รีวิว GRIT : The Power of Passion and Perseverance
สิ่งที่ต้องมี...เมื่อคุณไม่มีแต้มต่อในชีวิต
.
‘ความทรหดนั้น สำคัญเป็น 2 เท่าของพรสวรรค์’
.
- อะไรทำให้มีนักเรียนทหารเวสต์พอยต์ในโครงการบีสต์สุดโหดเพียงบางคนอยู่รอดตลอดฝั่ง ในขณะที่อีกหลายๆคนลาออกไปกลางคัน
ตามผลการวิจัยแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่ คะแนนสอบ SAT, ไม่ใช่ความสามารถด้านกีฬา, ไม่ใช่ภาวะความเป็นผู้นำ
แต่เป็น ‘ความทรหด’
.
- อะไรทำให้พนักงานขายทนการปฎิเสธกว่า 100 ครั้งและก้าวขึ้นสู่สุดยอดนักขาย
ตามผลการวิจัยแล้ว สิ่งนั้นอาจจะเป็น ทักษะการเข้าสังคม ความมั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
แต่ปัจจัยเหล่านั้นก็ยังมีผลน้อยกว่า ‘ความทรหด’ อยู่ดี
.
ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงไหน ผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจปรากฎออกมาใน 2 รูปแบบ ได้แก่
1) ทำงานหนักและฟื้นตัวเร็วจากความล้มเหลว
2) รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
หรือสั้นๆง่ายๆว่า คนสำเร็จจะมุ่งมั่นตั้งใจ และมีทิศทางในการก้าวเดินไปข้างหน้า
นี่เองคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความทรหด หรือ Grit’ นั่นเอง
.
.
แต่เรื่องน่าแปลกคือ คนเรามักมี ‘อคติเอนเอียง’ ที่เชื่อว่าพรสวรรค์ส่งผลต่อความสำเร็จมากกว่าความทรหด เราถูกปลูกฝังความคิดให้เชื่อว่าหลายๆคนมีอัจฉริยภาพติดตัวมาแต่กำเนิด และประสบความสำเร็จได้ เพราะเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนั้นจริงๆ ว่าจะเป็นอัจฉริยภาพทางดนตรี ทางกีฬา หรือการเป็นนักธุรกิจ
.
เราชื่นชมพรสวรรค์เวลาเห็นความสำเร็จของคนๆหนึ่งและมักละเลย ความมุมานะอุตสาหะที่คนๆนั้นต้องทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักกว่าจะได้มันมา
.
ไม่ผิดที่พรสวรรค์มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จ แต่ความยายามนั้นส่งผลต่อความสำเร็จเป็น 2 เท่า!
เพราะ ศักยภาพของเราเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการนำศักยภาพไปใช้งานเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
.
การโฟกัสที่พรสวรรค์มากเกินไปทำเราไขว้เขวและละเลยปัจจัยอันสำคัญยิ่งอย่างความทรหด
.
.
หนังสือเล่มนี้พาเราไปเปลี่ยนความเชื่อที่ว่ากันว่า คนสำเร็จได้ต้องมีพรสวรรค์เหนือสิ่งอื่นใด และพาเรากลับมาให้ความสำคัญกับความมุมานะอุตสาหะ และความทรหดในการลงมือทำสิ่งๆหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ
.
หนังสือยังบอกถึงปัจจัยต่างๆทั้งภายในและภายนอกที่ช่วยทำให้เราเพิ่มความทรหด และไขว้คว้าโอกาสแห่งความสำเร็จได้มากขึ้น
.
หนังสือ Grit เขียนขึ้นโดย Angela Duckworth อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ผู้เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาให้องค์กรชั้นนำจากทั่วโลกรวมถึง บุคลการในทำเนียบขาว ธนาคารโลก ทีมบาส NBA และบริษัทใน Fortune500 หลายบริษัท
.
ถ้าใครจำได้ Angela Duckworth โด่งดังจาก Ted Talk อันเลื่องชื่อที่สั่นสะเทือนวงการจิตวิทยาด้านพรสวรรค์และความพยายาม และเป็นผู้ทำให้แนวคิดเรื่อง ‘ความทรหด (Grit)’ โด่งดังจากการนำเสนอผลงานวิจัยเชิงวิชาการมากมาย
.
แนวคิดนี้ยังถูกนำมาพูดถึงอีกมากในโลกยุคใหม่ ที่ใครๆก็อยากประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย โดยมักถูกพูดว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การยืนระยะในการทำสิ่งๆหนึ่งนานๆจนสำเร็จได้ คู่กับอีกปัจจัยสำคัญคือ Growth Mindset (ซึ่งแท้จริงแล้วมีความเชื่อมโยงกันอยู่)
.
หนังสือ Grit เล่มนี้เหมือนเป็นเล่มรวมผลงานวิจัยของ Angela Duckworth และรวมความรู้ทั้งหมดที่ผู้เขียนมีเกี่ยวกับเรื่อง ความทรหด (Grit)
.
อ่านจบแล้วจึงรู้สึกได้ถึงความเป็นวิชาการที่มีงานวิจัยรองรับอยู่เป็นจำนวนมากในแต่ละบท แต่เนื้อหาเข้าใจง่าย และมีความแปลกใหม่น่าสนใจอยู่
.
ช่วงหลังๆที่เป็นปัจจัยต่างๆในการเพิ่มความทรหดก็มีเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว อย่างไรก็ตามเรื่องราวในหนังสืออ่านสนุก มีเรื่องใหม่ๆน่าสนใจอยู่มาก อ่านแล้วก็ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆไปเรื่อย
.
แน่นอนว่าการประยุกต์ใช้แนวคิด Grit อาจไม่ได้มีใส่ไว้เยอะ แต่การเข้าใจคอนเซ็ปต์และตกผลึกเป็นความเชื่อใหม่ก็ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราได้
.
ส่วนตัวแนะนำว่า Grit เป็นหนังสือกลุ่มเดียวกับ Mindset อ่านต่อกันเลยได้ยิ่งดี อาจมีความน่าเบื่อของความเป็นวิชาการบ้าง แต่มีประโยชน์และควรอ่านก่อนอายุ 30 เป็นที่สุดครับ
.
ต่อจากส่วนนี้คือสรุปเนื้อหาสำคัญบางส่วนจากหนังสือ Grit นะครับ
.
1) ความพยายามให้ผลเป็น 2 เท่าของพรสวรรค์
.
แม้คนจำนวนมากจะเชื่อในเรื่องน่าพิศวงว่า นักว่ายน้ำเจ้าเหรียญทองอย่าง ไมเคิล เฟลป์ส หรือ มาร์ก สปิตซ์ เป็นฉลามบกผู้พกพาพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด เพราะคนพวกนี้ชอบเรื่องน่าพิศวงมากกว่าเรื่องธรรมดา
.
แต่แท้จริงแล้วแม้นักว่ายน้ำทั้ง 2 คนจะมีสรีระร่างกายที่ได้เปรียบ แต่ความสำเร็จก็เกิดจากการฝึกซ้อมชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่า เพียงแต่ไม่มีใครได้มีโอกาสเห็นตอนที่เขาเหล่านั้นฝึกซ้อม
.
โดยรวมแล้วงานวิจัยของ Angela Duckworth ได้สรุปสมการความเกี่ยวข้องของ ‘พรสวรรค์’ กับ ‘ความสำเร็จ’ ว่า
.
พรสวรรค์ x ความพยายาม = ทักษะ
ทักษะ x ความพยายาม = ความสำเร็จ
.
พรสวรรค์คือ ความรวดเร็วในการพัฒนาทักษะต่างๆ
ความสำเร็จเกิดขึ้นเมื่อ เรานำทักษะต่างๆที่สั่งสมไว้มาใช้
ความพยายามสร้างทักษะขึ้นมา และทำให้ทักษะผลิดอกออกผล
ดังนั้นความพยายามจึงมีความสำคัญเป็น 2 เท่าของพรสวรรค์
.
แม้คนที่มีพรสวรรค์มากกว่าอีกคน 2 เท่า แต่ขยันน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง จะสามารถสร้างทักษะได้มากพอๆกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะสร้างผลงานออกมาได้น้อยกว่ามาก เนื่องจากคนที่มีความมุมานะไม่เพียงพัฒนาทักษะใหม่ขึ้นมา แต่ยังเอาทักษะไปสร้างผลงานด้วย ไม่ว่าผลงานนั้นจะเป็น การปั้นหม้อ การเขียนนิยาย การแสดงคนเสิร์ต หรือการเจรจาธุรกิจ
.
ดังนั้นแล้วจากทฤษฎีดังกล่าว ในระยะยาวผู้ที่มีความพยายามจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าผู้ที่มีแต่พรสวรรค์
.
อย่างไรก็ตามทฤษฎีของ Angela Duckworth ไม่ได้ครอบคลุมถึงปัจจัยภายนอกอย่าง การมีโค้ชที่ดี หรือโชคชะตา
.
2) ความทรหดคือการยึดมั่นเป้าหมายเดียวเป็นเวลานาน
.
คนที่มีความทรหดสูงๆคือ คนที่ยึดในเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งไว้เป็นเวลานานพอที่เขาจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้
.
แต่แน่นอนว่า บางครั้ง เป้าหมายอันใดอันหนึ่งนั้นก็อาจเป็นเป้าหมายสูงสุด เป็นนามธรรม และต้องการเป้าหมายย่อยๆมารองรับ
.
โดย Angela Duckworth ได้แบ่งขั้นของเป้าหมายเป็น 3 ขั้น คือเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายระดับกลาง และเป้าหมายระดับล่าง โดยการจะไต่ไปถึงเป้าหมายระดับสูงสุดนั้น เราต้องค่อยๆทำเป้าหมายระดับล่างให้เสร็จไปทีละอันก่อน
.
สิ่งสำคัญคือ เป้าหมายทั้ง 3 ระดับต้องสอดคล้องกัน ไม่งั้นการทำเป้าหมายระดับล่างหรือกลางให้เสร็จก็อาจไม่ตอบโจทย์เป้าหมายระดับสูง
.
หลายคนที่ไม่มีความทรหดเพราะ คนเหล่านั้นมีแต่เป้าหมายระดับสูง แต่ไม่มีเป้าหมายระดับกลางและระดับล่างมารองรับ ทำให้อยู่กับภาพนามธรรมมาจนเกินไป
.
นอกจากนี้แล้ว คนที่มีความทรหดสามารถแสดงออกมาให้เห็น การที่เขาหาเป้าหมายระดับล่างอันใหม่ขึ้นมาทดแทน เมื่อเป้าหมายระดับล่างอันหนึ่งไม่สำเร็จและถูกปฏิเสธไป
.
จำไว้ว่า คนมีความทรหดจะมีเป้าหมายระดับล่างหลายๆเป้าหมายที่สอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดเพียง 1 เดียวเสมอ
.
.
3) สร้างความทรหดด้วย ‘ความสนใจ’
.
‘จงทำสิ่งที่ตัวเองรัก’
คำง่ายๆที่ทรงพลังมาก และเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความทรหดเพราะ ความหลงใหลเป็นส่วนประกอบสำคัญของควาทรหด
.
มีแต่คนบอกให้เราหาสิ่งที่ตัวเองรักทำ เพราะการทำสิ่งที่รักนั้นจะช่วยให้เรา
- พึงพอใจกับงานที่ทำ
- สร้างผลงานจากงานนั้นได้ดีขึ้น
.
อย่างไรก็ตามคำถามสำคัญคือ เราจะหาความหลงใหลของเราได้ยังไง
.
จงตระหนักไว้ว่าความหลงใหลฉากแรก หรือเมื่อแรกพบ อาจไม่ใช่ความหลงใหลของเราจริงๆ
เราต้องลองทำสิ่งนั้นอย่างนต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาความหลงใหล
.
เพราะในวัยเด็กที่เราอาจเร็วเกินไปที่เราจะเจอความหลงใหล
ความหลงใหลเกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก
ความหลงใหลเกิดจากทำเชิงรุกต่อเรื่อง
และความหลงใหลเกิดจากแรงสนับสนุนของคนรอบข้าง
.
.
4) สร้างความทรหดด้วย ‘การฝึกฝน’
.
คนที่มีความทรหดคือคนที่สามารถ ‘ใช้เวลามากกว่ากับภารกิจที่ต้องทำ’
.
นั่นหมายความว่าคนเหล่านี้สามารถทนฝึกฝนได้มากกว่า จนมีงานวิจัยที่บอกว่าถ้าเราฝึกจนถึง 10,000 ชั่วโมง เราจะมีความเชี่ยวชาญในระดับโลก
.
แต่การฝึกดังกล่าวจต้อง
1. เป็นการฝึกฝนอย่างจดจ่อ (deliberate practice)
ซึ่งหมายถึงเราต้องตั้งเป้าหมายของการฝึก เช่นวันนี้วิ่ง 100 เมตร ได้15.5 วินาที พรุ่งนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะวิ่งให้ได้ 15.4 วินาที
.
นอกจากนี้เราควรหาโค้ชมาช่วยฝึกซ้อม เพื่อป้อนฟีดแบ็ค และหาจุดบกพร่องอย่างทันท่วงที
.
เวลาให้เราฝึกอย่างจดจ่อเต็มที่ และฝึกซ้ำไปเรื่อยเพื่อขัดเกลา
.
2. ทำให้เราเข้าสู่ภาวะลื่นไหล (flow)
ข้อแตกต่างของการฝึกแบบจดจ่อกับสภาวะลื่นไหลคือ อย่างแรกเป็นพฤติกรรม อย่างที่สองเป็นประสบการณ์เชิงอารมณ์
.
เหมือนในหนัง soul ถ้าเราเข้าสู่สภาวะลื่นไหล เรามักฝึกฝนสิ่งนั้นได้ดีจนก้าวเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญได้
.
.
5) สร้างความทรหดด้วย ‘จุดมุ่งหมาย’
.
จุดมุ่งหมายคือ ความตั้งใจที่จะช่วยผู้อื่นให้อยู่ดีมีสุขเช่นกัน
ความทรหดเพิ่มขึ้นได้เมื่อเรารู้สึกว่ากำลังทำสิ่งที่มีความหมายเพื่อผู้อื่น
.
ลองนึกถึงนิทานของช่างก่ออิฐ 3 คน ที่เมื่อถูกถามว่าทำอะไรอยู่
คนแรกตอบว่า ก่ออิฐ
คนที่ 2 ตอบว่า สร้างโบสถ์
คนที่ 3 ตอบว่า สร้างบ้านให้พระเจ้า
.
คนแรกมองงานที่ทำเป็นแค่ ‘งาน (job)’
คนที่ 2 มองว่างานที่ทำเป็น ‘อาชีพ (career)’ ที่จะต่อยอดไปสู่สิ่งอื่น
คนที่ 3 มองว่างานที่ทำเป็น ‘สิ่งที่ใจเรียกร้อง (calling)’ ว่าฉันกิดมาเพื่อสิ่งนี้
.
ถ้าเราสามารถหา สิ่งที่ใจเรียกร้อง (calling) ของตัวเองได้ เราจะรู้สึกถึงความหมายของสิ่งที่เราทำ
เราไม่ได้ทรหดเพื่อแค่กับตัวเอง แต่กับผู้อื่นด้วย
.
วิธีที่จะตามหา calling ของตัวเองเช่น
- ลองถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไร
- ลองถามตัวเองว่าจะปรับสิ่งที่ทำอยู่อย่างไรให้ตอบค่านิยมหลักของตัวเอง
- ลองมองหาบุคคลตัวอย่างที่มีจุดมุ่งหมายระดับ calling ในการทำงาน
.
.
6) สร้างความทรหดด้วย ‘ความหวัง’
.
ปรัชญาเรื่องความหวังคือการเชื่อว่า พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้
ถ้าล้ม 7 ครั้ง ให้ลุกขึ้น 8 ครั้ง
.
เรื่องนี้เชื่อมต่อกับเรื่อง Growth Mindset จากหนังสือ Mindset คือการเชื่อว่าศักยภาพของคนเราพัฒนาได้ ไม่ได้ติดอยู่กับสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด
.
ส่วนวิธีในการใช้ Growth Mindset มาสร้างความทรหดคือ
1. การเชื่อว่าตัวเองพัฒนาได้ เชื่อว่าเราทำได้ เชื่อในศักยภาพ ความฉลาดและความสามารถของตัวเอง
2. มองโลกในแง่ดี พูดคุยกับตัวเองในแง่บวก
3. ใช้ความอุตสาหะเอาชนะอุปสรรค
.
และที่สำคัญคืออย่าลืมขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
.
.
7) เลี้ยงดูลูกให้มีความทรหด
.
ตามงานวิจัยของ Angela Duckworth ที่กำลังดำเนินอยู่แล้ว ‘การเลี้ยงลูกแบบชาญฉลาด’ ซึ่งคือการผสมระหว่างการเลี้ยงลูกแบบส่งเสริม และแบบเคี่ยวเข็ญ สามารถสร้างความทรหดให้ลูกได้
.
การเลี้ยงลูกแบบนี้ คือการที่พ่อแม่ประเมินจิตวิทยาของเด็กอย่างแม่นยำ กำหนดขอบเขตพอประมาณ แต่ให้อิสระกับลูกอย่างเต็มที่ในการปลดปล่อยศักยภาพออกมา อำนาจที่พ่อแม่ใช้ในการเลี้ยงลูกแบบนี้เกิดจากความรู้และปัญญามากกว่าอิทธิพล
.
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้เกิดจากการทำความเข้าใจลูก ใส่ใจในสิ่งต่างๆที่ลูกแสดงออกมา และส่งเสริมพัฒนาอย่างเต็มที่ ด้วยการให้อิสระ การกำหนดขอบเขต และการใช้อำนาจเมื่อจำเป็น
.
.
8) สร้างสนามแห่งความทรหด
.
การฝึกให้ลูกต้องลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จนับว่าเป็นอีกวิธีที่พ่อแม่ ครู หรือโค้ชใช้สร้างความทรหดในตัวเด็กได้
.
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดๆก็ตาม ทั้งเล่นกีฬา ดนตรี ความสามารถทางวิชาการ ต้องให้ลูกทำไปสักพัก จนก้าวหน้า และสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ไม่ล้มเลิกไปกลางคัน
.
Angela Duckworth ยังแนะนำถึง ‘กฎเรื่องยาก’
ซึ่งมีเนื้อความว่า ให้สมาชิกครอบครัวทุกคนทำกฎนี้ด้วยกัน
กฎนี้มีอยู่ 3 ข้อคือ
1. ทุกวัน สมาชิกทุกๆคนต้องทำกิจกรรมเรื่องยากที่เลือกไว้อย่างจดจ่อในระยะเวลาหนึ่ง เช่น ตัว Angela เองทำงานวิจัยด้านจิตวิทยา แต่ก็ต้องมาฝึกโยคะ หรือสามีของ Angela ที่ทำงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องหันมาสนใจการวิ่งของตัวเองด้วย
.
2. ต้องไม่หยุดกิจกรรมนั้นกลางคัน ยกเว้นว่าหมดฤดูกาล หรือถึงจุดที่หยุดได้ตามธรรมชาติ
.
3. ทุกคนเป็นคนเลือกเรื่องยากที่ว่าด้วยตัวเอง จะได้เป็นสิ่งที่ตัวเองสนใจ เพราะถ้าไม่สนใจก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา
.
.
9) สร้างวัฒนธรรมแห่งความทรหด
.
วิธีสุดท้ายที่ตรงไปตรงมา คือการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมที่มีความทรหด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำองค์กรก็ลองสร้างองค์กรที่มีวัฒนธรรมแห่งความทรหดขึ้นมาเอง
.
ปล. หนังสือมีแบบทดสอบวัดความทรหดของตัวผู้อ่านอยู่ด้วยนะครับ
.
.
.............................................................................................................
ผู้เขียน: Angela Duckworth
ผู้แปล: จารุจรรย์ คงมีสุข
จำนวนหน้า: 368 หน้า
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.
.............................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #GRIT #ThePowerofPassionandPerseverance
Comentários