รีวิว คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น 2
- หลังอ่าน: รีวิวหนังสือ
- Nov 12, 2021
- 2 min read


รีวิว คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น 2
Book 2: บริหารเงินสไตล์นายธนาคารยิว
.
‘เราควรจะใช้ชีวิตโดยเป็นอิสระจากการเป็นทาสของเงิน’
.
คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น 2 เป็นหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับแนวคิดเกี่ยวกับเงินของเศรษฐี
เรียกว่าเป็นหนังสือที่สอนว่าถ้าเราอยากจะเป็นเศรษฐี เราควรจะเข้าใจอะไรเกี่ยวกับเงินบ้าง และเราควรจะมีมุมมองต่อเงินอย่างไร
กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ ‘เป็นหนังสือช่วยปรับมุมมองเกี่ยวกับเงิน’ นั่นเอง
.
เพราะฉะนั้นเล่มนี้เน้นไปที่เรื่อง ‘เงิน’ เพียงอย่างเดียว
จะต่างจากคิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น เล่มแรกที่เป็นการอธิบายหลักการใช้ชีวิตโดยรวม มี
.
โดยรวม เล่มนี้ไม่เชิงเป็นหนังสือ howto เท่าไหร่ เพราะมันมีบ้างที่อธิบายเป็นข้อๆว่าเราควรจะมองเงินอย่างไร แต่โดยรวมเน้นไปที่การทำความเข้าใจกับ ‘ธรรมชาติของเงิน’ และ ‘ธรรมชาติของเศรษฐี’ ผู้มีเงินอย่างมั่งคั่งมากกว่า
.
สำหรับวิธีการเล่าเรื่อง จะเป็นการสอนวิธีการใช้เงิน ผ่านบมทสนทนาของตัวละครเอก 2 ตัวเช่นเคย
โดยเป็นเหตุการณ์ต่อจากเล่มที่แล้ว ที่ชายหนุ่มตัวเอกได้สำเร็จวิชาจากอาจารย์ชาวยิวช่วงที่ไปฝึกงานอยู่อเมริกา
หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับไปใช้ชีวิตนักศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นไปอีกสักพัก
ตอนแรกๆที่กลับมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็มีไฟลุกโชน เขาตั้งใจใช้ชีวิตให้สุดเพื่อมุ่งหน้าสู่อนาคตที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ และจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้อย่างเศรษฐีชาวยิว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็เฉื่อยลง
และสุดท้ายกลายเป็นเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย สนุกกับเพื่อนไปวัน ๆ ตื่นสาย เข้าคลาสเรียนไปนั่งเฉย ๆ ให้หมดวัน แล้วตอนเย็นก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนต่อ
ชีวิตของชายหนุ่มกลายมาเป็นแบบนี้ไปสักระยะ จนกระทั่งเขาได้รับจดหมายจากอาจารย์ชาวยิวของเขา
.
เรียกได้ว่ามันเป็นจุดเปลี่ยน และเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้
คือตอนที่เศรษฐีชาวยิวเขียนจดหมายเพื่อแนะนำให้ชายหนุ่มบินไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์
เพื่อจะได้พบกับอาจารย์คนใหม่ที่สามารถสอนเขาในเรื่องการเงินได้
อาจารย์คนนี้เป็นเพื่อนของเศรษฐีชาวยิวนั่นเอง แต่เป็นคนสวิส
ด้วยวัฒนธรรมที่ต่างกัน ทำให้อาจารย์สวิสมีแนวคิดบางอย่างที่แตกต่างจากเศรษฐีชาวยิว
.
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีฉากหลังและบรรยากาศการดำเนินเรื่องในเมือง Geneva
สิ่งที่แตกต่างจากเล่มที่อีกอย่างก็คือ นิสัยของอาจารย์ คนนี้ไม่ได้ขี้แกล้งเหมือนเศรษฐีชาวยิว
และมีสาวสวยตาคมสไตล์ยุโรป เข้ามามีบทบาทสำคัญในเล่ม
คือเป็นคนที่ชายหนุ่มตกหลุมรักนั่นเอง
เรียกว่าช่วยสร้างสีสันให้หนังสืออ่านแล้วไม่น่าเบื่อ
.
ต้องบอกว่า พออ่านเนื้อเรื่องไปสักครึ่งเล่ม ก็จะเกิดความสงสัยว่า เนื้อหามันไม่มีอะไรเกี่ยวกับยิวเลยนี่หว่า
แต่เข้าใจว่า สำนักพิมพ์คงเลือกตั้งชื่อหนังสือให้เหมือนกับภาคแรกไว้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าหนังสือเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน
ใครที่อ่านภาษาญี่ปุ่นออก ก็รบกวนช่วยแปลให้ฟังทีนะครับ ว่าชื่อหนังสือภาษาญี่ปุ่นแปลเหมือนหรือแตกต่างอย่างไรกับหนังสือเล่มที่แล้ว
.
หลังอ่านจบเรียกว่าเป็นหนังสือที่ผมประทับใจมากเล่มนึง
เพราะว่าด้วยความที่มันมีเรื่องราว อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ
ตลอดเล่มมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดกับชายหนุ่มมาคั่นระหว่างบทเรียนแต่ละบท
ทำให้มีเวลาในการย่อยเนื้อหาได้
ทั้งยังทำให้เกิดความอยากรู้เพิ่มมากขึ้นด้วยว่า เหตุการณ์ชีวิตของชายหนุ่มจะเป็นยังไงในตอนต่อไป ถ้าใครมีเวลาก็แนะนำให้หยิบมาอ่านตอนว่าง ๆ ได้เลยครับ
.
.
ส่วนสรุปเนื้อหา ผมขอแบ่งออกมาเป็น 11 เรื่องสำคัญที่อาจารย์ชาวสวิส ได้สอนชายหนุ่มนะครับ
.
1) ‘เราควรที่จะใช้ชีวิตโดยเป็นอิสระจากการเป็นทาสของเงิน’
เราไม่ควรถูกเงินบังคับว่าต้องทำอย่างนู้นอย่างนี้ เราควรเลือกใช้ชีวิตจากความสุข ไม่ใช่จากเงิน
.
อธิบายง่าย ๆ โดยเปรียบเทียบกับเหตุการณ์การประกาศเลิกทาสของประธานนาธิบดีลินคอร์น ในสหรัฐอเมริกา
หลังจากประกาศเลิกทาสแล้วก็ยังมีคนที่ใช้ชีวิตแบบเดิม คือยังทำตัวเป็นทาสรับใช้อยู่
คนพวกนี้ลืมคิดไปว่า เขามีอิสรภาพในการเลือกงานและเลือกใช้ชีวิตได้
.
ไม่ต่างอะไรกับหลายคนที่ยังคงตกเป็นทาสของเงินอยู่
หลายคนเลือกซื้อของจากราคาเพียงอย่างเดียว
.
เราควรตระหนักและคิดใหม่ว่า เรามีอิสรภาพในชีวิต และไม่ใช่ทาสของเงิน !
.
.
2) ‘มนุษย์เรามีทัศนคติต่อเงินที่แตกต่างกัน’
โดยโลกที่อาศัยอยู่ก็มีผลทำให้เราคิดกับเงินต่างกัน
เช่น เมื่อเปรียบเทียบเงินกับน้ำ คนที่อยู่ในโลกที่หนาวเย็นจะมองน้ำเป็นน้ำแข็งและหยิบมันมากอดไว้อย่างแน่นจนบางครั้งถูกน้ำแข็งกัด
ส่วนคนที่อยู่บนโลกที่อุ่นขึ้นมาหน่อยก็จะพยายามตักน้ำเข้ามาหาตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด เหมือนกับการสร้างบ่อน้ำไว้ข้าง ๆ แม่น้ำที่ไหลผ่านมาอยู่เรื่อย ๆ
.
ส่วนคนที่อยู่ในที่อบอุ่นนั้น จะทำเหมือนเศรษฐีคือ มองเงินเป็นเหมือนไอน้ำหรืออากาศ
ไม่มีใครที่มานั่งสูดอากาศไปให้ได้มากที่สุด
เขาเพียงแค่เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ทำอยู่เท่านั้น
.
เรื่องทัศนคติต่อเงินนั้น ยังทำให้เห็นได้ว่า คนเรามองเงินได้หลายแบบมาก
โดยมีทั้งในด้านบวกและลบ
ในด้านลบก็เช่น
เงิน= อำนาจ
เงิน= อิสรภาพ
เงิน= ความอุ่นใจ ความมั่นคง
เงิน = คุณค่าของตัวเอง
เงิน= สิ่งสกปรก สิ่งชั่วร้าย
เงิน= มิตรภาพ
.
ส่วนในด้านบวกก็เช่น
เงิน= การสนับสนุน
เงิน=ความรัก
เงิน= ความรู้สึกขอบคุณ
.
จะเห็นได้ชัดว่าการมองเงินในด้านบวกจะส่งผลดีต่อเราอย่างมหาศาล
.
นอกจากนี้มนุษย์ยังมีเหตุผลอันหลากหลายในความต้องการที่จะครอบครองเงิน
ได้แก่ เพื่อให้ดำเนินชีวิตไปได้ เพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ เพื่ออำนาจ เพื่อมิตรภาพ ความรัก สังคม เพื่ออิสรภาพ เพื่อแก้แค้นสังคม และเพื่อแสดงความรัก มิตรภาพและคำขอบคุณ
.
เมื่อเรามองเงินในด้านบวกแล้ว เราก็ควรที่จะอยากได้เงินมาเพื่อเอาไว้แสดงความรัก มิตรภาพและคำขอบคุณต่อคนรอบ ๆ ตัวเรา
.
.
3) จงเยียวยาแผลใจตอนเด็ก
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการปรับทัศนคติที่คนเรามีต่อเงินคือ การเยียวยาแผลใจที่มีไว้ตอนเด็ก
เราอาจต้องการเงินเยอะ ๆ ต้องการเป็นเศรษฐีเพียงเพื่อต้องการลบปมที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเงินในตอนเด็ก
พ่อแม่อาจไม่ได้มีเงินให้เรามากอย่างที่เราต้องการ
หรือท่านทั้งสองต้องทำงานหนักเพื่อที่จะได้เงินมา
บางครั้งเราจึงเกิดปมขึ้นในใจว่า โตขึ้นจะต้องหาเงินให้ได้มากๆเพื่อช่วยพ่อแม่ หรือเพื่อไม่ให้ลูก ๆของตัวเองต้องเผชิญเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เราเผชิญมา
.
เราต้องเข้าใจว่า เราเปลี่ยนแปลงได้
จงกอดเด็กคนนั้นไว้ให้แน่น แล้วบอกว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว
.
วิธีนี้คือการบำบัดทางจิตวิทยาที่ใช้บำบัดคนที่มีปมในอดีต
.
.
4) รู้จักคน 9 ประเภทที่ปฏิบัติต่อเงินต่างกัน
ประเภทที่ 1: ‘คนมือเติบ’
มีเงินไว้ใช้เพื่อความบันเทิง พวกผีช็อปปิ้ง ชอบซื้อเข้าบ้านเยอะ ๆ
แต่ซื้อเสร็จก็ไม่เคยใช้เลย
พวกนี้เก็บเงินแทบไม่อยู่
.
ประเภทที่ 2: ‘คนขี้เหนียว’
พวกนี้จะพิจารณาถึงเงินเป็นเรื่องแรก ๆ เมื่อต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
ถ้าต้องใช้เงินก็จะเลือกไม่ทำกิจกรรมนั้น ๆ
วันหยุดมักนอนอยู่บ้านเฉย ๆ
ถ้าเด็กคนไหนเจอพ่อแม่แบบนี้ ก็มักจะมีชีวิตวัยเด็กที่โหดร้ายเหลือทน
.
ประเภทที่ 3: ‘คนฟุ่มเฟือยที่ขี้เหนียว’
คนกลุ่มนี้ปกติจะมีพฤติกรรมเหมือนคนขี้เหนียว แต่อยู่ก็ควักเงินก้อนโตมาใช้ดื้อ ๆ
ทำให้ไม่ค่อยมีเงินเก็บเท่าไหร่
.
ประเภทที่ 4: ‘คนชอบออมเงิน’
เป็นกลุ่มคนที่ถูกพ่อแม่สอนมาตั้งแต่เด็กให้รู้จักเก็บออมเงินใหได้เยอะ ๆ
แต่ไม่เคยเอาเงินไปลงทุนทำอะไรสักอย่าง
.
ประเภทที่ 5: ‘คนขี้กังวล’
คนพวกนี้จะกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าในอนาคตจะมีเงินใช้มั้ย
มื้อนี้เพื่อนจะเลี้ยงรึเปล่า
ถึงจะเป็นเศรษฐีแล้ว แต่เขาก็ยังกลัวอยู่ว่าวันหนึ่งเงินจะหมดไป
.
ประเภทที่ 6: ‘คนไม่สนเงิน’
คนพวกนี้สนใจแต่งานที่ตัวเองชอบหรือทำแต่สิ่งที่เองรัก
เขาไม่ได้สนว่ามันทำเงินให้กับเขาเท่าไหร่
จริงๆแล้วคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มที่มีความสุขและความสงบในใจมาก
.
ประเภทที่ 7: ‘คนสมถะ’
คนพวกนี้มักเชื่อว่าเงินเป็นสิ่งสกปรก ไม่ว่าจะเพราะจากศาสนาหรืออะไรก็ตาม
เขาพยายามทำตัวเองออกห่างจากเงิน เพราะคิดว่าเงินเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจต่ำลง
ซ้ำร้ายพวกเขายังไม่ชอบใช้เงินด้วย เพราะคิดว่ามันคือการแสดงออกถึง ความโลภ
.
ประเภทที่ 8: ‘คนเสพติดการหาเงิน’
คนกลุ่มนี้ชอบหาเงินเป็นอย่างมาก ไม่ได้สนใจว่าจะได้เงินก้อนใหญ่เสมอไป
แต่จะเพลินมากเมื่อทำงานที่ได้เงิน
และมักจะเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องการใช้เงินด้วย
.
ประเภทที่ 9: ‘คนที่เป็นเศรษฐีที่มีความสุข’
เป็นกลุ่มคนที่มีเงินใช้มากมาย ขนาดที่ว่าใช้ยังไงก็ไม่หมด
และพร้อมกันนั้นเขายังช่วยให้คนรอบข้างมีเงินและมีความสุขไปด้วย
ชีวิตของคนกลุ่มนี้จึงเต็มไปด้วยความสุข และหมดความกังวลเรื่องเงิน
นอกจากนี้เขายังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอีกด้วย
.
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในครอบครัวเดียวกัน มักจะมีคนที่มีวิธีปฏิบัติต่อเงินที่แตกต่างกันอยู่
เช่น ถ้าพ่อแม่เป็นคนประหยัด ทำงานหนักเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว
และได้ถ่ายทอดนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ให้พี่คนโตแล้ว
ส่วนมากน้องคนเล็กจะหลายเป็นคนใช้เงินเก่ง เป็นพวกมือเติบ
.
เรื่องนี้อธิบายได้ด้วย เรื่องของ ‘สมดุลในครอบครัว’ คือจะมีคนหนึ่งจะเป็นคนที่ทำตาพ่อแม่ให้พ่อแม่สบายใจ ในขณะที่อีกคนจะต่อต้านและทำตรงข้ามกับพ่อแม่
.
.
5) จงหาเงินอย่างสง่างาม
หลักสุนทรียศาสตร์ของการเป็นเศรษฐี ก็เป็นอีกเรื่องที่คนทุกคนควรตระหนักไว้
โดย ‘เราควรหาเงินอย่างสง่างาม ด้วยการทำให้คนจำนวนมากมีความสุขและมั่งคั่ง’
ไม่ใช่คิดแต่วิธีที่จะหาเงินได้จำนวนมาก ๆ อย่างเดียว
.
นี่เป็นวิธีการหาเงินที่ทำให้เรามีสิทธิที่จะภาคภูมิใจ
คนจำนวนมากก็ยกย่องนับถือ และพร้อมมอบเงินเหล่านั้นให้เราด้วยความเต็มใจอีกด้วย
.
.
6) เข้าใจทักษะการหาเงิน
แบ่งเป็นขั้นตอนย่อย 8 ข้อ ตั้งแต่
- ทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของเงิน
- รู้จักวิธีการหาเงิน
- เพิ่มช่องทางการหารายได้
- เพิ่มรายได้
- สร้างระบบ
- ทำให้ผู้คนมีความมั่งคั่ง
- อ่านกระแสของยุคสมัยให้ออก
- และศึกษาเรื่องการจัดเก็บภาษีและกฎหมาย
.
7) รู้จักมีไหวพริบเรื่องเงิน
นอกจากจะเก่งด้านการหาเงินแล้ว เราควรจะเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติที่ถูกต้องกับเงินอีกด้วย
เริ่มจาก
- เรียนรู้ที่จะรับเงิน
- เพลิดเพลินไปกับเงิน
- รู้สึกขอบคุณเงิน
- ใช้เงินเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกยินดี
- ปล่อยตัวเองไปตามกระแสเวลาที่เหมาะสม
- ไว้วางใจความมั่งคั่งของตัวเองและคนรอบข้าง
- แบ่งบันเงิน
- และใช้เงินบำบัดจิตใจผู้อื่น
.
.
8) บัญชีธนาคาร 5 ประเภทของเศรษฐี
1. บัญชีเศรษฐี – เป็นบัญชีที่ห้ามถอนเงินออกมาเด็ดขาดตลอดชีวิต มีแต่ให้นำเงินฝากเข้าไปเรื่อยๆ เป็นบัญชีที่ทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดความมั่งคั่ง
.
2. บัญชีประจำวัน – เป็นบัญชีเพื่อการดำรงชีวิตในแต่ละวัน
.
3. บัญชีเพื่อการลงทุนเพื่อตัวเอง – เอาไว้เข้าร่วมงานสัมมนา และซื้อหนังสือ
.
4. บัญชีของขวัญ – เป็นบัญชีที่มีไว้เพื่อมอบของขวัญให้คนอื่น การให้ของขวัญคนอื่นจะทำให้คนอื่นรู้สักประทำใจ จึงจัดเป็นการเพิ่มความมั่งคั่งไปในตัวด้วย
.
5. บัญชีการลงทุน - เอาไว้ใช้ลงทุนโดยเฉพาะ
.
หนังสือยังแนะนำให้รู้จักกับ Private bank ซึ่งเป็นธนาคารที่พบได้ในประเทศแถบยุโรป
โดยเป็นธนาคาร ‘สำหรับเศรษฐี’ จากทั่วทุกมุมโลก
ธนาคารจะทำหน้าที่ปกป้องและช่วยบริหารทรัพย์สิน รวมไปถึงเสนอบริการต่างๆที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเศรษฐี
โดยรวมแล้วเป็นธนาคารที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จักกันเพราะธนาคารนี้จะรับแต่ลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือในสังคมและมีทรัพย์สินหลายร้อยล้านบาทขึ้นไป
.
.
9) กฎ 6 ข้อในการทำธุรกิจ
1. ทำให้คนอื่นดีใจ
2. ทำให้คนจำนวนมากมีส่วนร่วม
3. เป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดได้
4. เป็นธุรกิจที่ทำให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมมีความสุข
5. ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาอุดหนุนซ้ำ
6. และสร้างความประทับใจ ตลอดจนความรู้สึกขอบคุณและการเยียวยาทางจิตใจ
.
.
10) ชีวิตคู่กับเงิน
หนังสือแนะนำว่า การมีชีวิตคู้ที่มีความสุขจะช่วยดึงดูดเงินจำนวนมากเข้ามาได้ เพราะว่า
1. ถ้าเราสามารถทำให้คู่ของเราไว้วางใจเราได้ เราก็จะสามารถทำให้ลูกค้าคนอื่นๆไว้วางใจเราได้เช่นกัน
.
2. ชีวิตคู่ทำให้เราตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะหาเงินมาเพื่ออะไร เพื่อทำให้คู่ของเราดีใจนั่นเอง
.
3. ไม่มีรายจ่ายที่สิ้นเปลือง ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าถ้าเรามีความพึงพอใจกับชีวิตคู่ เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปซื้อของไม่จำเป็นเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่าของเรา
.
4. ดึงดูดโอกาสเข้าหาตัวมากขึ้น เพราะว่าความรู้สึกมั่นคงที่เรามี
.
.
11) ปลดปล่อยเงินให้เป็นอิสระ
บทเรียนสุดท้ายของอาจารย์ชาวสวิสในเล่มนี้คือเรื่อง ‘การปลดปล่อยเงินให้เป็นอิสระ’
อันหมายถึงการปลดปล่อยความรู้สึกต่าง ๆ ทั้ง โกรธ เกลียดชัง อิจฉาและยินดี จากเงิน
หรืออธิบายได้ว่าเมื่อคิดถึงเงิน ก็อย่าไปมีความรู้สึกเหล่านี้ เพราะความรู้สึกเหล่านี้มักทำให้คนเรามีอคติกับเงิน และกลายเป็นทาสเงินได้ในที่สุด
.
จริง ๆ แล้วมีเนื้อหาปลีกย่อยอีกเยอะมาก ยังไงลองไปหาซื้อหนังสือเล่มเต็มมาอ่านกันดูนะครับ
.
.
………………………………………………………………………….
ผู้เขียน : ฮอนดะ เคน
ผู้แปล : โยซุเกะ
จำนวนหน้า: 272 หน้า
สำนักพิมพ์ : Welearn
แนวหนังสือ : พัฒนาตัวเอง, การเงินการลงทุน
…………………………………………………………………………..
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.

Comments