top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว 24 ชั่วโมงที่ดีเริ่มตั้งแต่นาทีแรกที่คุณตื่น





รีวิว 24 ชั่วโมงที่ดีเริ่มตั้งแต่นาทีแรกที่คุณตื่น

The art of being brilliant

.

‘จงเป็นชาว 2% ที่คิดบวก และแผ่พลังบวกออกไปให้คนรอบข้าง’

.

“จิมมี่ ชายชราคนหนึ่งเดินไปยังห้องใต้หลังคาที่ไม่ได้มาเหยียบหลายปีแล้ว

เขามาค้นรูปภรรยาใบเก่า ๆ แต่กลับเจอบันทึกลูกชายในวัยเด็ก ที่มีหยากไย่เกาะตรึม

เขาเปิดอ่านบันทึก แล้วก็แปลกใจว่ามีเรื่องที่ไม่ตรงกันกับความทรงจำของเขาอยู่

เขาหยิบบันทึกของตัวเองสมัยหนุ่มที่ทำงานหนัก เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวมาเทียบ

วันอังคารที่ 4 กรกรฎาคม

ในบันทึกของเขา: เสียเวลานั่งตกปลากับลูกชายทั้งวัน ไม่ได้ปลาสักตัว และไม่ได้งานอะไรเลย

ในบันทึกของลูกชาย: ได้ตกปลากับพ่อทั้งวัน เป็นวันที่สนุกที่สุดเลย!”

.

เรื่องข้างต้นคือบทนำของหนังสือ 24 ชั่วโมงที่ดีเริ่มตั้งแต่นาทีแรกที่คุณตื่น (The art of being brilliant)

ที่เขียนโดย Andy Cope และ Andy Whittaker

คนแรกดีกรีป.เอกด้านจิตวิทยา ตีพิมพ์งานวิจัยด้านจิตวิทยาเชิงบวกมาหลาย paper เป็นโค้ช เป็นวิทยากร และเป็นคนเขียนหนังสือเด็ก!!

.

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องหลักจิตวิทยาเชิงบวก การคิดบวก และการมีพลังบวกในชีวิตแต่ละวัน

รวมไปถึงเทคนิคที่จะทำให้เรากลายเป็นคนคิดบวกได้

.

เป็นอีกเล่มที่ส่วนตัวชอบสไตล์การเขียน ที่มีมุกตลกแบบจิดกัดสอดแทรกอยู่ตลอดเล่ม

อ่านสนุก ชอบตัวอย่างที่หนังสือเล่า เห็นภาพตามคอนเซ็ปต์มาก แม้หลายเรื่องจะงง ๆ ว่าได้อะไรกลับมาก็ตาม (ฮา)

แต่โดยรวมแล้วนับว่าเป็นหนังสืออีก 1 เล่มที่สอนให้เราลองปรับมุมมองให้ตัวเองคิดบวกบ้าง

.

ลองกลับมาดูตัวอย่างในบทนำ

จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า จิมมี่เป็นคนคิดลบมาก เมื่อเจอกับวันที่ต้องเสียเวลากับลูกชายทั้งวัน ก็หงุดหงิด รู้สึกว่าไม่ได้งานอะไร

เพราะกำลังอยู่ในวัยสร้างตัว ต้องเร่งทำงานให้ได้มาก ๆ

ในขณะที่ลูกชายวัยเด็กรู้สึกดีใจมากที่ได้ใช้เวลากับพ่อทั้งวัน

แน่นอนว่า ถ้าจิมมี่คิดอีกแบบ ว่าเป็นอีกวันที่ดีในชีวิตที่ได้ใช้เวลากับลูกชายทั้งวัน

เขาก็จะมองชีวิตตัวเองแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

.

หนังสือเล่าว่า ตามงานวิจัยของผู้เขียนแล้ว โดยเฉลี่ยมีเพียง 2% ของคนทั้งหมดที่มีพลังบวก และรู้สึกยอดเยี่ยมสุด ๆ กับชีวิตในทุก ๆ วัน

คนส่วนใหญ่จะถูกเหล่า ‘มนุษย์ดูดอารมณ์’ สร้างความหงุดหงิด ทำให้คิดลบ เบื่อโลก และรู้สึกแย่สุด ๆ กับชีวิตตัวเอง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็คงอยากจะเปลี่ยนตัวเองจากคนคิดลบ ให้กลายเป็นคนที่มีพลังบวกแผ่ไปให้คนรอบข้างบ้าง

.

แล้วเราจะทำยังไงถึงจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

หนังสือนำเสนอหลักการ 6 ข้อที่ใช้เป็นตัวช่วยได้

.

โดยรวมแล้วหนังสือมีคอนเซ็ปต์ที่เบาบาง และเยิ่นเย้อไปสักหน่อย

เรื่องเล่ามีมาก บางเรื่องเหมือนเป็นส่วนประกอบที่ไม่ได้ตรงประเด็นเท่าไหร่

แต่เรื่องเล่าสนุก ฝีมือคนเขียนหนังสือให้เด็กมีความแพรวพราว และมีรูปประกอบดี ๆ ตลอดเล่ม

ความยาวปานกลาง มีแบบฝึกหัดให้พักหายใจเป็นระยะ

ถ้าใครสนใจหนังสือคิดบวก ต้องหาอ่านให้ได้ครับเล่มนี้

.

สุดท้าย ขอสรุป 6 หลักการในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนคิดบวก ดังนี้ครับ

1) เลือกที่จะคิดบวก

เราควรใช้ชีวิตโดยยึดหลักการคิดบวกให้มากที่สุดในแต่ละวัน

เพราะเราต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป

ช่วงเวลาดี ๆ ที่เราจะใช้กับลูก ๆ ของเราได้ก็เช่นกัน

ทุกอย่างมีเวลาจำกัด

.

แทนที่เราจะปฏิเสธลูกไม่ยอมไปทำกิจกรรมร่วมกัน และนั่งขี้เกียจบนโซฟาอ่านข่าวกีฬาของเราต่อไป

เราแค่ยอมไปกับลูก ไปทำกิจกรรมที่ลูกอยากทำ

และวันนั้นอาจเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตเรา !

.

เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้ว ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ “กฎ 4 นาที” ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

นั่นคือ ทุกครั้งที่เจอหน้าลูก ๆ สามี ภรรยา คนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือใครก็แล้วแต่

ให้เราใช้พลังบวกของเราอย่างเต็มที่ใน 4 นาทีแรกที่เจอ

เพราะส่วนใหญ่หลังจาก 4 นาทีนั้น คนเหล่านั้นก็หันไปสนใจอย่างอื่นหมดแล้ว

เราจึงสามารถใช้ 4 นาทีเพื่อสร้างพลังบวกดี ๆ ถ่ายทอดออกไปให้คนที่เราเจอได้


.

2) ทำความเข้าใจผลกระทบของตัวเอง

คนเรามักจะคิดถึงแต่ผลกระทบของคนอื่นต่อตัวเรา

แต่มักลืมว่าตัวเราเองก็สร้างผลกระทบต่อคนอื่นได้เหมือนกัน

.

เช่นเดียวกัน คนเราถูกรายล้อมด้วยกระตุ้นต่าง ๆ มากมาย

แต่เราเองก็ทำตัวเป็นตัวกระตุ้นได้เช่นกัน

.

ตัวกระตุ้นก็คือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เราเจอ อาจมีทั้งดี และไม่ดี และก่อให้เกิดอารมณ์หลากหลายรูปแบบ ทั้งสุข เศร้า โกรธ ฟิน

.

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราเจอค่าทางด่วนขึ้นราคา!! เราจะโมโหแค่ไหน

ตอนจ่ายเงินคงจะหน้าบูด และอารมณ์เสียใส่คนเก็บค่าผ่านทาง

.

แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่ เป็นเราจ่ายให้คนข้างหลังด้วยละ!

แม้คนเก็บค่าผ่านทางจะงง ลังเลว่าทำอย่างไรดี และคนข้างหลังบีบแตรด่า

แต่ถ้าสุดท้ายเขายอมรับไป และบอกคนข้างหลังว่าคนข้างหน้าจ่ายมาให้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น

จริงอยู่ว่า คนเก็บค่าผ่านทางอาจเก็บเงินนั้นไว้เอง และเรียกเก็บค่าผ่านทางจากคนข้างหลังต่อ

แต่ถ้าเราคิดอีกแบบ คนเก็บค่าผ่านทางเล่าอย่างยินดีว่า คนข้างหน้าได้จ่ายเงินให้แล้ว และรถคันถัดไปก็ทำแบบเดียวกัน คือจ่ายเงินให้คนข้างหลังอีกเรื่อย ๆ

การกระตุ้นของเราครั้งเดียว คงจะทำให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่แห่งพลังบวกไปอีกไกล

.

.

3) แสดงความรับผิดชอบต่อตัวเอง

จงจำไว้ว่า

10% ของชีวิตมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา

แต่ 90% ของชีวิตขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกตัดสินใจที่จะตอบสนองต่อ 10% นั้นอย่างไร

.

10% แรกเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น โดนขับรถปาดหน้า รถติดไปทำงานสาย เครื่องซักผ้าที่บ้านเสีย เพื่อนร่วมงานก่อปัญหา

แต่เราสามารถเลือกตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้ได้

เราเลือกที่จะคิดบวก และลงมือแก้ไขปัญหาในเชิงบวก

มากกว่าที่จะหงุดหงิด แสดงพฤติกรรมแย่ ๆ และทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

.

ตัวอย่างเช่น ในตอนเช้า ลูกเราเผลอทำกาแฟหกใส่เสื้อเรา - นี่คือเหตุการณ์ 10%

การตอบสนองแบบ A: เราโมโห ตวาดลูก และบอกภรรยาให้คุมลุกดี ๆ หน่อย ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อโดยกำลังหงุดหงิด ทำให้ลืมหยิบกระเป๋าเอกสารไปทำงาน

ลูกหน้ามุ่ยใส่เราตอนไปโรงเรียน ไม่พูดกับเราสักคำ เราไปถึงที่ทำงานสาย หน้าตาบึ้งตึง เผลอไปพูดจาแย่ ๆ กับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน แถมโดนหัวหน้าด่าเรื่องลืมกระเป๋าเอกสาร

กลับมาบ้านเจอภรรยาและลูกหน้าเซ็ง ๆ บรรยากาศมาคุไปทั้งบ้าน

วันทั้งวันของเราพัง โดยทั้งหมดเกิดจากกาแฟแค่แก้วเดียว

.

การตอบสนองแบบ B: เราบอกลูกว่าไม่เป็นไร รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ ส่งยิ้มให้ลูกตอนส่งเธอไปโรงเรียน ไปถึงที่ทำงานเร็ว หยิบกระเป๋าเอกสารมาด้วย พูดคุยสนุกสนานกับเพื่อนที่ทำงาน ได้รับคำชมจากหัวหน้า กลับมาบ้านดินเนอร์กับครอบครัวอย่างอบอุ่น

.

เหตุการณ์เดียวกัน ตอบสนองต่างกัน ก็ทำให้เกิดผลลัพธ์ต่างกันมหาศาล

.

.

4) มีความสามารถในการก้าวข้ามปัญหา

หลายครั้งที่สถานการณ์ในชีวิตก็ทำให้เราคิดบวกไม่ออกเลยจริงๆ

เช่นในตอนที่ เราต้องเผชิญกับการตกงาน การหย่าร้าง การสูญเสียคนรัก

.

สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรากลายเป็นขาว 2 % ได้คือ การเลือกที่จะคิดบวก

ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นจะไม่คงอยู่ตลอดไป

แทนที่จะจมอยู่กับปัญหาและความคิดเชิงลบ เราต้องโฟกัสไปที่การแก้ปัญหา

ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่สักแค่ไหนก็ตาม

.

.

5) ตั้งเป้าหมายทิ่ยิ่งใหญ่

ตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ไว้บนยอด แต่ซอยเป้าหมายย่อยลงมาเป็นพีระมิดที่ประกอบด้วยอิฐหลาย ๆ บล็อค

โดยแต่ละบล็อค คือเป้าหมายย่อย ๆ ที่ต้องทำให้สำเร็จไปเรื่อย ๆ

.

เพราะถ้าเรามองแต่เป้าหมายใหญ่ แล้วใส่ความพยายามลงไป แต่ไม่เห็นผล เราก็คงรู้สึกเหนื่อยล้า พลังบวกและความกระตือรือร้นก็คงจะค่อย ๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว

.

ตัวอย่างเช่น ตอนเหตุการณ์ตึกเวิร์ลเทรดถล่ม 11 กันยา มีการพาสุนัขตำรวจไปทำภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต โดยใช้จมูกดมกลิ่น

สุนัขตำรวจเหล่านี้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้เท้าจะพอง และมีเลือดออกแต่ก็ยังค้นหาต่อไป

แต่ปรากฎว่า ค้นหาไปเรื่อย ๆ กับไม่พบผู้รอดชีวิตเลย แม้จะเจอร่าง แต่ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตหมดแล้ว

สุนัขเริ่มหมดกำลังใจและอยากเลิกภารกิจ

จึงต้องมีคนปลอมตัวเป็นผู้รอดชีวิตไปนอนอยู่ใต้ซากตึก ให้สุนัขดมหาเจอ

เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงกำลังใจของสุนัข

.

คนเราก็เหมือนกัน ถ้าเราทำภารกิจอะไรสักอย่าง แล้วไม่เห็นผลลัพธ์อะไรเลย

เราก็คงหมดกำลังใจ การหารางวัลมาหล่อเลี้ยงกำลังใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

.

.

6) หยิบจุดแข็งของตัวเองออกมาใช้

ลองนึกถึงโรงเรียนแห่งสัตว์ ที่มีสัตว์มากมายหลายประเภทมาเรียนรวมกัน

มีหลายวิชาที่ต้องลงทะเบียนทั้ง วิ่ง ปีนต้นไม้ บิน ว่ายน้ำ

ปลาว่ายน้ำเก่ง แต่สอบตกทั้งวิชาปีน บิน และวิ่ง

นกอินทรี บินเก่งมาก โกงวิชาปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องปีน แต่บินไปบนยอดเลย แต่ตกว่ายน้ำ

กระรอก ปีนต้นไม้เก่งมาก บินกับวิ่งก็พอได้ แต่ว่ายน้ำก็เกรด C

สุนัขขัดขืนไม่ยอมเรียนวิชา บินกับปีน เกือบจะกัดอาจารย์แล้ว!!

.

ข้อคิดคือสัตว์แต่ละตัวย่อมมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง

คนเราก็ไม่ต่างอะไรกัน

เราอาจไม่ต้องปิดจุดอ่อนทั้งหมดก็ได้ เอาเวลาไปพัฒนาจุดแข็ง และต่อยอดให้โดดเด่นจะดีกว่า

หลายคนที่เอาเวลาไปไล่พัฒนาทักษะอื่นที่ไม่เก่ง แค่ให้พอเทียบเท่ากับคนอื่นได้ อาจเสียเวลาไป โดยไม่ทำให้ตัวเองมีอะไรเด่นขึ้นมาเลย

.

.

....................................................................................................................

ผู้เขียน: Andy Cope, Andy Whittaker

ผู้แปล: ปฏิพล ตั้งจักรวรานนท์

สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WeLearn)

จำนวนหน้า: 256 หน้า

หมวดหมู่: จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง , การพัฒนาตัวเอง how to

....................................................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #24ชั่วโมงที่ดีเริ่มตั้งแต่นาทีแรกที่คุณตื่น #Theartofbeingbrilliant




1,346 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page