รีวิวหนังสือ Work-life balance ด้วยการหยุดพักจริงๆ
- หลังอ่าน: รีวิวหนังสือ
- May 14, 2020
- 1 min read
Updated: Jul 8, 2020

รีวิวหนังสือ Work life balance ด้วยการหยุดพักจริงๆ
.
.
เป็นอีกเล่มที่ชอบตั้งแต่เห็นชื่อเรื่องครั้งแรก และพออ่านจบก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ เนื้อหาดีมาก โดยเฉพาะกับชีวิตในวัยทำงานที่หลายๆคนทำงานหนักมาก จนลืมพักผ่อน
.
Work life balance ด้วยการหยุดพักจริงๆ เขียนขึ้นโดย รศ. นพ. มาซากิ นิชิดะ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาจิเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวาเซดะ มหาลัยชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น โดยอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและการพักผ่อนร่างกายส่วนอื่นๆ เรียกว่าอาจารย์เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ lifestyle ของคนยุคนี้ที่ชอบใช้งานร่างกายเกินความจำเป็น และมักจะประเมินความสำคัญของการพักผ่อนต่ำเกินไป
.
แท้จริงแล้ว การพักผ่อนนั้นสำคัญต่อร่างกายเรามาก นอกจากจะทำให้เราแข็งแรง ปราศจากโรคภัยแล้ว มันยังช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย การที่เราทำงานต่อเนื่องนานๆ และไม่เคยอนุญาตให้สมองได้พักเลย นานๆเข้าก็อาจจะคิดอะไรไม่ออก มึนงง ทำงานได้ช้า และทำผลงานออกมาได้ไม่ดี
.
หนังสือเล่มนี้จึงเหมือนหนังสือที่ตบหน้าคนอื่นแรงๆว่า อย่าทำงานจนหักโหมมากเกินไปนะ ให้เวลาร่างกายได้หยุดพัก ได้ฟื้นฟูตัวเองบ้าง
.
.

สำหรับข้อคิด 5 ข้อที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้นะครับ
.

1) แบ่งเวลาพักในแต่วันหยุด
.
สำหรับมนุษย์บ้างานหลายๆคน วันหยุดก็เป็นเหมือนวันทำงานอีกวันหนึ่ง ยิ่งสำหรับช่วงที่เราทำงานจากบ้านได้นั้น เราก็มักจะเคยชินกับการหยิบงานขึ้นมาหลังทานอาหารเช้า และนั่งอยู่หน้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นตลอดช่วงเช้าและบ่าย และวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะผ่านไปโดยไม่ต่างอะไรจากวันทำงานทั่วไป อาจไม่ควรเรียกว่าวันหยุดด้วยซ้ำ
.
เทคนิคที่หนังสือแนะนำสำหรับเหล่าคนบ้างานที่อยากทำงานทุกวัน คือ การแบ่งช่วงเวลาในการทำงานออกเป็นช่วงๆ เช่นสมมุติว่าถ้าเป็นคนมีประสิทธิภาพมากๆในการทำงานช่วงเช้า ก็ให้ตั้งใจทำงานช่วงเช้าอย่างเต็มที่ ส่วนช่วงบ่ายก็ตัดเรื่องงานทิ้งไป 100% แล้วไปทำกิจกรรมเบาสมองที่ตัวเองชอบ เช่น ไปออกกำลังกาย ไปเล่นดนตรี ไปดู Netflix นั่งแชทกับเพื่อน และใช้เวลากับครอบครัว
.
หรือถ้าใครชอบทำงานกลางคืน ก็อาจจะแบ่งช่วงเวลาออกเป็น กลางวันใช้เวลากับครอบครัว กับคนรัก กลางคืนค่อยมานั่นเงียบๆโฟกัสงานไป
.
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ทำให้คนบ้างานได้รู้สึกว่าได้พักผ่อนบ้างในวันหยุด ไม่ต้องเต็มวัน แต่อย่างน้อยก็มีช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองได้หยุดพักจากงานจริงๆ
.
.

2) การปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับวันหยุด แบบไม่ทำอะไรเลย ไม่สนวันเวลา
.
บางครั้งเราอาจชอบตั้งเป้าไว้ว่า ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราจะต้องทำกิจกรรม โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด เรื่องนี้มักเกิดขึ้นกับบรรดาเหล่านักวางแผนทั้งหลายที่ไม่ชอบใช้ชีวิตโดยไม่มีแพลนล่วงหน้า
.
แต่จริงๆแล้ว การวางแผนไว้มากๆในวันหยุดอาจทำให้เราไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เพราะสมองเรายังคงวนเวียนอยู่กับแผนการต่างๆเหล่านั้น และบางครั้งถึงขั้นกดดันตัวเองว่าต้องทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ ยิ่งกลายเป็นเหมือนเรามีภารกิจรออยู่ในวันหยุด ทั้งๆที่เราควรจะได้หยุดพักแบบพักจริงๆ
.
เทคนิคที่หนังสือนำเสนอจริงบอกให้เราปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการพักผ่อน ไม่ต้องมีกำหนดการ ไม่ต้องมีแผนว่าต้องทำสิ่งนู้นสิ่งนี้ให้เสร็จ ให้เราลองเอนจอยสิ่งรอบๆตัว ลองไม่ต้องมองนาฬิกา หรือถอดนาฬิกาทิ้งไว้สักพักก็ได้ครับ แล้วไปนั่งทำเรื่องที่เราชอบ หรือแม้แต่นั่งเฉยๆคิดอะไรไปเพลินๆให้เราได้รู้สึกผ่อนคลาย นอกจากสมองเราได้พักผ่อน ร่างกายเราที่ต้องขดอยู่เก้าอ้ำงาน ในท่าเตรียมใช้ keyboard หน้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็คงได้พักด้วย
.
.

3) ลองหาเวลาไปเที่ยวพักผ่อนแบบไม่ต้องมีแผนการอะไรมาก
.
ต่อเนื่องมากจากข้อที่แล้วเลยครับ ลองหาเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวทะเลแล้วไม่ต้องกำหนดว่าจะไปไหนบ้าง แค่ไปนั่งริมทะเล มองท้องฟ้ายามเย็น ฟังเสียงคลื่น แค่นั้นก็พอครับ
.
ฃองนึกถึงฝรั่งที่ชอบมาเที่ยวทะเลเมืองไทย ฝรั่งพวกนี้ไม่ได้ออกไปไหนเยอะเลยครับ พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนชิลริมทะเล นอนอาบแดด หาค๊อกเทลดีๆสักแก้วมาจิบ และเอนจอยเสียงคลื่นกระทบฝั่งไป หรือจะนึกถึงซันนี่ในหนังเรื่อง freelance ที่ไปนั่งพักเฉยๆอยู่ริมทะเลก็ได้นะครับ นั่นแหละครับถึงจะเรียกว่าได้พักผ่อนจริงๆ
.
.

4) ในวันทำงานลองหาเวลาพักเล็กๆเป็นระยะ
.
การพักผ่อนในที่นี้อาจไม่จำกัดอยู่แค่การพักใหญ่ๆในวันเสาร์อาทิตย์เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่เรายังควรพักระหว่างวันเวลาทำงานเพื่อให้เวลาสมองได้รีเฟรชตัวเองเบาๆด้วยครับ
.
การพักแบบนี้มีหลากหลายวิธีมาก เช่น การเดินไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน ถ้าทำงานอยู่บ้านก็ลองเดินไปพูดคุยกับคนในครอบครัว หรือเดินไปจิบกาแฟ หาขนมหวานอร่อยๆมาทาน หรือจะแค่ออกไปสูดอากาศด้านนอกอาคารเบาๆ ก็ช่วยให้สมองได้พักแบบจริงๆแล้วครับ
.
.

5) ให้ความสำคัญกับการนอน
.
เรื่องการนอนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะรู้ดีว่า เราต้องนอนให้เพียงพอ ไม่น้อยเกินไปและไม่มากจนเกินไป เพราะการนอนส่งผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพในการทำงาน การนอนเป็นการทำให้สมองอันเหนื่อยล้าของเราได้พักจริงๆ
.
จำนวนชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสมก็อาจแตกต่างไปในแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 6 ถึง 8 ชั่วโมง โดยอาจจะขึ้นกับช่วงวัยของเราด้วย แต่จริงๆแล้วเราไม่ควรมองแค่เรื่องระยะเวลาในการนอน แต่ควรจะตำนึงถึงคุณภาพในการนอนด้วย บางคนหลับลึก หลับตลอดคืน แต่บางคนมีการตื่นขึ้นมาเป็นระยะ ทำให้การหลับไม่ต่อเนื่องและอาจส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเต็มที่
.
อีกเทคนิคหนึ่งคือการงีบหลับระหว่างวัน เช่นการนอนพัก 15-20 นาที หลังอาหารกลางวัน หรือ เซียสต้าเป็นต้น การนอนประเภทนี้นิยมทำกันอย่างมากในแถบตะวันตก บางบริษัทถึงขั้นออกนโยบายสนับสนุนให้พนักงานไปนอนพักหลังพักเที่ยงด้สยซ้ำ
.
การที่ให้สมองได้หยุดพักหลังทานอาหารกลางวันเข้าไปอิ่มๆ เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ร่างกายและสมองได้ปรับโหมดตัวเองได้การกลับมาทำงานต่อในช่วงบ่าย จึงทำให้เรามีสมาธิในการทำงานมากขึ้น และทำผลงานออกมาได้ดีขึ้น
.
.
.
โดยรวมแล้วเล่มนี้เป็นหนังสือ howto ที่นำเทคนิคดีๆในการพักผ่อนมาอธิบายให้เข้าใจง่าย และที่สำคัญที่สุดคือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการพักผ่อน โดยเฉพาะกับคนญี่ปุ่นที่บ้างานกันอย่างมาก
.
หนังสืออ่านง่ายครับ เนื้อหาแบ่งชัดเจนเป็นบทๆ เรียบเรียงเนื้อความได้เข้าใจง่าย ใครทำงานมาหนักๆและอยากจะพักบ้าง ก็อย่าลืมลองซื้ออ่านดูนะครับ
.
.
.
………………………………………………………………………….
✍🏻ผู้เขียน: รศ. นพ. มาซากิ นิชิดะ
✍🏻ผู้แปล: พนิดา กวยรักษา
🏠สำนักพิมพ์: Shortcut
📚แนวหนังสือ : พัฒนาตัวเอง, จิตวิทยา
…………………………………………………………………………..
.
.
📚สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน#รีวิวหนังสือ#หนังสือ2020 #หนังสือ2563 #reviewหนังสือ#Worklifebalance #Worklifebalanceด้วยการหยุดพักจริงๆ #มาซากินิชิดะ #พนิดากวยรักษา#Shortcut#สำนักพิมพ์Shortcut#หนังสือพัฒนาตัวเอง #หนังสือจิตวิทยา
Comments