รีวิว Zero to One
จาก 0 เป็น 1
.
‘การลอกเลียนแบบนั้นง่ายกว่าการสร้างสิ่งใหม่ เพราะการทำสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วพาโลกเคลื่อนที่จาก 1 ไป n
ในขณะที่การทำสิ่งใหม่ เราเคลื่อนจาก 0 ไป 1 เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น’
.
Zero to one เขียนโดย Peter Thiel ผู้ก่อตั้ง Paypal และผู้ลงทุน angel investor คนแรกใน Facebook ที่เรียกว่าชาวบ้านใน Silicon Valleys ทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี
เป็นหนังสือที่เล่าแนวคิดาการทำสตาร์ทอับได้อย่างตรงไปตรงมา และเจ็บแสบที่สุด
.
หนังสือไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเทคนิคการทำสตาร์ทให้เกิด
แต่เป็นแนวคิดกว้าง ๆ ให้คนที่อาจไม่เคยเข้าใจโลกของสตาร์ทอับ
ได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงคนทำสตาร์ทอับบ้าง
.
เพราะสิ่งที่ Peter Thiel ผู้เขียนต้องการจะสื่อคือ โลกของสตาร์ทอับไม่มีสูตรสำเร็จอย่างชัดเจน
และไม่สามารถลอกเลียนกันได้
คนที่ประสบความสำเร็จคือ คนที่ค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่ในคำถาม
‘มีเรื่องอะไรบ้างที่เป็นจริง แต่ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยกับคุณ’
และสามารถก้าวข้ามจากจุดที่ไม่มีอะไรเลย คือศูนย์ ไปยัง จุดที่ 1 ได้
.
แน่นอนว่าเราไม่มีทางเป็น สตีฟ จ็อบส์ คนต่อไป เพราะไอโฟนถูกคิดค้นขึ้นมาบนโลกแล้ว
และเราก็ไม่มีทางเป็น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คนต่อไป เพราะเฟสบุ๊คก็ถูกสร้างขึ้นแล้ว
แต่เราต้องหาความลับเฉพาะที่ยังไม่มีใครค้นพบให้เจอ
จึงจะสร้างธุรกิจที่เปลี่ยนโลกได้
.
หลังอ่านจบ ส่วนตัวมองว่าแนวคิดของ Peter Thiel ค่อนข้างแหวกแนวและสุดโต่ง
แม้จะเต็มไปด้วยการจิกกัดบริษัทต่าง ๆ ในอดีต
แต่บทเรียนที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากทั้งคนทำสตาร์ทอับ และนักลงทุน นับว่าควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง
.
หลาย ๆ บทในหนังสือมีเนื้อหาที่แปลกใหม่และน่าสนใจ
ตั้งแต่เรื่อง การสร้างการผูกขาด กฎการยกกำลัง ความสำคัญในการขาย และลักษณะเฉพาะของนักธุรกิจผู้สำเร็จ
.
เทียบกับหนังสือธุรกิจเล่มอื่น ๆ
เล่มนี้อาจไม่เหมาะที่จะเป็นเล่มแรก ถ้าคนอ่านไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องธุรกิจเลย
หรือไม่คุ้นเคยกับวงการสตาร์ทอับมาก่อน
.
แต่ถ้าคนที่อยู่ในวงการอยู่แล้ว หรือกำลังศึกษาไอเดียการทำสตาร์ทอับ
เล่มนี้นับว่าควรค่ายิ่ง
.
ความสนุกของหนังสืออยู่ที่ ภาษาที่ตรงไปตรงมาของคนเขียน
และการใช้กราฟประหลาด ๆ ที่เราไม่สามารถพบได้ในตำราบการบริหารธุรกิจทั่วไป
จึงนับว่าเป็นเรื่องใหม่ ๆ ที่ถ่ายทอดมากจากมุมมองของอดีตชาว Silicon Valley ของจริง
.
สุดท้ายผมอยากนำแนวคิดที่น่าสนใจ 6 เรื่องจากหนังสือมาเล่าให้ฟังครับ
1) ความก้าวหน้าในแนวราบ vs ในแนวดิ่ง
ความก้าวหน้าในแนวราบ คือ globalization (โลกาภิวัฒน์)
หรือการแพร่กระจายความก้าวหน้าทางวิทยการไปยังพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของโลก
เป็นการต่อยอดจากสิ่งเดิมที่มีอยู่ทีละนิด
หรือเป็นการลอกเลียนจากสิ่งที่ประสบความสำเร็จแล้ว
เรียกว่าเป็นการเพิ่มจาก 1 ถึง n
.
แต่ความก้าวหน้าในแนวดิ่ง คือ เทคโนโลยีใหม่ ๆ
ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นบนโลก
เป็นการเพิ่มจาก 0 ไป 1
.
สิ่งสำคัญคือ globalization ไม่อาจทำให้โลกอยู่นอดได้ในระยะยาว
เนื่องจากเรายังคงมีทรัพยากรจำกัดอยู่
แต่สิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้คือ นวัตกรรมใหม่ ๆ
การเกิดขึ้นของสตาร์ทอับที่สร้างนวัตกรรมจาก 0 ไป 1 จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
.
.
2) คุณสมบัติของผู้มีอำนาจผูกขาด
สิ่งสำคัญคือ ผู้มีอำนาจผูกขาดอาจไม่ใช่ first mover เสมอไป แต่เป็นคนที่ยืดหยัดได้เป็นคนสุดท้าย
โดยทั่วไป ผู้มีอำนาจผูกขาดมักมีคุณสมบัติ ข้อดังต่อไปนี้
1. มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง มีนวัตกรรมเฉพาะที่เลียนแบบได้ยาก
เช่น search engine ของ Google
.
2. ใช้พลังของเครือข่าย (Network effect) –
เช่น Facebook ที่ให้ผู้ใช้งานดึงดูดคนรอบตัวให้เข้ามาเล่นเรื่อย ๆ
หรือ ebay ที่ใช้พลังของผู้ซื้อ-ผู้ขาย ที่ผลัดกันดึงดูดอีกฝ่ายเข้ามา
.
3. มีความได้เปรียบของขนาด (economies of scale)
เช่น พวกบริษัทซอฟต์แวร์ที่ต้นทุนในการผลิตซอฟต์แวร์เพิ่มนั้นแทบจะเป็นศูนย์
.
4. มีการสร้างแบรนด์ (branding)
เช่น Apple ที่ออกแบบทุกผลิตภัณฑ์อย่างเรียบรู้ การโฆษณาชั้นยอด การวางอยู่ที่ตลาดบน และอิทธิพลที่ยังเหลืออยู่ของสตีฟ จ็อบส์ ทำให้ Apple เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก
.
แนวคิดของ Peter Thiel คือการเริ่มจากการผูกขาดตลาดเล็ก ๆ ก่อน
แล้วจึงค่อย ๆ ขยับขยาย
.
และจงอย่า disrupt ตลาดอื่น แต่พยายามหาจุดเสริมซึ่งกันและกันแทน
.
.
3) จงมองโลกในแง่ดีแบบมีจุดหมาย แล้วโชคจะเข้าข้าง
เมื่อเราแบ่ง ‘มุมมองต่โชค’ ของบริษัทและนักลงทุนต่าง ๆ ทั่วโลกออกเป็น 2 แกน คือ
แกนนอน = มี/ไม่มี เป้าหมาย
แกนตั้ง = การมองโลกในแง่ดี/ แง่ร้าย
.
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา หลายประเทศในหลายช่วงเวลาล้วนวิธีการมองอนาคตที่แตกต่างกันออกไป
ลองมาพิจารณที่ละแบบ
1. มองโลกในแง่ดีแบบไม่มีเป้าหมาย
บริษัทและนักลงทุนประเภทนี้จะพยายามเลียนแบบ และไม่สร้างสิ่งใหม่
.
2. มองโลกในแง่ร้ายแบบไม่มีเป้าหมาย
บริษัทและนักลงทุนประเภทนี้จะคาดหวังต่ำ และสมหวังได้ไม่ยาก
.
3. มองโลกในแง่ร้ายแบบมีจุดหมาย
บริษัทและนักลงทุนประเภทนี้มักจะเจอปัญหา เพราะถ้าเชื่อว่าเราทำอะไรเพื่อเปลี่ยนอนาคตไม่ได้ ก็คงจะไม่มีใครลงมือทำอะรสักอย่าง
.
4. มองโลกในแง่ดีแบบมีจุดหมาย
บริษัทและนักลงทุนประเภทนี้ จะลงมือสร้างอนาคตตามที่วางแผนไว้
สิ่งสำคัญที่บริษัทสตาร์ทอับต้องเข้าใจคือ จงจำไว้ว่าคุณไม่ใช่ล็อตเตอรี่
คุณต้องปฏิเสธความไม่แน่นอนของโชคชะตา
และเชื่อว่าความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ของคุณควบคุมได้
ไม่เพียงแต่คุณจะกุมชะจาชีวิตตัวเองได้ แต่ยังสร้างผลกระทบต่อโลกทั้งใบได้อีกด้วย
.
เพราะฉะนั้นแล้วจงฝึกมองโลกในแง่ดีแบบมีจุดหมายกันเถอะ
.
.
4) ค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่
ความลับคือสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่าง สิ่งที่รู้แล้ว กับเรื่องลี้ลับ
ในขณะที่ฝั่งหนึ่งคือ สิ่งที่รู้แล้ว เป็นสิ่งที่ง่าย
อีกฝั่งหนึ่ง คือเรื่องลี้ลับ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ (เช่น พวกทฤษฎียาก ๆ ทางฟิสิกส์ อย่างทฤษฎีสตริงที่พิสูจน์ไม่ได้)
ความลับอยู่ตรงกลาง ‘เป็นสิ่งที่ยาก แต่สามารถรู้ได้’
.
มีคนหลายคนเชื่อว่า ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้ทำสิ่งที่ยากไปหมดแล้ว
แทบจะเหลือแต่เรื่องลี้ลับที่ยังไงก็ไม่มีวันหาคำตอบได้
มีแม้กระทั่งคนบ้าที่อยากจะทำลายเรื่องยากที่มนุษย์เคยแก้ปัญหาไว้ เพื่อล้างระบบใหม่
.
แต่ในความจริงแล้ว โลกของเรายังมีความลับให้รอค้นพบอีกมาก
ลองคิดถึงการสร้างพลังงานไฟฟ้าขึ้นมาแทนเชื้อเพลิงฟอซซิล
หรือแม้แต่การสร้างโมเดลธุรกิจแบบใหม่ของ Airbnb ในการให้เจ้าของที่พักเปิดรับแขกจากต่างถิ่น
.
ความลับบนโลกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคร่าว ๆ
คือความลับของธรรมชาติ และความลับของผู้คน
โลกเรายังมีความลับรอให้ค้นพบอีกมาก
.
ลองคิดดูเล่น ๆ ในมุมธุนกิจว่า
‘บริษัทแบบไหน ที่มีคุณค่าสูง แต่ยังไม่มีใครสร้างขึ้น?’
บริษัทแบบนั้นแหละครับ ที่จะเป็นผู้ค้นพบความลับ
.
.
5) มองหาผู้สมรู้ร่วมคิด
การรับคนเข้าทำงานเป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะคนที่รับเข้ามาจะกลายเป็นกำลังสำคัญในบริษัท
.
แม้ในช่วงแรก พนังกาน 4-5 คนแรกอาจเข้ามาทำงานกับบริษัทของคุณได้
เพราะหุ้นของบริษัท หรือ ตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญ
แต่ถ้าเป็นคนที่ 20 ละ
เขามีเหตุผลอะไรในการมาร่วมงานกับบริษัทสตาร์ทอับอย่างคุณ
คำถามที่ควรถามคือ
‘ทำไมคนเก่ง ๆ ถึงต้องมาทำงานเป็นวิศวกรคนที่ 20 ในบริษัทคุณ ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถไปทำงานกับ Google ที่มีชื่อเสยีงมากกว่า และให้ค่าตอบแทนสูงกว่ามาก?’
.
ตัวอย่างคำตอบห่วย ๆ เช่น
‘หุ้นที่คุณได้รับจะสูงกว่าหุ้นที่คุณจะได้จากบริษัทอื่นๆ’
‘คุณจะได้ทำงานกับคนฉลาดที่สุดในโลก’
‘คุณจะได้แก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดในโลก’
.
ทำไมคำตอบข้างต้นถึงห่วย
นั่นก็เพราะ ใคร ๆ ก็อ้างคำตอบพวกนั้นได้
เมื่อทุกบริษัทอ้างแบบเดียวกัน บริษัทของคุณก็จะไม่โดดเด่นอะไรขึ้นมา
.
คำถามคือ แล้วคำตอบอะไรถึงจะเหมาะสม
คำตอบที่ดีนั้นไม่ได้ให้ไว้หนังสือ
เพราะต้องเป็นคำตอบเฉพาะของแต่ละบริษัท ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
แต่มักจะเกี่ยวโยงกับ 2 ประเด็น คือ
1. ภารกิจของบริษัท - ทำไมคุณถึงอยากแก้ปัญหาที่คิดว่าสำคัญ แต่คนอื่นเขาไม่ทำกัน
2. ทีมงาน - ทำไมทีมงานของคุณถึงเหมาะกับคนที่คุณอยากจ้างเข้ามา
.
.
6) เทคโนโลยีคือตัวช่วยสำคัญ
สิ่งที่คนที่หวาดกลัวเทคโนโลยีชอบคิดกันคือ คอมพิวเตอร์จะเข้ามาแทนที่มนุษย์
แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ ตามความเห็นของ Peter Thiel
คอมพิวเตอร์จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสำคัญมากกว่าจะเข้ามาเป็นคู่แข่ง หรือศัตรูของมนุษย์
.
ลองเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า
เราได้เปรียบจากการแลกเปลี่ยนกับคอมพิวเตอร์มากกว่าแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ด้วยกันเอง
เพราะคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องการอะไรเลย
คอมพิวเตอร์ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเรา ไม่ต้องการอาหาร ไม่ต้องการที่นอน ต้องการเพียงแค่กระแสไฟฟ้า
เมื่อเราออกแบบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไว้ช่วยแก้ปัญหาได้ ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกอยู่กับเรา
โดยไม่ต้องแก่งแย่งทรัพยากรกันไปมา ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์
.
ลองเทียบอุปสงค์ กับอุปทานของมนุษย์ และคอมพิวเตอร์
ส่วนอุปสงค์
ในขณะที่ มนุษย์แข่งกันด้วย globalization มีการเข้ามาแทนที่ซึ่งกันและกันของตลาดแรงงาน
คอมพิวเตอร์เป็นเพียงตัวช่วย ๆ หนึ่งเท่านั้น
ในฝั่งอุปทาน
มนุษย์ล้วนมีความต้องการในการบริโภคที่เหมือน ๆ กัน
แต่คอมพิวเตอร์ไม่มีความต้องการอะไรเลย
.
เพราะฉะนั้นแล้ว สำหรับโลกในยุคนี้ คอมพิวเตอร์จึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างธุรกิจ
และช่วยมนุษย์แก้ปัญหาที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะแก้ได้
.
.
7) 7 คำถามที่ทุกบริษัทต้องตอบให้ได้
จุดที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีสะอาดส่วนใหญ่ไปไม่รอด เพราะยังไม่สามารถตอบคำถามทั้ง 7 ข้อ ต่อไปนี้ได้ดี
คำถามที่ 1: คำถามเรื่องวิศวกรรม
คุณสามารถสร้างเทคโนโลยีที่สั่นสะเทือนวงการ แทนการปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้ดีขึ้นทีละน้อยได้หรือไม่?
.
คำถามที่ 2: คำถามเรื่องจังหวะเวลา
ตอนนี้เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการทำธุรกิจนี้หรือไม่?
.
คำถามที่ 3: คำถามเรื่องการผูกขาด
คุณเริ่มต้นด้วยการยึดครองตลาดขนาดเล็กหรือไม่?
.
คำถามที่ 4: คำถามเรื่องบุคลากร
คุณมีทีมงานที่เหมาะสมหรือไม่?
.
คำถามที่ 5: คำถามเรื่องการกระจายสินค้า
คุณไม่ได้มีแค่วิธีสร้างผลิตภัณฑ์ แต่มีวิธีในการส่องมอบมันให้ถึงมือลูกค้าด้วย ใช่หรือไม่?
.
คำถามที่ 6: คำถามเรื่องความยั่งยืน
คุณจะสามารถรักษาตลาดของตัวเองในอีก 10-20 ปีข้างหน้าไว้ได้หรือไม่?
.
คำถามที่ 7: คำถามเรื่องความลับ
คุณมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือไม่?
.
ในความเป็นจริงนั้น ตอบให้ได้สัก 5-6 ข้อก็อาจเพียงพอแล้ว
แต่บริษัทที่ตอบได้ทั้ง 7 ข้อ จะกุมโชคชะตาและความสำเร็จเอาไว้ได้
แต่บริษัทที่ตอบไม่ได้เลยสักข้อ จะต้องพบเจอกับโชคร้ายเป็นแน่แท้
.
.
..........................................................................................
ผู้เขียน: Peter Thiel
ผู้แปล: วิญญู กิ่งหรัญวัฒนา
จำนวนหน้า: 232 หน้า
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.
..........................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #ZerotoOne
Comentarios