top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว The Outward Mindset


5 หลักสำคัญในการเป็นคนมีกรอบความคิดแบบมองออก

จากหนังสือ The Outward Mindset

เพราะมองออกนอก คุณถึงเห็นข้างใน

.

1) Mindset และอิทธิพลของมัน

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า Mindset เป็นกรอบความคิดของเราที่ส่งผลต่อพฤติกรรม และการลงมือทำ

เมื่อความคิดส่งผลต่อ >> พฤติกรรม

พฤติกรรมของเราจึงส่งผลต่อ >> การปฏิบัติตัวกับคนอื่น

และ การปฏิบัติตัวของเรากับคนอื่น ก็ส่งผลกลับมาเป็น >> วิธีที่คนอื่นปฏิบัติตัวกับเรา

ดังนั้นแล้วการที่จะเปลี่ยนแปลง ‘วิธีที่คนอื่นปฏิบัติตัวกับเรา’ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงจาก Mindset ของตัวเราก่อน

.

2) เข้าใจความแตกต่างของ Inward Mindset (กรอบความคิดแบบมองเข้า) และ Outward Mindset (กรอบความคิดแบบมองออก)

หนังสือเล่มนี้แบ่ง Mindset 2 แบบ

1. Inward Mindset (กรอบความคิดแบบมองเข้า)

คือ การคิดโดยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ทุก ๆ อย่างที่จะทำต้องคำนึงถึงความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก

ไม่ได้สนใจความต้องการ และสิ่งที่คนอื่นจะได้รับ

หลายครั้งจึงอาจเหมือนการมองคนอื่นเป็นเพียง ‘สิ่งของ’

.

2. Outward Mindset (กรอบความคิดแบบมองออก)

คือ การคิดโดยคำนึงถึงเป้าหมายและผลลัพธ์ของคนอื่นควบคู่ไปกับของตัวเอง

มองความต้องการและปัญหาของคนอื่น มองว่าคนอื่นจะได้รับผลกระทบอะไรจากตัวเราบ้าง

และพยายามหาวิธีที่จะช่วยให้ทั้งตัวเราและคนอื่นบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้

การมองคนอื่นแบบนี้ จึงเป็นการมองคนอื่นเป็น ‘มนุษย์’ เหมือนกับตัวเรา

.

3) แบบแผนของคนมี Outward Mindset (กรอบความคิดแบบมองออก)

หนังสือแนะนำหลักสำคัญ 3 ขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนมี Outward Mindset

โดยใช้ตัวย่อขั้นตอนทั้ง 3 นี้ว่า SAM

1. มองเห็นคนอื่นเป็นคน (S: See others)

เริ่มจากการมองเห็นความต้องการคนอื่นก่อน

ลองพิจารณาว่ามีใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมและการทำงานของเรา

มองหา ‘ความต้องการ จุดมุ่งหมาย และปัญหา’ ของพวกเขา

มีสิ่งไหนบ้างที่เราพอจะช่วยเหลือเขาได้ หรือมีสิ่งไหนที่เรายังทำกับเขาไม่ดี และควรปรับปรุงแก้ไขใหม่

.

2.ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของตัวเรา (A: Adjust efforts)

โดยให้วิธีการทำงานของเราช่วยเหลือคนอื่นได้มากขึ้น

.

3. ประเมินและรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เราสร้างขึ้น (M: Measure impacts)

ประเมินดูว่าการทำงานของเราที่ได้ปรับเปลี่ยน ไปกระทบต่อคนอื่นมากน้อยแค่ไหน

เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราสร้าง และพยายามหาวิธีในการปรับปรุงให้มันดีขึ้นอยู่เสมอ ๆ


4) ก้าวที่สำคัญที่สุด คือการ ‘ไม่เอาแต่รอ’

เป็นไปได้ว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาจมองเห็นปัญหาของความสัมพันธ์ที่กำลังเผชิญอยู่

แต่ถ้าทุกคนเอาแต่รอ และไม่ลงมือทำอะไร

การเปลี่ยนแปลงก็คงจะไม่เกิดขึ้น

.

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราเป็นฝ่ายเริ่มเปลี่ยนแปลงก่อน

เมื่อรู้หลักการแล้ว ก็เริ่มลงมือเลย

เข้าใจปัญหาของคนอื่น

ปรับเปลี่ยนการทำงาน

และร่วมกันประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

.

5) ขยายผลในวงกว้าง

การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กรที่ทุกคนสนใจแต่เรื่องของตัวเองได้

ต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายผลออกไปในวงกล้างมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเรามี Outward Mindset กับคนรอบตัวในทุกด้าน

- หัวหน้าของเรา

- ลูกน้องเรา

- เพื่อนร่วมงาน

- ลูกค้า

- ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ

โดยเมื่อเริ่มขยายผลแล้ว เราอาจจัดตั้งทีมในองค์กร เพื่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างขึ้นต่อไป

.

ขอเล่าตัวอย่างที่น่าสนใจตัวอย่างหนึ่งนะครับ

บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ เคยประสบปัญหาขาดทุนหนัก เมื่อประมาณปี 2006

ก่อนจะได้ผู้บริการมือดีอย่าง อลัน มูลัลลี่ มาปรับแก้สถานการณ์

กล่าวคือ ในตอนนั้นทุกฝ่ายในบริษัทไม่กล้าพูดถึงปัญหาในส่วนของตน

พอเวลามาประชุมกัน ก็เอาแต่โชว์ ‘สีเขียว’ ซึ่งหมายถึงงานส่วนของทีมตนไม่มีปัญหาอะไร

จนกระทั่ง อลัน มูลัลลี่ เริ่มโชว์ ‘สีแดง’ ในงานส่วนของเขาให้คนอื่นเห็น

เขากล้าที่จะพูดว่า งานที่เขาทำนั้นมีปัญหา และขอความร่วมมือจากฝ่ายอื่น ๆ มาช่วยกันแก้ปัญหา

การประชุมครั้งต่อ ๆ มา ทีมอื่น ๆ จึงเริ่มเอาปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมขึ้นมาโชว์บ้าง และเริ่มโชวฺ์ ‘สีแดง’ มากขึ้น

จนในที่สุดปัญหาต่าง ๆ ก็ถูกเปิดเผยออกมา ทำให้บริษัทสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ ก่อนจะส่งมอบสินค้าออกไปให้ลูกค้า

เหตุการณ์นี้ช่วยให้สถานการณ์ของฟอร์ดดีขึ้นในที่สุด และยังทำให้ผู้บริหารทุกทีม มี outward mindset

เข้าใจกันและกันมากขึ้น และทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นอีกด้วย

.

.

รีวิวสั้น ๆ

The Outward Mindset เหมือนเป็นหนังสือภาคต่อของ ‘วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก (Leadership and Self Deception)’

และเน้นย้ำแนวคิดเรื่อง ‘empathy’ หรือ การทำความเข้าอกเข้าใจคนอื่น

จากคนเขียนคนเดิมคือ The Arbinger Institute

.

เล่มนี้แตกต่างจาก วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก ตรงที่เล่มนี้เป็นการยกตัวอย่างจากเรื่องจริง

บริษัทลูกค้าหลายบริษัท ที่ประสบปัญหาเรื่องคนจริง ๆ และทาง The Arbinger Institute ได้เข้าไปช่วยแก้ไข

เป็นการเล่าแบบเรียงความ ปัญหา วิธีแก้ไข และผลลัพธ์

.

ในขณะที่เล่ม วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก เป็นเรื่องแต่ง เรื่องเดียวที่ดำเนินไปตั้งแต่ต้นจนจบ ใช้ลักษณะการเล่าแบบนิยายผ่านมุมมองของตัวละครหลัก

.

โดยรวมแล้ว ยอมรับว่าอ่านเล่มก่อนที่เป็นเรื่องแต่งแล้วสนุกกว่า

และมีเนื้อหาที่ชัดเจน จับประเด็นได้มากกว่า

เล่ม The Outward Mindset เนื้อหาเพิ่มเติมจากเดิมนิดหน่อย

พวก framework หรือรูปที่ใช้อธิบายต่าง ๆ ในเล่ม มีความคล้ายเล่มก่อน

ส่วนที่เพิ่มมาใหม่มีไม่เยอะมาก

และเนื้อหาที่เป็นเรื่องจริง ก็ดูจะน่าสนใจน้อยกว่า เพราะเป็นลักษณะการเขียนแบบเรียงความ

.

อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก แล้วมาอ่านเล่มนี้เลย

ก็ไม่ได้ติดขัดอะไร ยังสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ครบถ้วน

และน่าจะได้เข้าใจหลักการเปิดใจกับคนอื่นมากขึ้น

หนังสือค่อนข้างยาวนิด ๆ เมื่อเทียบกับใจความสำคัญ

แต่ส่วนตัวก็ยังชอบคนเขียนคนนี้อยู่ครับ ทั้งสำนวนการใช้ภาษา และคีย์เมสเสจที่เขาอยากจะสื่อ

.

.

...............................................................................................

ผู้เขียน: The Arbinger Institute

ผู้แปล: กานต์สิริ โรจนสุวรรณ

จำนวนหน้า: 224 หน้า

สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.

แนวหนังสือ: พัฒนาตัวเอง, บริหารธุรกิจ

...............................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

https://bit.ly/35eGlIk

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #OutwardMindset




472 views0 comments

Comentarios


Post: Blog2_Post
bottom of page