top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว การตลาดแบบวัวสีม่วง







รีวิว การตลาดแบบวัวสีม่วง

: Purple Cow

.

‘การตลาดยุคนี้ ต้องมองหาความโดดเด่นแบบวัวสีม่วงเท่านั้น’

.

ลองจินตนาการว่าเราขับอยู่ที่นิวซีแลนด์ ท้องฟ้าสีฟ้าใส ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

แล้วอยู่ ๆ เราก็ขับมาเจอกับฝูงวัวฝูงหนึ่งที่กำลังค่อยๆเดินข้ามถนน เราต้องจอดรถรอเพื่อให้วัวข้ามถนนเสร็จก่อนจึงไปต่อได้

วินาทีนั้นไม่ว่าเป็นใครก็คงรู้สึกเบื่อ เพราะวัวที่เห็นก็เป็นวัวธรรมดาๆทั่วไป สีขาว-ดำ สีน้ำตาล ไม่มีอะไรแปลกใหม่

แต่ถ้า มันมี ‘วัวสีม่วง’ อยู่ในนั้นละ!!

ปฏิกิริยาของเราต้องไม่ใช่แบบเดิมแน่ ๆ เราอาจจะตกใจ อยากรู้ว่าเจ้าวัวสีม่วงนี่มายังไง ทำไมอยู่ ๆ ถึงมีสีม่วง

และแน่นอนว่าเราคงลืมวัวตัวอื่น ๆ ที่มีสีธรรมดาไปเสียหมด

.

นี่คือที่มาของการทำการตลาดยุคใหม่ ที่แบรนด์และคนทำการตลาดต้องเน้นไปที่ความโดดเด่นในสินค้า หรือบริการ

หมดยุคของการทำการตลาดแบบ mass แล้ว

ใครที่แค่จะเน้นโฆษณาให้เข้าถึงคนเยอะๆผ่าน TV ก็คงต้องมลายหายไปจากการแข่งขัน

คนที่ชนะ จะหาวัวสีม่วงของตัวเองให้เจอ และนำเสนอมันต่อลูกค้าที่ต้องการมันจริงๆ

.

.

นี่เป็นหนังสือการตลาดที่ออกมาตั้งแต่ปี 2002

เขียนโดยเจ้าพ่อวงการการตลาดอย่าง Seth Godin ที่มีเจ้าของผลงานหนังสือการตลาดอีกหลายเล่ม

เล่มนี้เขียนตั้งแต่ช่วงที่อินเตอร์เน็ตเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ และสมาร์ทโฟนก็ยังอยู่ในยุคก่อตัวเท่านั้น

แต่ Seth Godin มองการณ์ไกล และทุกอย่างที่เขียนในหนังสือ ก็คือโลกยุคปัจจุบันนี้

.

คอนเซ็ปต์ในหนังสือค่อนข้างกระชับและตรงไปตรงมา

กล่าวคือ เรื่องการทำสินค้า/บริการ และวิธีการนำเสนอให้โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร

และต้องขายสินค้าเหล่านี้ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจริงๆ

ส่วนเรื่องการทำโฆษณาวงกว้างก็ตกยุคไปแล้ว ตอนนี้ต้องขายแบบเจาะกลุ่มลูกค้าเท่านั้น

และอย่าลืมพลังของการบอกต่อ ซึ่งกลายเป็นมีส่วนสำคัญกว่าการยัดเยียดโฆษณาไปแล้ว

.

ที่เหลือในหนังสือเป็นตัวอย่างอ่านเพื่อขยายความของคอนเซ็ปต์เหล่านี้

มีทั้งตัวอย่างจกาหลากหลายธุรกิจ โรงแรม ลิฟต์ โทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งสบู่

ทุกธุรกิจที่ผู้เขียนยกมาล้วนมี ‘วัวสีม่วง’ เป็นของตัวเอง

และล้วนประสบความสำเร็จในแบบตัวเองทั้งสิ้น

.

.

ถามว่าอ่านจบแล้วได้อะไร

แน่นอนว่า คอนเซ็ปต์นี้นำไปประยุกต์ใช้ได้โดยตรงสำหรับคนในวงการการตลาด และคนที่มีธุรกิจของตัวเอง

เราต้องหาลูกค้าที่ใช้ให้เจอ นำเสนอความแตกต่างของสินค้าเรา และใช้พลังของอินฟลูเอนเซอร์เพื่อจุดกระแสให้เกิดการบอกต่อ

แต่สำหรับคนทั่วไปก็ยังสามารถเอาหลักการวัวสีม่วงไปใช้ได้ นั่นคือการ ‘สร้างจุดขายที่แตกต่าง’ ให้ตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นการสมัครงาน การหาคู่ การทำช่อง Youtube หรือการสร้างความประทับใจกับครอบครัวด้วยกิจกรรมแปลกใหม่

‘ความโดดเด่น’ และ ‘ความแตกต่าง’ คือพื้นฐานสำคัญในการทำให้คนจดจำ และทำให้ ‘เราขายของได้’

.

หนังสือเล่มไม่หนา เปิดๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงก็จบแล้วครับ

หนังสือยังแบ่งเป็นบทย่อยๆอีกเยอะ ทำให้อ่านตามได้ง่าย

ยังไงลองซื้อมาอ่านกันได้ครับ

.

ส่วนสุดท้ายจะขอสรุป key message หลัก ๆ 5 ข้อแบบสั้น ๆ จากหนังสือ การตลาดแบบวัวสีม่วงมาฝากนะครับ

.

1) การตลาดยุคโฆษณาทาง TV จบสิ้นแล้ว

เมื่อก่อนการทำกำไรอาจทำได้ง่าย จากการซื้อเวลาโฆษณาทาง TV แล้วนำเสนอสินค้าตัวเองกับคนจำนวนมาก

แม้สินค้าตัวเองจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ถ้าได้โฆษณาก็ยังขายได้

เมื่อได้กำไร ก็ซื้อโฆษณาต่ออีก แล้วก็นำเครดิตไปกู้เพื่อเพิ่มงบผลิตสินค้าและงบโฆษณา

.

แต่ตอนนี้หมดยุคนั้นแล้ว คนมีสมาร์ทโฟนเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลาย

และโลกยังเชื่อมกันหมดด้วยอินเตอร์เน็ตทำให้พลังแห่งการบอกต่อปากต่อปากมีผลต่อการตัดสินใจมากขึ้นมาก

แม้จะโฆษณาทางทีวี แต่คนก็อาจไม่ให้ความสนใจอีกต่อไป ถ้าเขาเหล่านั้นมีสินค้าที่ใช้ประจำ และเพื่อนพวกเขาไม่ได้มาแนะนำ

.

.

2) มุ่งหา ‘วัวสีม่วง’ ในการทำการตลาด

มาถึงยุคแห่งอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน การทำการตลาดต้องทำให้คนจดจำได้

การมองหาวัวสีม่วงในแบรนด์ของเราคือการมองหา ‘ความโดดเด่น’ หรือ ‘ความแตกต่าง’ ในการสื่อสารกับลูกค้า

ซึ่งแน่นอนว่าความแตกต่างที่ว่าอาจจะเกิดจาก ตัวผลิตภัณฑ์เอง ตัว packaging ที่ดูโดดเด่นสะดุดตา บริการที่ไม่เหมือนใคร หรือจะเป็นโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ก็ได้

.

การตลาดแบบ 4Ps อาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เราต้องเพิ่ม P ตัวที่ 5 เข้าไปด้วย นั่นก็คือ ‘Purple Cow’ !

.

ตัวอย่างของวัวสีม่วงก็เช่น

- การดีไซน์ลิฟต์ขึ้นตึกสูงที่ทำให้ลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการต้องแวะจอดชั้นอื่นๆน้อยที่สุด โดยการให้ลูกค้ากดเลือกชั้นตั้งแต่มาถึง แล้วลิฟต์จะคำนวณเองว่า ลิฟต์ตัวไหนใช้เวลาน้อยสุดในการให้ลูกค้ารอ + แวะจอดชั้นอื่นๆ

- การทำพลาสเตอร์ลายการ์ตูนให้เด็กสนใจ

- การทำโรงแรมให้มีความโดดเด่นด้วยสไตล์ร๊อกสตาร์

- การทำ packaging สบู่ให้แตกต่างไม่เหมือนใคร

.

ถ้าเราลองมองไปที่แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย

จะเห็นว่าพวกเขาล้วนมีวัวสีม่วงเป็นของตัวเอง และวัวสีม่วงของพวกเขาไม่เหมือนกันสักคน!!

.

.

3) เน้นไปที่ลูกค้ากลุ่ม Early Adopter

ถ้าใครเคยเห็นทฤษฎี Diffusion of Innovations ของ Rogers (1961) จะพอคุ้นๆกับกราฟรูประฆังคว่ำที่แบ่งลูกค้าออกเป็น 5 กลุ่ม ตามพฤติกรรมการลองใช้สินค้า/บริการใหม่

1. Innovator – กลุ่มคนคลั่งนวัตกรรม พวกคิดค้นนวัตกรรมเอง หรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ นึกถึงพวกนักประดิษฐ์ หรือพวกที่อยู่ในวงการไอที

.

2. Early Adopter - กลุ่มคนลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ เมื่อมีการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเป็นกลุ่มแรก ๆ พวกนี้จะทำให้เกิดการบอกต่อ เพราะจะเป็นเหมือน influencer ที่แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตลาด

นึกถึงพวก influencer นักรีวิวสินค้าออกใหม่ทั้งหลาย

.

3. Early Majority – กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ เมื่อผลิตภัณฑ์นั้นมีเสถียรภาพมากพอ เป็นกลุ่มที่ทำให้เกิดการใช้อย่างแพร่หลาย โดยปกติ early majority กับ late majority จะเป็นสัดส่วนมากที่สุดของคนทั้งหมด

นึกถึงคนส่วนใหญ่ที่ซื้อไอโฟนตอนไอโฟนเริ่มดังแล้วแห่กันไปซื้อไว้ครอบครอง

.

4. Late Majority - ช้ากว่ากลุ่ม Early Majority แต่ก็ยังซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้ในช่วงที่ผลิตภัณฑ์นั้นอยู่ในกระแสหลัก

.

5. Laggard – พวกเปลี่ยนแปลงช้า ไม่ยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กว่าจะรับก็คือผลิตภัณฑ์นั้นเกือบจะตกยุค หรือกำลังจะออกจากตลาดแล้ว

นึกถึงคนที่เพิ่งมาซื้อ มือถือ BB ในช่วงที่คนกำลังจะเลิกใช้โทรศัพท์ที่มีแป้นพิมพ์แล้ว

.

หลักในการทำการตลาดแบบวัวสีม่วงคือ เน้นขายกลุ่ม Early Adopter เพราะพวกนี้ทำให้เกิดการบอกต่อ และมีอิทธิพลมากกับกลุ่มคนส่วนใหญ่

การสื่อสารความโดดเด่นของวัวสีม่วงยังทำให้ ผลิตภัณฑ์เป็นที่จดจำและติดตลาดได้ง่ายขึ้น

.

.

4) มองหากลุ่มลูกค้าที่ใช่

หลักการตลาดแบบวัวสีม่วงจะไม่ขายสินค้าทุกอย่างให้ทุกคน แต่จะมองหากลุ่มลูกค้าที่เหมาะกับสินค้า/บริการที่จะนำเสนอจริงๆ

เรื่องนี้เชื่อมโยงกับการหา unmet need ของลูกค้า ถ้าเราหา unmet need เจอ การขายสินค้าก็จะทำได้ง่ายขึ้น

.

ทั้งนี้การขายสินค้า/ บริการให้ถูกจุดจะทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้น และประหยัดงบในการทำการตลาดอีกด้วย

.

.

5) อย่าหยุดอยู่กับที่ ให้มองหา ‘วัวสีม่วง’ ตัวใหม่ไปเรื่อยๆ

กรณีของ Starbucks ร้านกาแฟชื่อดังระดับโลกที่สร้างวัวสีม่วงด้วยกาแฟรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และเมนูชื่อไม่ซ้ำใคร

แต่ก็มีช่วงที่ Starbucks ตกต่ำเพราะหยุดตัวเองอยู่กับที่ และไม่ได้มองหาวัวสีม่วงตัวใหม่ๆ

.

จนกระทั่ง Howard Schultz เข้ามาบริหารแล้วปฏิวัติแบรนด์ใหม่ด้วยการทำร้านกาแฟให้คนเข้ามานั่งในบรรยากาศสบายๆ หอมกลิ่นกาแฟ เปิดดนตรีแจ๊สคลอเบาๆ

หรือการสร้างวัวสีม่วงตัวใหม่ขึ้นมาแทน

.

บทเรียนสำคัญสำหรับเรื่องนี้คือ การสร้างวัวสีม่วงนั้นสำคัญ แต่อย่าเอาแต่เล็งไปที่การได้กำไรจากวัวสีม่วงเพียงอย่างเดียว ให้มองหาวัวสีม่วงตัวอื่นๆที่จะขึ้นมาทดแทนตัวปัจจุบันด้วย

.

เพราะวัวสีม่วงเองก็มีอายุขัยจำกัดเหมือนกัน

.

.

.

.

......................................................................................

ผู้เขียน: Seth Godin

ผู้แปล: พรเลิศ อิฐฐ์

จำนวนหน้า: 208 หน้า

สำนักพิมพ์: Welearn

......................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #การตลาดแบบวัวสีม่วง #PurpleCow





67 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page