สรุป 10 ข้อคิด จากหนังสือ THE WHY? OF LIFE ชีวิตต้องสงสัย
.
.
1. “ความโชคดี” เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก
1) เรื่องหน้าตาดี ฐานะทางบ้านดี หรือเป็นคนที่มีลักษณะพิมพ์นิยมของสังคม
2) เรื่องการมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในสิ่งเหล่านั้น แล้วตอบรับกับโอกาสนั้น ๆ
.
ดังนั้นถ้าเราอยากโชคดีมากขึ้น ก็ต้องหัดมองหาโอกาสที่ซ่อนอยู่ให้มากขึ้น เตรียมตัวให้พร้อมกับโอกาสนั้น ๆ
และลองทำบุญทำทานให้มากขึ้น เพราะสังคมชอบคนใจบุญ จะช่วยเพิ่มลักษณะพิมพ์นิยมให้ตัวเรา
.
.
2. อาจเป็นเรื่องยากมากที่จะแยกผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง กับนักสร้างภาพเพราะเรามักมีข้อมูลไม่มากพอ
การที่เรามีข้อมูลไม่มากพอ หรือมี asymmetric information ระหว่างคนซื้อกับคนขาย ทำให้เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่มีทักษะจริง และใครคือนักสร้างภาพ
สุดท้ายแล้วเราเลยชอบตัดสินคนว่ารู้จริง จากการ “พูดเก่ง” และชื่นชอบคนลักษณะนั้นโดยไม่รู้ตัว
.
ส่วนคนที่มีความสามารถจริง ๆ ไม่ชอบการฟันธง และระวังคำพูดตัวเอง
สุดท้ายสังคมที่มี asymmetric information ระหว่างคนซื้อกับคนขายมาก ๆ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการสร้างภาพลักษณ์มีมากขึ้น และแรงจูงใจในการสร้างความสามารถที่แท้จริงน้อยลง
.
.
3. คนไทยชอบคำนำหน้าชื่อเช่น ดร. เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง
และในสังคมแบบนี้คนจะให้ความสำคัญกับ “การอยู่เหนือคนอื่น” มากกว่าในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำ
การแสดงออกถึงระดับการศึกษา หรือฐานะทางสังคมจะช่วยให้คนสนใจฟังเรามากขึ้น
คนไทยจึงมักแสดงคำนำหน้าชื่อให้คนอื่นเห็นไปทั่ว แม้จะไม่มีประโยชน์ในเชิงการทำงานเลยก็ตาม
.
.
4. คนที่พูดโกหกมักเป็นคนที่พูด “กำกวม ไม่ชัดเจน ไม่มีความแน่นอน และแสดงออกถึงความมีเงื่อนไข”
คนพวกนี้จะใช้ความยืดหยุ่นของคำพูดเช่น ฉันจะทำ ก็ต่อเมื่อคุณทำด้วย
เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง เวลาไม่ทำตามที่พูด
.
แต่คนที่พูดจริง ไม่โกหก จะพูดชัดเจน ไม่กำกวม และไม่แสดงออกถึงเงื่อนไขต่าง ๆ
.
.
5. ผู้ใหญ่บางคนที่ชอบมองว่าเด็กสมัยนี้ไม่ได้เรื่อง เป็นเพราะความเข้าใจผิดของตัวเอง
ที่เข้าใจว่า เมื่อตอนตัวเองยังเด็ก เก่งและมีความสามารถเหมือนตัวเองในตอนโตแล้ว
ทั้ง ๆ ที่คนส่วนใหญ่ก็มักจะมาพัฒนาความสามารถตอนโตระดับหนึ่ง ตอนเป็นเด็กก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
.
.
6. คนที่เราเคยชอบสมัยเรียน อาจไม่ใช่คนเดียวกับคนที่เราชอบเมื่อโตขึ้น
เพราะคนเราเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา และใช้ “reference group” หรือคนรอบตัวในการเปรียบเทียบ
พอเราโตขึ้น ทำงาน เรามีฐาน reference group ที่ใหญ่ขึ้น การเปรียบเทียบของเราจึงเปลี่ยนไป
.
อีกปัจจัยหนึ่งคือ คนเรามักมองหาคนที่มีอะไรคล้ายกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน
เวลาไปอยู่ต่างประเทศ เราจึงมักเข้ากับคนไทยคนอื่นง่าย เพราะเราเอาไปเทียบกับเพื่อนต่างชาติที่ไม่มีอะไรเหมือนเราเลย
แต่พอกลับมาไทย ก็มักไม่ค่อยได้เจอเหมือนเดิม เพราะเรามีคนที่เหมือนกับเรามากกว่าอยู่ที่ไทย
.
.
7. ความจริงแล้วคนเราชอบฟังเรื่องที่เคยฟังมาแล้วมากกว่าการฟังเรื่องใหม่
เพราะว่าปกติเวลาเรารับข้อมูลใหม่ ไม่มีทางที่สมองของเราจะจดจำและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับมาได้ทั้งหมด
จึงมีช่องว่าง (gap) อยู่ในชุดข้อมูลเดิม
เมื่อได้ฟังข้อมูลเดิมซ้ำอีกครั้ง จึงเป็นเหมือนการเติมส่วนที่ขาดหายไปลงในข้อมูลที่บรรจุไว้ในสมอง
เราจึงเข้าใจข้อมูลเดิมได้ดีขึ้น และมักชอบฟังเรื่องเดิมซ้ำเพื่อเพิ่มความเข้าใจเหล่านี้
.
จึงไม่แปลกเลยที่บางคนจะชอบหยิบหนังเก่า ๆ มาดูซ้ำ มากกว่าการเลือกดูหนังใหม่
.
.
8. ทำไมคนเราถึงกลัวการลาออก ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ชอบงานที่ทำ
เหตุผลเพราะเรามีความกลัวหลากหลายแบบตั้งแต่
- กลัวความไม่แน่นอนในอนาคต หรือกลัวการตกงาน มากกว่ากลัวการที่ไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่
- กลัวการเปลี่ยนใจกับสิ่งที่เราเลือกไปแล้วในอดีต หรือกลัวว่าจะตัดสินใจผิด
- กลัวเสียดายต้นทุน เวลาและสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทุ่มไปให้งานในปัจจุบัน
- กลัวเสียหน้า ทำให้รอบข้างผิดหวัง และชีวิตของคนที่ต้องพึ่งพาเราแย่ลง
.
วิธีแก้คือ การเปลี่ยนโฟกัสจากด้านลบของการเปลี่ยนแปลง เป็นด้านลบของการที่เราไม่เปลี่ยนแปลง
เช่น ถ้าเราไม่ทำเราอาจเสียใจไปตลอด เพราะคนเรามักเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว
.
และการที่เราต้องลดการแคร์คนอื่นลง
เพราะเรามักคิดไปเองว่ามีคนสนใจเรา (spotlight effect) ทั้งที่จริง ๆ แล้วอาจไม่มีใครสนใจเราเลยก็ได้
.
.
9. 4 คำถามที่เราควรถามตัวเองเมื่อเลือกงาน นอกจากเงินเดือน
1) ต้องเป็นสิ่งที่ชอบ
แต่ก็จงจำไว้ว่าความชอบของคนเราเปลี่ยนได้เสมอ สิ่งที่เราชอบในวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เราชอบในอีก 30-40 ปีข้างหน้าก็เป็นได้
2) ทำแล้วมีความหมาย หรือช่วยเหลือคนอื่นในแง่ใดแง่หนึ่ง
3) ถ้ามีคนมาแนะนำให้ทำอาชีพอะไร ให้ลองตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงแนะนำแบบนั้น เพราะอาจมีเหตุผลลึก ๆ ที่เขาให้คำแนะนำเราแบบนั้นก็เป็นได้
4) ลองไปถามคนที่ทำอาชีพที่เราสนใจอยู่ โดยต้องถามถึงความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในการทำงานแต่ละวัน
อย่าถามเพียงแค่ความพอใจโดยรวม เราจะได้เข้าใจถึงอาชีพนั้นมากขึ้น
.
.
10. ถ้าอยากมีความสุขจริง เราต้องรู้จักบาลานซ์ความสุข 3 แบบ ได้แก่
1) ความสุขระยะสั้น เช่น อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
2) ความสุขระยะยาว เช่น ฐานะทางการเงิน งานที่ทำ ความพึงพอใจโดยรวม
3) ความสุขระยะยาวมาก เช่น ความหมายของชีวิต วัตถุประสงค์ในชีวิตที่เราเกิดมา
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
THE WHY? OF LIFE เป็นหนังสือของอาจารย์ณัฐวุฒิ เผ่าทวี เจ้าพ่อหนังสือพฤติกรรมศาสตร์ที่เคยออกหนังสือมาก่อนแล้วหลายเล่ม
ต้องเรียกว่าอาจารย์นำเอาคำอธิบายเชิงพฤติกรรมศาสตร์มาเล่าถึงพฤติกรรมของคนรอบตัวเราได้อย่างแยบยลและคมคาย
ทำให้อ่านหนังสืออาจารย์แล้วสนุกมาก ไม่เคยผิดหวังเลย
เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่มีเรื่องน่าสนใจและข้อสรุปที่เป็นคำแนะนำของอาจารย์ที่เอาไปใช้ต่อได้จริง
หนังสือเล่มเล็กมาก ใครสนใจลองไปหาอ่านกันดูครับ
.
.
พิกัดการสั่งซื้อ: https://shope.ee/5pYgOGLeZG
.
.
………………………………………………………………………………………………………..
ผู้เขียน: ณัฐวุฒิ เผ่าทวี
จำนวนหน้า: 144 หน้า
สำนักพิมพ์: SALMON BOOKS
เดือนปีที่พิมพ์: 4/2021
………………………………………………………………………………………………………..
.
.
コメント