รีวิวหนังสือ: พลังแห่งความเคยชิน (The Power of Habit) . . …... สุดยอดหนังสืออีก 1 เล่มที่มีประโยชน์อย่างมากในการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน ว่าด้วยเรื่องของ 'การเปลี่ยนแปลงนิสัย' . ..... ว่าด้วยเรื่องของนิสัย เรื่องง่ายๆที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่น้อยคนนักที่จะให้ความสำคัญกับมัน ทั้งที่จริงๆแล้วมันสำคัญมากๆ นิสัยสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในระดับบริษัท หรือในระดับสังคม ซึ่งนี่เองคือสิ่งที่หนังสือทั้งเล่มพยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่ในทีนี้ผมดึงแค่หัวข้อเรื่องที่น่าสนใจบางอันเอามาเขียนสรุปและวิเคราะห์ครับ เพราะไม่สามารถเขียนทั้งหมดได้ เนื่องจากรายละเอียดเยอะมาก มากแบบมากจริงครับ .
. .... ตัวหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือ นิสัยของบุคคล, ส่วนที่ 2 คือ นิสัยขององค์กร และ ส่วนที่ 3 คือ นิสัยของสังคม ความยาวทั้งหมดประมาณ 360 หน้า แต่บทมีการอธิบายละเอียดพอสมควร เรียกว่าต้องใช้เวลาในการอ่านอยู่เหมือนกันครับ .
. ... ในส่วนแรกหนังสือ (ส่วนที่1) จะเล่าที่มาที่ไปของคำว่านิสัย นิสัยเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ย้อนกลับไปกันที่เมื่อนักวิจัยทางจิตวิทยาค้นพบคำว่านิสัยจาการศึกษาผู้ป่วยความจำเสื่อมแต่ยังสามารถจำทางกลับบ้านได้ ด้วยเกิดจากการผู้ปวยเดินเป็นประจำทุกวัน จนสมองส่วน 'เบซัล แกงเกลีย' เก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นกลุ่มก้อนและแสดงพฤติกรรมออกมาโดยอัตโนมัติ . .. จากนั้นหนังสือจึงพาเราไปพบกับ 'วงจรนิสัย' ซึ่งตรงนี้จัดว่าเป็นพระเอกของเรื่องเลย นั่นก็คือ เริ่มจาก 'สิ่งกระตุ้น' ก่อให้เกิด 'กิจวัตร; และผลลัพธ์ออกมาในรูป 'รางวัล' แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้วงจรหมุนเป็นวงกลมและเกิดต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือ 'ความโหยหา' องค์ประกอบสุดท้ายของวงจรนิสัย . .. หลังจากจบเรื่องวงจรนิสัยก็จะมีการยกตัวอย่างเพิ่มเติมเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ตั้งแต่เรื่องคนติดเหล้า, ผู้หญิงชอบกัดเล็บไปจนถึง การทำการตลาดของยาสีฟันเปปโซเดนท์ และสารดับกลิ่นฟีบรีส, กลยุทธ์การเล่นอเมริกันฟุตบอล ซึ่งตรงนี้ผมว่าอ่านเพลินมากๆครับ เหมือนได้อ่านประวัติบุคคลไปพลางๆด้วย .
. .. มาถึงส่วนที่ 2 จะเป็นการประยุกต์เรื่องราวนิสัยกับการทำงานในบริษัทครับ ลักษณะก็เป็นการเล่าเรื่องหลายๆเรื่องเหมือนเดิม แต่บทนี้จะเน้นว่า 'การทำให้คนในองค์กรมีนิสัยที่ถูกต้อง จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้อย่างไร' ตัวอย่าเรื่องก็ วีรกรรมของ พอล โอนีลล์ที่นำนโยบายหลักเน้นความปลอดภัยของพนักงานทุกคนมาใช้ในการบริหารองค์กรเป็นนโยบายหลัก ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์เรื่องนิสัยรักความปลอดภัยของคนในองค์กร และกลายเป็นปฏิกริยาลูกโซ่ไปถึงนิสัยอื่น ทำให้เกิดประสิทธิภาพเรื่องคน แล้วก็ส่งผลไปถึงยอดขายและกำไร ตามๆมา จัดว่าอ่านแล้วน่าสนใจมากครับ .
. .. ในบทนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งการเทรนพนักงานของ Starbucks ให้รู้จักจัดการกับลูกค้าขี้โมโห ด้วยการใช้ 'พลังใจ (willpower)', กรณีศึกษานิับการสงบศึกและการถ่วงดุลซึ่งกันและกันของ หมอกับพยาบาลในโรงพยาบาล และ สถานีรถไฟใต้ดินกรุงลอนดอน ไปจนถึงเทคนิคเล็กๆน้อยอย่างการจดบันทึกที่เอาไว้ใช้แก้นิสัยได้ ถ้าให้เขียนสรุปออกมาทั้งหมดคงจะยาวเกินไปครับ .
. .. ขอเพิ่มเติมอีกเรื่องที่ผมอ่านแล้วชอบคือ เรื่อง 'การทำให้เพลงฮิต' คือเลือกให้เพลงๆหนึ่ง ฮิตขึ้นมา จากการศึกษานิสัยของผู้บริโภคว่า มักจะเลือกฟังเพลงที่ตัวเองรู้สึกคุ้นเคย ทำให้การออกเพลงแนวใหม่ทำได้ยาก นักการตลาดเหล่านี้จึงมักใช้เทคนิคเอาเพลงที่ต้องการให้ฮิตไปขั้นกลางระหว่างเพลงที่ฮิตอยู่แล้ว 2 เพลงครับ แล้วมันก็ติดหูจนได้ ผมอ่านแล้วก็ค่อนข้างทึ่่งในเรื่องนี้เหมือนกัน .
. .. ส่วนสุดท้าย (ส่วนที่3) เป็นการประยุกต์ใช้นิสัยกับสังคม ซึ่งน่าจะใหญ่ที่สุดละครับ เรื่องที่เอามาเขียนเล่าก็น่าสนใจอยู่คือ การขัดขืนเล็กน้อยของหญิงผิวสีคนหนึ่งบนรถ ่ก่อให้เกิดการคว่ำบาทรถประจำทางในเมือง และเป็นปฏิกริยาลูกโซ่แห่งการปฏิวัติการเลิกทาส เหมือนกับเป็นการจุดประกายให้คนในสังคมเกิดนิสัยใหม่ๆ ไม่ยอมให้เขากดหัวอยู่วันยังค่ำนั่นเองครับ .
. . เรื่องสุดท้ายที่ผู้เขียนนำมาเล่า ก็คือนิสัยที่ไปโยงกับกฏหมายและศีลธรรม ผู้ชายที่ลงมือฆ่าภรรยาโดยไม่รู้ตัว เพราะทำไปโดยนิสัย กับผู้หญิงที่ติดการพนันจนเงินหมดตัว เพราะเล่นจนเป็นนิสัย กรณีแรกนั่นกลายเป็นว่าเขาถูกตัดสินคดีว่าไม่ผิด ในขณะที่กรณีหลังกลับถูกกล่าวว่าผิด เป็นกรณีศึกษาที่น่าขบคิดมากครับ ที่ว่านิสัยก่อให้เกิดเรื่องแปลกๆเหล่านี้ได้ และยังอยู่ที่มุมมองคนอีกว่าอันไหนคือถูกอันไหนคือผิด (ส่วนตัวผมมองว่าผิดนะครับ 55) . . มีแถมอีกนิดหน่อยเรื่อง How to 'ขั้นตอนการฝึกเปลี่ยนแปลงนิสัย' ครับ ซึ่งเป็นส่วนที่มีประโยชน์มากๆ ไว้เอาไปประยุกต์ใช้จริงๆ คือ
. 1) ระบุกิจวัตรที่จะเปลี่ยน เช่น เปลี่ยนจากพฤติกรรมการกินคุ้กกี้ เป็น การเดินไปคุยกับเพื่อนแทน
. 2) ทดสอบรางวัลที่ได้ผลกับตัวเอง เช่น จากการกินคุ้กกี้หรือคุยกับเพื่อน ช่วยทำให้สมองผ่อนคลาย เกิดความกระปี้กระเป่า
. 3) มองหาสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดความโหยหารางวัล เช่น ทุกช่วงเวลาบ่ายสามโมง จะง่วงและมึน
. 4) ร่างแผนการที่เอาไว้ใช้จริง .
. . โดยสรุปแล้วหนังสือเล่มนี้มีประโยน์มากๆครับ สามารถเอาไปประยุกต์ใช้จริงได้อย่างแน่นอน จะเสียก็แต่ที่รายละเอียดในแต่ละเรื่องเล่านั้นเยอะมาก ต้องใช้ความอดทนในการอ่านนิดนึงครับ แต่ถ้าอ่านหมดเล่มนี่คุ้มแน่นอนครับ เกร็ดความรู้แน่นจริงๆ . . . เหมาะกับ : - อ่านได้ทุกคน โดยเฉพาะคนที่อยากเปลี่ยนแปลงนิสัย หรือพฤติกรรมของตัวเอง รวมถึงคนที่อยากพัฒนาตัวเองด้วย . . ผู้เขียน : Charles Duhigg สำนักพิมพ์ : We Learn ราคาหลังปก : 280.- แนวหนังสือ : จิตวิทยา/พัฒนาตัวเอง .
.
สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
. #หลังอ่าน #รีวิวหนังสือ #reviewหนังสือ #หนังสือจิตวิทยา #หนังสือพัฒนาตัวเอง #พลังแห่งความเคยชิน #สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยนิสัยแค่1%#thepowerofhabits
Kommentare