รีวิว The Lost Skills: ทักษะที่หายไปในศตวรรษที่ 21
.
‘ทักษะที่หายไปในศตวรรษนี้คือ ทักษะในการเรียนรู้’
.
หนังสือเล่มล่าสุดจากปลายปากกาของอาจารย์นภดล ร่มโพธิ์ เจ้าของเพจ และ Podcast Nopadol’s Story
ซึ่งเคยตีพิมพ์ผลงานมาแล้วกว่า 10 เล่ม ที่พีค ๆ หน่อยก็จะมี Future Mindset และ Personal OKRs
.
เล่ม The Lost Skills ก็เป็นอีกเล่มที่รวมบทความที่อาจารย์นภดลเคยเขียนไว้ในเพจของตัวเอง
เล่มนี้มีทั้งหมด 33 บทความ ซึ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องกับธีม ทักษะที่หายไปในศตวรรษนี้ทั้งสิ้น
.
ความรู้สึกหลังอ่าน ยังคงชอบผลงานของอ. นภดล เหมือนเดิม
โดยเฉพาะบทหลัง ๆ ที่เกี่ยวกับ Disruption ในวงการการศึกษา และการปรับตัวของมหาวิทยาลัย
ที่อาจารย์ได้ใส่ความเห็นตัวเองเข้ามาได้อย่างน่าสนใจ
เพราะคนที่ไม่ได้ทำงานในวงการนี้ก็คงจะอยากรู้กันพอสมควรว่า คนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเขาคิดยังไงกับการศึกษาในศตวรรษใหม่
.
ส่วนตัวชอบเล่มนี้มากกว่า เล่ม Future Mindset เพราะเนื้อหามีความแปลกใหม่ และมีไอเดียดี ๆ หลายไอเดียที่เพิ่งเคยอ่านเป็นครั้งแรก
โดยภาษายังคงอ่านง่ายสไตล์อาจารย์นภดลเหมือนเดิม มีการเรียบเรียงที่เข้าใจง่าย
หนึ่งบทสั้น ๆ 3-6 หน้า แต่ใจความสำคัญจัดมาเต็ม ๆ
หนังสือไม่ยาวเกือบ ๆ 200 หน้า อ่านเพลิน ๆ รอบเดียวจบเลยครับ
ยังไงแนะนำให้ลองหาอ่านกันดูครับ
.
ต่อไปเป็นส่วนสรุป
10 บทเรียนสำคัญจากหนังสือ The Lost Skills
1) ทักษะที่หายไปในศตวรรษที่ 21
หลายคนอาจจะคิดว่าทักษะจำเป็นจริง ๆ ในศตวรรษนี้คงหนีไม่พ้นทักษะการเขียนโปรแกรม ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล Big Data หรือทักษะการขุดบิทคอยน์
แต่ความจริงแล้ว ในสมัยนี้ความรู้มีวงจรชีวิตที่สั้นมาก
สิ่งที่เรารู้วันนี้ อีก 3 เดือนก็อาจล้าสมัยแล้ว
.
ทักษะที่ดูจะจำเป็นมากกว่า จึงน่าจะเป็น ‘ทักษะในการเรียนรู้’ มากกว่า
เพราะหลายคนอาจลืมไปแล้วว่าเราจะฝึกทักษะในการเรียนรู้เพื่อให้เกิดทักษะใหม่ยังไง
เหมือนตอนที่อาจารย์นภดลเรียนปริญญาเอก ทักษะจริง ๆ ที่อาจารย์ได้ติดตัวมาก็คือ ‘Learn how to learn’
ไม่ใช่สิ่งที่ทำวิทยานิพนธ์
.
2) ฝึกทักษะในการเรียนรู้ด้วย 3 ทักษะต่อไปนี้
1. ทักษะการอ่าน - คนไทยอาจไม่ได้อ่านน้อย เพียงแต่ไม่ได้อ่านหนังสือเป็นเล่มกัน
แต่อาจารย์ก็ยังแนะนำให้ลองหยิบหนังสือเล่มมาอ่านกันดู
เพราะสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือเล่ม ก็คือปัญหาที่คนอื่นเคยเจอมา และมาเขียนเล่าเป็นประสบการณ์ให้ฟัง
.
2. ทักษะการเขียน - การจะเขียนออกมาได้ เราต้องทบทวนความคิดตัวเองจนตกผลึกก่อน
เมื่อเราเขียนออกมามาก เราจึงเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวตัวเองมากขึ้น
และเรายังได้สื่อสารความคิดของเราออกไปให้คนอื่นได้รับรู้มากขึ้นด้วย
.
3. ทักษะในการขวนขวายหาความรู้ – ปัจจุบันนี้มีช่องทางการเรียนรู้ที่เราเข้าไปเรียนเองได้มากมาย
ทั้ง Youtube คอร์สออนไลน์ต่าง ๆ หรือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ทำให้เรารู้เรื่องใหม่ ๆ ได้มากเช่นกัน
สิ่งสำคัญจึงเป็นการเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ และการหมั่นขวนขวายหาความรู้ใหม่ ๆ ไม่ให้ตัวเองหยุดนิ่ง
.
3) หันมาแชร์ความล้มเหลวกันบ้าง
ในโซเชียลมีเดีย ทุกคนมักจะโชว์กันแต่ด้านดี ๆ ได้ไปเที่ยว ได้งานดี ๆ เก็บเงินได้หลายล้าน ได้มีเวลากับคนรัก และความสำเร็จอื่น ๆ
แต่เราไม่เคยแชร์ความล้มเหลวกันเลย
.
ลองเปลี่ยนมาเขียนแชร์ความล้มเหลวของตัวเองบ้างก็ได้ เพื่อคนอื่นจะได้ไม่เข้าใจชีวิตผิด ว่าทุกอย่างจะต้องสำเร็จไปหมด
และยังเป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกันอีกด้วย
.
4) 10 เทคนิคอ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆ
เทคนิคส่วนตัวของอาจารย์นภดล ที่อ่านหนังสือได้เยอะมาก
ดูได้จาก Podcast ที่อาจารย์หยิบหนังสือมารีวิวก็รู้
.
1. อ่านในสิ่งที่ชอบและสนใจ
2. หาเวลาที่สงบในการอ่าน เช่น ช่วงเช้าหลังตื่นนอน และก่อนเข้านอน
3. เตรียมหนังสือไว้ทุกที่ – ทั้งในห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือพกติดตัวไปด้วยก็ยิ่งดี
4. อ่านหนังสือหลาย ๆ เล่มสลับกัน – อ่านไปพร้อม ๆ กัน จะได้ไม่เบื่อ
5. ลองอ่าน E-book ในมือถือหรือแท็บเล็ต - เพราะอ่านได้สะดวก
6. ฟังหนังสือเสียงเมื่อขับรถ หรือออกกำลังกาย
7. คบค้าสมาคมกับหนอนหนังสือคนอื่น
8. ตั้งเป้าหมายในการอ่าน ว่าอ่านไปเพื่ออะไร
9. ยิ่งงานยุ่งยิ่งต้องอ่าน เพราะเวลาเรามีจำกัด เราต้องใช้เวลาที่กำหนดไว้ อ่านให้ได้ตามเป้า
10. เลือกหนังสือที่จะอ่าน – เนื่องจากเวลาเราจำกัด อ่านไม่ได้ทุกเล่ม
.
5) 7 เทคนิคการเลือกหนังสือ เพื่อแก้ปัญหาการอ่านไม่จบ
เนื่องจากเป็นเพจรีวิวหนังสือเลยอยากหยิบเรื่องเกี่ยวกับหนังสือมาสรุปเยอะหน่อยนะครับ
.
1. เลือกหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราชอบ
2. เลือกหนังสือที่เรานำประโยชน์ไปใช้ได้ทันที
3. เลือกหนังสือที่ติดอันดับ Bestsellers เพราะมีคนอื่นการันตีให้แล้วว่าดีจริง
4. เลือกหนังสือจากนักเขียนที่เราชื่นชอบ
5. เลือกหนังสือตามไอดอลของเรา
6. เลือกหนังสือที่อ่านง่าย – พยายามเลี่ยงอ่านหนังสือที่เกินความสามารถตัวเองเกินไป แต่ก็ไม่อ่านเล่มที่รู้เรื่องหมดอยู่แล้ว
7. เลือกหนังสือปกแข็ง หรือหนังสือที่มีตัวอักษรใหญ่ ๆ – สำหรับคนที่เริ่มมีอายุ และเป็นวิธีอ่านแบบถนอมสายตาด้วย
.
6) 9 เทคนิคทลายกองดอง
สำหรับคนที่ชอบซื้อแต่ไม่ชอบอ่าน อาจลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู
.
1. ลดการซื้อหนังสือใหม่ ๆ – อาจตั้งกฎกับตัวเองก่อนว่า ถ้าอ่านเล่มเก่าจบ ถึงจะซื้อเล่มใหม่ได้
2. เล่มไหนไม่ สปาร์คจอย! ก็ทิ้งไปซะ - เดินไปดูในกองดอง และจัดการหนังสือที่ไม่อยากอ่านแล้ว
อาจลองนำไปให้เพื่อน หรือบริจาคก็ได้
.
3. เลือกอ่านเล่มที่อยากอ่านมากสุดก่อน เพื่อให้เกิดความสนุกในการอ่าน
หรืออาจเลือกอ่านจากเล่มบางสุดก่อน เพื่อให้เกิดโมเมนตั้มการอ่าน
4. กำหนดเวลาอ่านให้ชัดเจน สร้างนิสัยรักการอ่านขึ้นมา
5. เชื่อมโยงการอ่านหนังสือกับกิจกรรมอื่น เพื่อทำให้การอ่านหนังสือน่าดึงดูดมากขึ้น
6. ทำให้การอ่านเป็นเรื่องง่าย เช่นวางหนังสือไว้ทุกที่ หรือตั้งเป้าว่าจะอ่านแค่วันละ 30 นาที
7. คำนวณเวลาเฉลี่ยในการอ่านหนังสือ เพื่อให้รู้ว่าเล่มนึงต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะอ่านจบ
8. พยายามคิดว่าจะเอาสิ่งที่อ่านไปใช้ประโยชน์อย่างไรตอนอ่าน
9. หาคนมาอ่านด้วยกัน
.
7) อาจารย์มหาวิทยาลัยในอนาคต
ตามความเห็นของอาจารย์นภดล ในอนาคต จะยังมีอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่
แต่จะเปลี่ยนบทบาทจาก Teacher ไปเป็น Facilitator
.
นั่นคืออาจารย์มหาลัย จะไม่ใช่คนคอยป้อนข้อมูลความรู้ให้ เพราะนักเรียนสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้ตามอินเตอร์เน็ต
แต่อาจารย์จะบอกวิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ หรือบอกแหล่งข้อมูลที่นักเรียนต้องไปค้นคว้าเพิ่มเอง
.
รุปแบบคล้ายโค้ชกีฬา ที่คอยวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของนักกีฬา และชี้แนะว่านักกีฬาต้องทำยังไงบ้าง ถึงจะเก่งขึ้น
.
8) เรียนจากทฤษฎี vs จากประสบการณ์
ถ้าให้เลือกเราจะเลือกอย่างไหน ?
เชื่อว่าหลายคนคงตอบว่าอยากเรียนจากประสบการณ์ตรงของคนสำเร็จ
.
แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ ทำไมเราไม่เรียนทั้ง 2 แบบไปพร้อม ๆ กัน
1. การเรียนจากประสบการณ์ตรง
มีข้อดัคือ เขาพิสูจน์มาแล้วว่าเขาทำได้จริง วิธีการของเขาเวิร์ค
แต่ต้องระวังว่า ประสบการณ์ของเขามีบริบทประกอบอยู่มาก
.
เช่น คนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำธุรกิจเสื้อยืดคนหนึ่ง ก็อาจประสบความสำเร็จได้เพราะปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ
ทั้งจากขนาดกระเป๋าเงินที่เป็นทุนตั้งต้นของเขา คอนเนคชั่นที่เขามี ความสามารถในการขายของเขา สภาพเศรษฐกิจ ณ ขนาดนั้น คู่แข่งของเขาในตลาดที่เขาขาย และโอกาสพิเศษที่เขาได้รับ
หลายคนที่ทำแบบเดียวกับนักธุรกิจเสื้อยืดคนนี้ก็อาจล้มเหลวไม่เป็นท่าได้ เพราะปัจจัยแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย
.
2. การเรียนจากทฤษฎี
คำถามสำคัญคือ ทฤษฎีคืออะไร
ทฤษฎีก็เกิดจากการทำการวิจัย ซึ่งเริ่มจากการสังเกตปรากฏการณ์ (Phenomenon) การเก็บข้อมูลด้วยการทดลอง ทำ case study ทำแบบสอบถาม ซึ่งล้วนมาจากประสบการณ์จริงของคนหลาย ๆ คน
แล้วค่อยเอามาตกผลึกเป็นทฤษฎี หรือแนวคิดที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ความสำเร็จของคนเหล่านั้น
.
ซึ่งโดยปกติทฤษฎีจะมีความสามารถในการนำไปประยุกต์ใช้กับบริบทต่าง ๆ ได้มากกว่า เพราะตัวมันเองล้วนถูกสร้างมาจากเหตุการณ์ในหลายบริบท และถูกพิสูจน์มาแล้วในหลายบริบทเช่นเดียวกัน
.
สิ่งสำคัญจึงเป็นการพยายามเรียนรู้จากทั้งประสบการณ์ตรง และทฤษฎี
แล้วพยายามนำไปปรับใช้กับชีวิตตัวเอง
.
อย่าลืมว่าทฤษฎีก็สำคัญไม่แพ้ประสบการณ์
‘There is nothing so practical as a good theory’ (Kurt Lewin)
.
9) GPA สะท้อนระดับความชอบมากกว่า ระดับความรู้
หลายคนมักจะติดใจกับเกรด หรือ GPA ของตัวเองในอดีต
เช่น ถ้าเด็ก ๆ เราเรียนวิชาภาษาอังกฤษไม่เก่ง เราก็อาจคิดอยู่ตลอดว่า เราคงจะโง่ภาษาอังกฤษไปทั้งชาติ
.
แต่ความจริงแล้วในมุมมองอาจารย์ นภดล
GPA เป็นตัววัดความรู้ในขณะที่ทดสอบ ไม่ใช่ตัววัดความรู้ตลอดเวลา
การที่เรามี GPA สูงในอดีต ก็ไม่ได้แปลว่า ในปัจจุบัน เราจะยังเก่งเรื่องนั้นอยู่
จึงดูเป็นการแปลกที่องค์กรหลายแห่งยังคงใช้เกรดเฉลี่ยตอนป.ตรี ในการรับเข้าทำงาน
.
จริง ๆ แล้ว GPA อาจเป็นตัววัดระดับความชอบ มากกว่าระดับความรู้
เพราะถ้าเราชอบวิชาไหน เราก็จะตั้งใจเรียนวิชานั้นเป็นพิเศษ
เช่น ถ้าเราชอบเลข เราก็คงจะตั้งใจเรีนรเลข และทำเกรดได้ดี
แต่ถ้าเราไม่ชอบเล่นกีฬา เราก็คงจะเกลียดวิชาพละ และสอบวิชานี้ได้คะแนนต่ำ
.
10) ไอเดีย transcript แบบใหม่
Transcript คือ ใบแจ้งผลการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งมักจะมีผลตอนเราสมัครเข้าทำงานในองค์กรต่าง ๆ
อาจารย์นภดลแนะนำว่า ในอนาคต อาจลองเปลี่ยนจากการต้องโชว์ transcript ของทุกวิชา
เป็นการแสดงเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัคร
.
เช่น ถ้าเราสมัครตำแหน่ง programming ก็โชว์ให้นายจ้างเห็นเฉพาะวิชาที่เกี่ยวข้องกับทักษะการเขียนโปรแกรม
วิชาอื่น ๆ เช่น วิชาบัญชี หรือการตลาด ที่เราไม่สนใจแต่ต้องเรียนเป็นพื้นฐานไว้ ก็ไม่ต้องใส่ใน transcript
.
หรืออีกแบบคือเราจะโชว์เฉพาะวิชาที่เราทำได้ดีใน transcript ก็ได้
เพื่อให้เราไม่สามารถลงเรียนได้หลากหลายวิชา
โดยไม่ต้องห่วงว่าเราจะทำเกรดออกมาได้ไม่ดี
.
เพราะการลงเรียนแต่วิชาง่าย ๆ เพื่อปั้มเกรดใน transcript นับเป็นปัญหาหนึ่งที่ควรได้รับการแก้ไข
.
.
.......................................................................................................
ผู้เขียน: ศ.ดร. นภดล ร่มโพธิ์
จำนวนหน้า: 208 หน้า
สำนักพิมพ์: Welearn
......................................................................................................
.
สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #thelostskills
Comments