รีวิว Marketing 5.0
การตลาด 5.0
.
‘การตลาดที่ใช้เทคโนโลยียุคใหม่ เพื่อมวลมนุษยชาติที่แท้จริง’
.
Marketing 5.0 เป็นหนังสืออับเดทใหม่จากเจ้าพ่อการตลาด Philip Kotler
เล่มนี้เป็นภาคต่อของ Marketing 3.0 และ 4.0
โดยเหมือนเป็นการเอาคอนเซ็ปต์ของทั้ง 2 เล่มมารวมกัน
คือ เรื่องการตลาดแบบมีผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (Marketing 3.0) และ การตลาดที่ใช้เทคโนโลยียุคใหม่ (Marketing 5.0)
แล้วเพิ่มบริบทผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
.
เนื้อหาเน้นไปที่เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้า และเทคโนโลยี ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่มีศักยภาพในการนำมาใช้ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
และเน้นเรื่องผลกระทบของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดจาก COVID-19
.
ความรู้สึกหลังอ่าน มีความเหมือนการอ่านรายงานวิชาการพอสมควร
เพราะเป็นการรวมเอาข่าวและเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว
สร้างขึ้นมาเป็นธีมการทำการตลาดยุคใหม่
.
อ่านแล้วอาจมีความรู้สึกน่าเบื่อไปบ้าง
แต่ก็ถือว่าได้อับเดทตัวเอง ไปพร้อม ๆ กับการตลาดในยุค New Normal
.
ส่วนข้อด้อยของหนังสือก็คงหนีไม่พ้น ความคล้ายกับ Marketing เล่มก่อน
แค่เล่มนี้มีการเพิ่มเทรนด์บางอย่างลงไป
และจัดว่าเป็นหนังสือที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสูงมาก
เนื้อหาที่เป็นการอับเดตเทรนด์เทคโนโลยีอาจถึงขนาดบดบังเทคนิคการทำการตลาดที่ควรจะเป็นเนื้อหาหลักในเล่มนี้
แต่จะว่าไป เรื่องเทคโนโลยีก็เน้นการนำมาใช้ ไม่ได้เน้นความรู้ทางเทคนิค
หนังสือจึงไปไม่สุดสักทาง
และที่แน่ ๆ หนังสือไม่ได้เล่ากลยุทธ์การทำการตลาดพวก STP, 4P, Customer Relationship Management (CRM) แบบตรง ๆ
หนังสือจังไม่เหมาะกับมือใหม่ที่สนใจเรื่องการตลาด
.
แต่ในทางกลับกัน หนังสือเหมาะกับการอ่านเพื่ออับเดทตัวเองให้เท่าทันเทรนด์ และการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ ของโลก
อ่านเล่มนี้ แม้จะน่าเบื่อ แต่ได้ข้อมูลดี ๆ เก็บไว้แน่นอนครับ
.
ขอเล่าประเด็นที่ชอบ 5 เรื่องจากหนังสือ Marketing 5.0 ไว้เป็นน้ำจิ้มนะครับ
ที่เหลืออยากชวนทุกคนไปซื้อหนังสือเล่มจริงมาอ่านกันดู
.
1) การตลาด 5.0 คืออะไร
เรามาย้อนรอยการตลาดในแต่ละยุคกันก่อนครับ
- การตลาด 1.0 มุ่งผลิตภัณฑ์ ตอบสนองลูกค้าทางปัญญา
- การตลาด 2.0 มุ่งผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองลูกค้าทางอารมณ์
- การตลาด 3.0 มุ่งมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ตอบสนองลูกค้าทางจิตวิญญาณ
แบรนด์มีคุณค่าทางจิตใจ มีความแตกต่างที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคแต่ละคน
มีการมองถึงวิธีแก้ปัญหาในทางสังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่ได้คิดถึงเรื่องกำไรเพียงอย่างเดียว
- การตลาด 4.0 การตลาดยุคดิจิทัล ที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และทำให้มีจุดสัมผัสกับลูกค้าทั้งในเชิงกายภาพ และดิจิทัล
.
มาถึง
- กาตลาด 5.0 การตลาดเพื่อมวลมนุษยชาติ
เป็นการตลาดที่นำศักยภาพของเทคโนโลยีรุ่นต่อไป เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things, ความเป็นจริงเสริมและความเป็นจริงเสมือน (Augmented Reality และ Virtual Reality) และเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้อย่างเต็มที่
โดยเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีเลียนแบบมนุษย์มาใช้สร้าง สื่อสาร ส่งมอบและเพิ่มมูลค่าทั่วทั้ง customer journey ตั้งแต่การนึกถึงสินค้า การเลือกซื้อสินค้า จนกระทั่งการบริโภค
.
.
2) ความท้าทายครั้งสำคัญ 3 ประการในการทำการตลาดยุค 5.0
ความท้าทายที่ 1: ช่องว่างระหว่างวัย
โลกประกอบด้วยคน 5 รุ่นคือ
1. Baby Boomers - เกษียณช้าลง มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย
2. Gen X – รุ่นที่กำลังจะเป็นผู้บริหาร และผู้ประกอบการธุรกิจคนสำคัญ
3. Gen Y - รุ่นช่างสงสัย ชอบออกไปสะสมประสบการณ์ ทำให้เกิดกระแส Fear of Missing out (FOMO) และ Influencer Marketing
4. Gen Z – เติบโตมาพร้อมกบัอินเตอร์เน็ท มีความต้องการ personalisation สูงมาก
5. Gen Alpha - ลูกของเหล่า Gen Y ส่งอิทธิพลในการตัดสินใจผ่านพ่อแม่ Gen Y
.
เพราะโลกประกอบด้วยคนที่แตกต่างกันถึง 5 รุ่น นักการตลาดควรทำความเข้าใจกับความต้องการของคนแต่ละรุ่น และหาวิธีทำการตลาดให้เหมาะสม
.
ความท้าทายที่ 2: ช่องว่างระหว่างขั้วที่แตกต่างกันสุดโต่ง
โลกยุคปัจจุบันยังถูกแบ่งออกด้วยตามขั้วต่าง ๆ ที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่ง 4 ขั้ว
1. ขั้วด้านอาชีพ
ในขณะที่งานมูลค่าสูง ค่าตอบแทนสูงเพิ่มมากขึ้น
งานมูลค่าต่ำ ค่าตอบแทน ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
รูปแบบงานรับกลาง ๆ กำลังหดลดลง
.
2. ขั้วด้านอุดมการณ์
อุดมการณ์หลาย ๆ ย่าง เช่นในทางการเมือง และเศรษฐกิจถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
เช่น นโยบายกีดกันการค้า และการค้าเสรี
ที่ยืนตรงกลางค่อย ๆ ลดน้อยลง
.
3. ขั้วเชิงวิธีชีวิต
ในขณะที่แนวคิดแบบ Minimalist เป็นที่นิยมมากขึ้น
กระแสการบริโภคแบบฟุ่มเฟือย ก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเช่นกัน
.
4. ขั้วทางการตลาด
การนำเสนอกลุ่มสินค้าพรีเมียม และสินค้าราคาต่ำ เป็นที่นิยมมากขึ้น
ในขณะที่สินค้าราคากลาง ๆ ถูกลดความนิยมลง
.
การแบ่งขั้วที่ชัดเจนหมายถึง จะไม่มีที่ยืนให้อะไรกลาง ๆ อีกต่อไป การทำการตลาดต้องชัดเจน และตอบสนองต่อความสุดโต่งไม่ด้านใด้ด้านหนึ่ง
.
นอกจากนี้แล้วเทรนด์ที่มาแรงยังรวมถึง เทรนด์ด้านความครอบคลุม และยั่งยืน
ความครอบคลุมคือ การสร้างและกระจายความมั่งคั่ง
ความยั่งยืนคือ การมีมุมมองเชิงมนุษยธรรม และสิ่งแวดล้อม
ความท้าทายที่ 3: ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี
ในโลกของเรายังมีช่องว่างทางดิจิทัลอยู่มาก ตั้งแต่การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ยังไม่ทั่วถึงทุกคน
รวมไปถึงในแง่ที่เทคโนโลยีอาจเข้ามาสร้างความเหลื่อมล้ำในด้านอื่น ๆ ต่อได้
เพราะ AI และระบบอัตโนมัติอาจเข้ามาแย่งงานคน
ในเชิงองค์กรเองก็เช่นกัน ในขณะที่บริษัทสตาร์ทอับมีเทคโนโลยีมากมายในโลกดิจิทัล
บริษัทขนาดใหญ่อาจต้องออกแรงปรับตัวมากหน่อย
.
.
3) เทคโนโลยีช่วยเสริมสร้างการตลาดอย่างไรบ้าง
ในยุค 5.0 เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก โดยเริ่มตั้งแต่
1. ให้ข้อมูลมหาศาลมาประกอบการตัดสินใจ (big data)
เช่น การสะสมข้อมูลลูกค้าจากทุก ๆ touch point มาทำการตลาดเฉพาะบุคคล
.
2. ช่วยคาดการณ์ผลลัพธ์การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแต่ละแบบ
เช่น การใช้ AI คาดการณ์ผลลัพธ์ก่อนปล่อยแคมเปญการตลาดอันใหม่
.
3. นำประสบการณ์ดิจิทัลเชิงบริบทมาใช้กับโลกกายภาพ
เช่น การปรับหน้าเพจให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน
.
4. เพิ่มศักยภาพให้คนทำงานการตลาดที่หน้างาน
เช่น การใช้ AR และ VR มาช่วยนำเสนอสินค้า
.
5. ทำให้แผนการลงมือปฏิบัติ (implementation) ทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น
เช่น การใชแพลตฟอร์ม open source มาเฟ้นหาไอเดีย หรือทดสอบไอเดียกับตลาด
.
4) 5 องค์ประกอบหลัก ของการตลาด 5.0
องค์ประกอบที่ 1: การตลาดขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data driven Marketing)
ข้อมูลมีความสำคัญมาก ในการทำการตลาดที่เน้นลูกค้าเฉพาะบุคคล (personalised marketing)
เราอาจดูลูกค้าไปเป็นคน ๆ เลยก็ได้ว่า เขาอายุเท่าไหร่ อาศัยอยู่ที่ไหน มีพฤติกรรรมการบริโภคอย่างไร และอะไรเป็นแรงกระตุ้น รวมไปถึง mindset และทัศนคติของคนแต่ละคนด้วย
.
องค์ประกอบที่ 2: การตลาดเชิงคาดการณ์ (Predictive Marketing)
เป็นการนำข้อมูลที่มีมาใชพยากรณ์ผลลัพธ์ในการทำการตลาด
- เราต้องเริ่มจากรับข้อมูลจากลูกค้า
- ควานหาแพทเทิร์นของลูกค้าแต่ละคน
- เข้าใจบริบทประกอบข้อมูล
.
การใช้ข้อมูลเป็นตัวนำในการตัดสินใจทำการตลาดกับลูกค้าแต่ละคนย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการตัดสินใจโดยใช้สัญชาตญาณ
.
องค์ประกอบที่ 3: การตลาดเชิงบริบท (Contextual Marketing)
เป็นการใช้เทคโนโลยีกลุ่มเซนเซอร์และ IoT มาเก็บข้อมูลจากโลกกายภาพ เช่นการตรวจจับอากาศร้อน เย็น เพื่อส่งต่อไปยังระบบประมวลผลด้วย AI
ก่อนจะตัดสินใจลงมือทำการตลาด
การผสานระหว่างข้อมูลจากโลกทางกายภาพและดิจิทัล ทำให้เลือกทำการตลาดได้ตรงใจลูกค้าในแต่ละบริบทมากขึ้น
.
องค์ประกอบที่ 4: การตลาดเสริมศักยภาพ (Augmented Marketing)
เป็นการนำเทคโนโลยีทั้ง AI และระบบอัตโนมัติมาช่วยในการทำการตลาดร่วมกับการใช้มนุษย์
เช่นพวกงานที่สามารถทำได้ง่าย ให้ใช้ AI และระบบอัตโนมัติ มาช่วยแก้ปัญหา ส่วนการใช้มนุษย์ให้เก็บไว้ใช้กับงานที่ยาก
องค์ประกอบที่ 5: การตลาดฉับไว (Agile Marketing)
เมื่อเรามีเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถรับข้อมูลจากลูกค้าได้แบบ Real-time
เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ฉับไวมากขึ้น
และแน่นอนว่าในโลกที่เปลี่ยนเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภครวมถึงกลยุทธ์ของคู่แข่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การทำการตลาดแบบใหม่ด้วยความรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็นมาก
.
.
.
5) ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว สำหรับองค์กรที่มุ่งดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นดิจิทัล ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
แต่สุดท้ายแล้วการทำการตลาดในยุคนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
แต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกกรมมีความแตกต่างกันออกไป
ทั้งในด้านความพร้อม และจังหวะเวลาในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล
การเข้าใจบริบทที่แตกต่างกัน และการเข้าใจถึงศักยภาพของเทคโนโลยีแต่ละประเภทจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
นอกจากนี้การรู้จักปรับตัว และปรับเปลี่ยนตัวเองให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาก็สำคัญไม่แพ้กัน
.
จริง ๆ แล้วเนื้อหาในหนังสือ Marketing 5.0 ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกเยอะมาก
อยากให้ลองอ่านเล่มเต็มกันจริง ๆ ครับ
หรือจะลองหาสรุปแบบละเอียดยิบในอินเตอร์เน็ตดูก็ได้
ถ้าใครสนใจอ่านสรุป ขอแนะนำเพจการตลาดวันละตอนของคุณ หนุ่ย ณัฐพล ม่วงคำ ได้เลยครับ
มีสรุปเล่มนี้ไว้แบบละเอียดมาก ๆ
.
.
……………………………………………………………………………………
ผู้เขียน: ฟิลิป คอตเลอร์, Hermawan Kartajaya (เหมะวัน การตะจายา), Iwan Setiawan (ไอวัน เซเตียวาน)
ผู้แปล: สมสกุล เผ่าจินดามุข
สำนักพิมพ์: เนชั่นบุ๊คส์
จำนวนหน้า: 264 หน้า
……………………………………………………………………………………
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #Marketing5.0
Comentarios