top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิวหนังสือ: กินกบตัวนั้นซะ!




รีวิว กินกบตัวนั้นซะ!

Eat That Frog!

.

.

เหตุผลที่คิดว่าเหมาะกับการอ่านก่อนอายุ 30 - คิดว่าเล่มนี้เหมาะกับการอ่านเป็นพื้นฐานที่เหมาะกับคนอยากเปลี่ยนนิสัยมาก เพราะมี howto บอกชัดเจนในแต่ละข้อ

.

- ในวัยก่อน 30 ที่หลายๆคนคงอยากตั้งเป้าหมายใหม่ หาทิศทางใหม่ให้ชีวิต การเปลี่ยนนิสัยในการดำเนินชีวิตก็มักเป็นสิ่งแรกๆที่ควรทำ ดังนั้นหนังสือจึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยได้เยอะมาก

.

- ปัญหาการผัดวันประกันพรุ่ง และการเลื่อนทำงานสำคัญ ดูเหมือนจะเป็นปัญหาหลักสำหรับคนใน Gen Y การปรับชุดความคิด และพฤติกรรมเพื่อให้ลงมือกินกบตัวเป้งๆซะก็ดูจะเป็นเรื่องจำเป็น

.

.

สุดยอดหนังสือ HowTo สุดคลาสสิคจาก Brian Tracy นักเขียน, นักพูด และนักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก ที่มีชื่อเสียง

.

คือหนังสือเล่มนี้นานแล้วครับ แต่ผมคิดว่าเนื้อหาข้างในนั้นยังคงใช้ได้และน่าจะยังนำไปใช้ได้อีกเรื่อยๆเลยครับ ถือเป็นหนังสือที่มีประโยชน์อย่างมากในการอ่าน และก็ข้อดีอีกข้อคือ สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพราะหนังสือให้ howto มาแบบชัดๆเลย

.

.

เนื้อหาหลักๆของหนังสือเกี่ยวข้องกับ ‘การบริหารจัดการเวลาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด’ ทำงานให้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง และก็ลดการผัดวันประกันพรุ่งไปครับ

.

คำว่า ‘กบ’ ของ Brian Tracy ก็หมายถึง ‘งานชิ้นใหญ่ หรือ งานยาก’ ที่ต้องใช้พลังงานและความทุ่มเทในการทำอย่างมาก เขาเลยเอามาเปรียบเทียบเป็นกบที่น่าขยะแขยงครับ ซึ่งการกินกบตัวนั้นเข้าไป (ตามชื่อหนังสือ) ก็หมายถึงการเผชิญหน้ากับงานที่น่าขยะแขยงนี้และจัดการทำมันซะให้เสร็จ

.

คิดว่าการเปรียบเทียบกับการกินกบ เป็นอะไรที่เห็นภาพมาก และช่วยให้หนังสือโด่งดัง และยังเป็นแรงบันดาลใจในกลุ่มหนังสือ howto เล่มอื่นๆที่หยิบเทคนิคจากหนังสือเล่มนี้ไปใช้ต่ออีกมาก

.

หนังสือไม่มีงานวิจัยอะไรซับซ้อน เน้นที่เทคนิคหลัก มีตัวอย่างประกอบเพียงเล้กน้อยเพื่อความเข้าใจ

.

หนังสือแบ่งออกเป็นเทคนิค 21วิธีในการช่วยให้เราหยุดผัดวันประกันพรุ่ง และลงมือกินกบตัวใหญ่ตรงหน้านั่นซะ ซึ่งผมจะสรุปไว้เป็นแต่ละข้อสั้นๆนะครับ . ...


1) ‘กำหนดเป้าหมาย’ ของตัวเราเองให้ชัดเจน แล้วจดลงกระดาษไว้

.

2) ‘เปลี่ยนเป้าหมายเป็นแผนการ’ การวางแผนช่วยประหยัดเวลาในการทำงานได้มากมาย

.

3) ‘ใช้กฏ 80/20’ หรือ หลักพาเรโต คือเลือกทำงาน 20% ที่สำคัญกับชีวิตเราจริงๆ อีก80%เป็นงานที่ไม่ได้สำคัญหรือก่อประโยชน์อะไร

.

4) ‘มองภาพในระยะยาว’ คิดว่าจุดมุ่งหมายในอนาคตระยะยาวจะเป็นตัวกำหนดการกระทำในปัจจุบัน แล้วเลือกว่างานตัวไหนที่เราควรใช้เวลาด้วยจริงๆ

.

5) ‘ผัดวันประกันพรุ่งให้เป็น’ เนื่องจากเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้ เราจึงต้องผลัดงานที่สำคัญน้อยกว่าออกไปก่อน

.

6) ‘แบ่งงานเป็นหมวด ABCDE’ นำมางานมาจัดแบ่งตามลำดับความสำคัญ ‘A’ คืองานที่สำคัญที่สุด งานที่ต้องทำ ‘B’เป็นงานที่สำคัญรองลงมา ‘C’ เป็นงานที่ทำได้ก็ดี แต่ไม่ทำก็ไม่เกิดผลเสียอะไร ‘D’ เป็นงานที่มอบให้คนอื่นทำได้ และ ‘E’ คืองานที่เสียเวลาที่จะทำ เป็นงานที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย

.

7) ‘ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลัก’ อันนี้เหมาะกับพนักงานบริษัทมาก คือให้ถามตัวเองว่า ทำไมบริษัทถึงจ้างเรา ละคำตอบนั่นแหละคือหน้าที่หลักที่เราควรทำ ปกติคนเราจะมี 5-7ด้าน ให้ลองนำแต่ด้านมาวิเคราะห์ ประเมินตัวเอง และดูว่าตัวไหนที่ทำได้ดีทำได้ไม่ดี เพื่อหาทางพัฒนาต่อไป

.

8) ‘กฎทอง 3 ประการ’ คือให้เลือกงานที่สำคัญที่สุดออกมาแค่ 3 งาน รวมไปถึงเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิตแต่ละด้านออกมาสามอย่าง เพื่อวางแผนและลงมือทำให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

.

9) ‘เตรียมการก่อนเริ่มงาน’ จัดเตรียมสถานที่ สภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน ของทุกอย่างที่ใช้ในการทำงานควรจัดอยู่ในตำแหน่งที่เอื้ออำนวยต่อการทำมากที่สุด

.

10) ‘ค่อยๆมองทีละขั้น’ งานชิ้นโต งานชิ้นใหญ่ ต้องค่อยๆทำไปทีละขั้นเพื่อให้สำเร็จ

.

11) ‘พัฒนาทักษะและความชำนาญ’ เรียนรู้และฝึกฝนทักษะต่างๆเพิ่มเติมอยู่เสมอ

.

12) ‘นำความสามารถพิเศษออกมาใช้ให้เกิดผล’ ดึงจุดที่เราทำได้ดีออกมาให้มากที่สุด โฟกัสไปที่จุดนั้น เรื่องนี้อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ ‘เจาะจุดแข็ง: วิธีพัฒนาพรสวรรค์ของลูกน้องและตัวคุณเอง’

.

13) ‘หาทางกำจัดข้อจำกัด’ ข้อจำกัดที่มาดึงรั้งเราไว้ไม่ให้ไปสู่เป้าหมาย ต้องรีบมองหาและกำจัดไปโดยเร็ว

.

14) ‘รู้จักสร้างแรงกดดันให้ตัวเอง’ ไม่ต้องคอยให้คนอื่นมากำหนด deadline หรือ คอยกดดัน แต่ให้จินตนาการว่า พรุ่งนี้จะไปเที่ยวพักผ่อนที่ไกลๆ 1 เดือน และต้องเคลียร์งานที่ค้างอยู่ออกให้เร็วที่สุด จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ

.

15) ‘จัดการกับพลังงานของตัวเองให้ดี’ ค้นหาช่วงเวลาที่มีพลังงานในการทำงานมากที่สุดของตัวเอง และรู้จัการ recharge พลังงานด้วยการพักผ่อน และนอนหลับให้เพียงพอ เพราะการทำงานติดต่อกันนาเกินไปทำให้เกิดความล้าและงานด้อยประสิทธิภาพ

.

16) ‘มองตัวเองในแง่บวก’ มีทัศนคติที่ดีกับตัวเองอยู่เสมอ หมั่นคอยให้กำลังใจตัวเอง เพื่อกระตุ้นตัวเองให้มีพลังในการทำสิ่งต่างๆ

.

17) ‘สลัดตัวเองออกจากกเทคโนโลยี’ พวกกับดักทั้งหลายที่ดูดเวลาเราไป ไม่ว่าจะเป็นการเช็คemail ทุกชั่วโมง การเข้า Facebook ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง การแชท Line ทั้งวัน ต้องรู้จักการอยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้บ้าง ไม่จำเป้นต้องคอยอับเดทข่าวสารข้อมูลทั้งวัน

.

18) ‘หั่นงานใหญ่ๆออกเป็นชิ้น’ ด้วยเทคนิค ‘การแล่แฮม’ คือการแบ่งงานเป็นส่วนๆแล้วทำไปทีละส่วน หรือเทคนิค ‘การสร้างรูพรุนบนเนยแข็ง’ คือการทำแล้วพักๆไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นและความกระหายที่จะทำให้สำเร็จ

.

19) ‘สร้างช่วงเวลาที่แน่นอนในการทำงาน’ ฝึกระเบียบกับตัวเองวางแผนการใช้เวลาอย่างแน่นอนว่า เวลาไหนจะทำอะไรเป็นระยะเวลาเท่าใด และพยายามทำทุกนาทีให้คุ้มค่าอยู่เสมอ

.

20) ‘หาวิธีเข้าสู่สภาวะลื่นไหล’ ที่จะทำให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดนพยายามสร้างแรงเหวี่ยงให้ตัวเองเริ่มทำ เพราะเรามักใช้พลังงานส่วนมากไปกับการเอาชนะความเฉื่อยในการลงมือทำ ถ้าได้ลงมือทำแล้วจะใช้พลังงานน้อยลงมาก กระตุ้นตัวเองให้ลงมือทำเดี๋ยวนี้แล้วพอเข้าสู่สภาวะลื่นไหลได้ งานจะออกมามีประสิทธิภาพมาก (สำหรับเรื่องสภาวะลื่นไหล อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ เปิดห้องเรียนวิชาความสุข หรือ Happier)

.

21) ‘แน่วแน่ มุ่งมั่น’ กับสิ่งที่ทำ ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าหยุดทำกลางคัน เพราะงานที่ทำใกล้เสร็จมีความหมายเท่ากับงานที่ยังไม่ได้ทำ

.

.

.

.

โดยสรุปแล้วหนังสืออ่านง่ายมาก เล่มสั้นๆ เพียง 100 กว่าหน้า มีเป็นย่อหน้าชัดเจน ไม่ยืดเยื้อ ไม่มีการยกตัวอย่างมากมายเกินไป และมีข้อคิดดีๆนำไปใช้ได้จริงครับ คุ้มค่ากับเวลาแน่นอน

.

.

…………………………………………………………………………………………………………………..

ผู้เขียน: Brian Tracy

สำนักพิมพ์: Welearn

ราคาหลังปก : 150.-

แนวหนังสือ : How to/ การพัฒนาตัวเอง

……………………………………………………………………………………………………………

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.




257 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page