูเลย
ถ้าขายหนังสือ ก็เอาตัวอย่างออกมาโชว์
ถ้าขายคอร์สสอนภาษาอังกฤษ ก็ต้องเอานักเรียนพูดอังกฤษได้มาพูดให้เห็น
.
.
8. หลักสำคัญในการทำคอนเทนต์ คือเราต้องรู้จักลูกค้าของเราให้ดีพอ
เหมือนการไปตกปลา ที่ถ้าตกซี้ซั้ว ก็คงไม่ได้ปลา
แต่เราต้องรู้จักปลาที่เราจะตกก่อน
.
เราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าลูกค้าเรา เป็นใคร ชอบเหยื่อแบบไหน และหากินเวลาใด
แล้วทำคอนเทนต์ตามความชอบของลูกค้า ไม่ใช่คอนเทนต์ที่เราชอบ
“จงจับปลาด้วยเหยื่อที่ปลาชอบกิน ไม่ใช่เราชอบกิน”
.
.
9. สร้างเรื่องเล่าเพื่อโน้มน้าวใจคนกว่า 90%
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบเรื่องเล่า มากกว่าการพูดถึงข้อมูลไปเรื่อย ๆ
เราจึงควรสอดแทรกเรื่องเล่าเข้าไปบทความ คลิป หรือโพสต์ต่าง ๆ เพื่อทำให้คนที่ผ่านมาเห็นโฟกัสกับร้านเรา ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่เราจะเล่า และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้สิ่งที่เราขาย
โดยรวมแล้วเรื่องเล่าคือกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้า
.
.
10. สรุปเทรนด์การตลาดสั้น ๆ ในวันที่ Facebook ลดการมองเห็นอย่างหนักหน่วง
ในปีที่ผ่านมา Facebook ได้ปรับอัลกอริทึมใหม่ และลดการมองโพสต์ลงมาก
โพสต์ที่มีคนเห็นจึงต้องดีจนคนอยากแชร์ เพราะการแชร์คือวิธีเดียวท่เปิดการมองเห็นได้
ดังนั้นแล้วเราเองก็ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยคุณนาฟิส อิสลามมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
1) รู้ลึกในสิ่งที่ตัวเองจะขาย ประหนึ่งว่าตัวเองเป็น Influencer ในด้านนั้น
2) ใครที่มีร้านอยู่แต่ใน Facebook ต้องขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นทันที
3) คนที่เข้ามาเริ่มขายของไม่ควรเริ่มจาก Facebook แต่ให้ลองเริ่มจาก IG/ TikTok เพราะ Facebook ลดการมองเห็นลงมาก
แล้วเราต้องการให้ลูกค้าเห็นร้านเรา 4-7 ครั้ง เพราะลูกค้าใช้เวลาในการเชื่อและตัดสินใจซื้อของ จะให้เห็นจาก Facebook เพียงแหล่งเดียวคงยาก
4) ฝึกทำไลฟ์สด เพราะมันจะค่อย ๆ เป็นเรื่องธรรมดาในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
5) สร้าง Personal Brand ด้วย Facebook ส่วนตัว อย่าโพสต์ไปเรื่อยเปื่อย
6) Facebook group จะเข้ามามีบทบาทขึ้นมาก แต่ต้องไม่ใช่กลุ่มที่เอาแต่ขายของ
7) Line OA เป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อกับลูกค้าโดยตรงรายบุคคล
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
ขึ้นชื่อว่าหนังสือจากนาฟิส อิสลาม เจ้าของเพจสมองไหล เนื้อหาต้องจัดเต็มจัดหนัก
แต่ย่อยมาให้อ่านเข้าใจง่ายมาก
โดยเล่มนี้เป็นเล่มที่สองต่อจาก งานประจำสอนทำธุรกิจ
โดยเป็นเหมือนภาคต่อจากเล่มที่แล้ว ที่คุณนาฟิสได้ตกผลึกไอเดียในการทำการตลาดออนไลน์
โดยเฉพาะการทำคอนเทนต์ผ่าน Facebook ที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์การทำเพจสมองไหลให้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
.
หลังอ่านจบ ต้องบอกว่าแทบอยากจะเอาเทคนิคของคุณนาฟิสไปปรับใช้ทันที
เพราะเนื้อหาเตรียมไว้ให้เอาไปใช้จริงได้เลย
ถ้าใครขายของออนไลน์ หรือเป็นคนทำคอนเทนต์ผ่านเฟสบุ๊ค
ยังไงหยิบเล่มนี้มาอ่าน ต้องได้เนื้อหาดี ๆ ติดตัวไปแน่นอนครับ
.
.
.......................................................................................
ผู้เขียน: นาฟิส อิสลาม
จำนวนหน้า: 272 หน้า
สำนักพิมพ์: I AM THE BEST
เดือนปีที่พิมพ์: 2022
.......................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comentários