รีวิวหนังสือ The Max Strategy
คุณมีความสุขกับงานที่ทำอยู่รึเปล่า
.
.
หนังสือ how to ที่ว่าด้วย ศาสตร์ของ ‘ความบังเอิญ’ เขียนโดยคอลัมน์นิสต์ชื่อดัง ดีกรี Standford แปลจากภาษาอังกฤษ
.
หนังสือเล่าเรื่องเคล็ดลับความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจชื่อดัง แม็กซ์ เอลมอร์ ผู้เชื่อในศาสตร์แห่งการลองทำ และ ‘การจับพลัดจับผลู’ ผ่านบทสนทนาของชายหนุ่มผู้กำลังเผชิญปัญหา mid-life crisis กับชายแก่ผู้มากประสบการณ์ ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งรอเครื่องบินเนื่องจาก ไฟลท์ที่ทั้งคู่จองไว้ถูกแคนเซิลไปเนื่องจากหิมะตกหนัก
.
ในค่ำคืนที่หิมะโหมกระหน่ำ ชายหนุ่มที่กำลังมีปัญหากับชีวิตอยู่แล้ว (จริงๆคือตัวผู้เขียนเอง) ก็ได้พบกับแมกซ์ (ชายแก่นักธุรกิจชื่อดัง) โดยบังเอิญ และไปเผลอเล่าเรื่องปัญหาการงานและปัญาชีวิตส่วนตัว ให้ชายแก่ฟัง ชายแก่จึงถ่ายทอดบทเรียนและเคล็ดลับความสำเร็จของตนออกมา
.
ซึ่งได้บอกเลยว่าเคล็ดลับของชายแก่นี้ไม่เหมือนเคล็ดลับที่เขียนในหนังสือ how to เล่มอื่นๆแน่นอน เพราะมาถึงแมกซ์ก็ให้ชายหนุ่มเขียนเคล็ดลับความสำเร็จที่ตัวเองรู้มา 3 ข้อ อันได้แก่ การตั้งเป้าหมาย การคิดบวก และเดินตามรอยความสำเร็จของคนอื่น
.
พอเขียนเสร็จแมกซ์ก็ขีดฆ่าเคล็ดลับเหล่านี้ทิ้งทั้งหมด และเขียนใหม่ว่า ‘การลงมือทำ ไม่เคยล้มเหลว’
.
เพราะฉะนั้นแล้วเคล็ดลับของแมกซ์ที่อธิบายในเล่มนี้จึงมีแก่นหลักๆ คือเรื่องการลงมือทำสิ่งใหม่ ให้แตกต่างจากเดิมในแต่ละวัน การมองหาโอกาสจากปัญหาที่มี และการลองทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะแมกซ์เชื่อว่าความสำเร็จของทุกๆคนเกิดมากจากความบังเอิญเล็กๆที่เกิดขึ้นระหว่างที่ลองทำไปเรื่อยๆ ให้ไอเดียไหลเข้ามาหาตัวเอง
.
เหมือนการเด้งไปเด้งมา แล้วสุดท้ายไปจับพลัดจับผลูประสบพบเจอโชคเข้า เลยเกิดเป็นความสำเร็จขึ้นมา
.
หนังสือเล่มนี้มีคอนเซ็ปต์สั้นๆง่าย คือเรื่องการลองทำ และความบังเอิญ และเสนอแนวคิดที่หักล้างหนังสือ howto เล่มอื่นๆที่เน้นไปที่เรื่องการตั้งเป้าหมายและปรับทัศนคติ โดยรวมแล้วเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องออกมาได้สนุกและน่าติดตามตลอดเล่ม
.
ไม่ค่อยเจอหนังสือฝรั่งแนวเรื่องเล่า ที่ถ่ายทอดเคล็ดลับความสำเร็จผ่านบทสนทนาเท่าไหร่ เล่มนี้จึงแตกต่าง กระชับ สนุก อ่านไปก็จินตนาการไปว่าตัวเองเป็นชายหนุ่มที่ไปเรียนรู้เคล็ดลับความสำเร็จจากอาจารย์เฒ่าในสนามบิน ชอบมากๆครับ
.
สำหรับ 7 ข้อที่ได้หลังอ่านหนังสือ The Max Strategy นะครับ
.
1) การลองทำ ไม่เคยล้มเหลว
.
เพราะการที่เราได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ ก็เท่ากับว่าเราได้พาตัวเองออกมาจากจุดเดิมไปยังจุดใหม่แล้ว
.
การกระเด้ง 1 ครั้งนี้ก็จะพาเราไปเจออะไรใหม่ๆต่อไปอีก ทำให้เกิดการกระเด้งครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ต่อไปเรื่อยๆ
.
และการกระเด้งไปมาหลายๆครั้งนี่เอง ที่สุดท้ายแล้วทำให้เราได้พบกับโอกาสสำคัญของชีวิต เปลี่ยนชีวิตของเราให้ประสบความสำเร็จ
.
.
2) เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว คือ ตัวเราในวันพรุ่งนี้ต้องมีอะไรที่แตกต่างจากวันนี้
.
การลองทำที่ว่าต้องไม่ใช่การทำอะไรเหมือนๆเดิม การตั้งเป้าว่าวันพรุ่งนี้จะต้องมีอะไรต่างจากวันนี้จึงเป้นสิ่งสำคัญมาก
.
จริงอยู่ว่าการกำหนดเป้าหมายระยะยาวไว้เป็นเรื่องดี แต่แมกซ์เชื่อว่าไม่มีใครรู้หรอกว่า อีก 5 ปีข้างหน้า อีก 10 ปีข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันช่างไกลเกินไป และคาดเดาได้ยากเหลือเกิน
.
ในทางกลับกันการตั้งเป้าในระยะสั้นไว้ว่า พรุ่งนี้เราจะเป็นอะไรที่ต่างจากเดิม เป็นการตั้งเป้าหมายแบบสั้นๆ แต่มีพลัง มีแรงขับเคลื่อน และช่วยให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ แม้ชีวิตประจำวันเราอาจเหมือนเดิม แต่เราก็อาจหามุมมองใหม่ๆให้กับสิ่งที่เป็นอยู่ และลองเปลี่ยนแปลงวันละนิด สุดท้ายเราก็อาจจะกระเด้งไปมาจนรู้ตัวอีกที ก็มาไกลจากจุดที่เคยอยู่มากแล้ว
.
ดังนั้นถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่า อีก 10 ปีข้างหน้าอยากเป็น CEO แมกซ์เชื่อว่าอาจไม่ช่วยอะไรมากนัก ระยะเวลาที่นานขนาดนั้น อะไรก็เปลี่ยนไปได้ หรือแม้กระทั่ง เราเองอาจเป็นคนเปลี่ยนจุดมุ่งหมายแล้วก็ได้ ในขณะที่ถ้าเราตั้งเป้าแค่ว่าจะต่างจากเมื่อวาน เราจะได้รับพลังมากล้าลองทำอะไรใหม่ๆมากกว่า
.
.
3) การลองทำให้มากที่สุด จะทำให้เราเจอโอกาสมากที่สุด
.
สนับสนุนข้อบทเรียนที่ 1 ต่ออีกข้อ คือ การลองทำเยอะๆ คือการสร้างความน่าจะเป็นในการเจอโอกาสให้สูงขึ้น
.
นึกถึงเรื่องของการโยนเหรียญ แท้จริงแล้วแมกซ์เล่าว่าคนที่โยนเหรียญออกหัวมากที่สุด ก็คือคนที่โยนเหรียญมากที่สุดนั่นเอง
.
ในทำนองเดียวกัน คนที่เจอโอกาสมากที่สุด ก็คือคนที่ลองทำมากที่สุด สั้นๆง่ายๆแบบนี้เลยครับ
.
.
4) ความสำเร็จไม่มีกฎตายตัว ให้ลอกเลียนกัน
.
แมกซ์เชื่อว่าเราไม่ควรไปลอกเลียนแบบความสำเร็จของใคร เพราะว่าถ้าความสำเร็จเป็นสูตรตายตัว ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ก็คงจะสำเร็จกันหมดแล้ว ไอเดียต่างๆที่ถูกสอนเป็นหลัก เป็นกฎในการสร้างความสำเร็จถูกนำไปใช้หมดแล้ว ยิ่งในยุคที่ข่าวสารแพร่กระจายได้รวดเร็วแบบยุคนี้
.
เราจึงควรหาหนทางความสำเร็จของตัวเอง ด้วยการลองทำอะไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ สร้างนวัตกรรมใหม่ด้วยไอเดียที่ไม่ได้ถูกใช้ไปแล้ว และอย่าไปลอกเลียนไอเดียของคนอื่นที่เขียนไว้เป็นสูตรสำเร็จ
.
.
5) ความสมบูรณ์แบบคือขั้นแรกของการตกยุค
.
ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราทำสมบูรณ์แบบแล้ว เราก็คงจะไม่ได้พัฒนการทำสิง่นั้นต่อไปอีก เพราะว่าเราคงคิดว่าไม่มีอะไรให้พัฒนาแล้ว
.
แมกซ์เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เราไม่ควรจะมองหาความสมบูรณ์แบบ แต่เราควรจะโฟกัสไปที่การทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
.
เราควรจะตั้งใจสิ่งที่เราลองทำให้ออกมาดีกว่าที่มันควรจะเป็น ดีกว่าที่คนอื่นคาดหวังไว้ เพราะการดีกว่าเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์งานปังๆได้อีกมาก
.
เพราะฉะนั้นเลิกมองหาความสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่อยากตกยุค และพยายามทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีกว่าที่ควรจะเป็นอยู่เสมอ
.
.
6) เอาตัวเข้าไปอยู่ในกระแสไอเดีย
.
การลองทำมีประโยชน์ที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่ง คือการช่วยให้เราเข้าไปอยู่ในกระแสของไอเดีย บางครั้งถ้าเราเอาแต่นั่งคิด แต่ไม่เคยลงมือทำ เราก็จะไม่เห็นภาพจริงๆว่าปัญหามันคืออะไร ไม่เกิดเป็นไอเดียใหม่ๆในการแก้ปัญหา
.
แต่ถ้าเราลองเอาตัวลงไปอยู่ในปัญหานั้น ลงมือทำ ลงมือแก้ปัญหา บางครั้งไอเดียต่างๆก็จะเริ่มวิ่งเข้ามาหาเราเอง พร้อมกับโอกาสต่างๆที่จะนำสิ่งที่เราแก้ปัญหาได้ไปต่อยอดเป็นธุรกิจ ต่อยอดเป็นงานที่ทำเงินได้ และเป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ
.
.
7) ไอเดียใหม่ เกิดจากไอเดียเก่ามาผสมและดัดแปลง
.
ในหนังสือ แมกซ์ลองให้ชายหนุ่มฝึกทำแบบทดสอบหาข้ออ้างใหม่ๆในการมาทำงานสาย จากการนำข้ออ้างเก่าๆของยามรักษาความปลอดภัยที่สนามบินมาผสมกัน ปรากฏว่าเขาสามารถหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นออกมากอีกหลายข้อ
.
การมองหาไอเดียใหม่ๆก็ไม่ต่างอะไรกัน นอกจากลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในกระแสของไอเดียแล้ว ให้เราลองมองหาไอเดียเก่าๆ เอามาประยุกต์ เอามาปรับปรุง และจับมาผสมกันระหว่างหลายๆไอเดีย จนเกิดเป็นไอเดียใหม่ขึ้นมา
.
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนสถานที่ของไอเดีย เช่น Jack Dorsey ผู้สร้าง Twitter ที่ได้ไอเดียการโพสต์ข้อความสั้นๆที่เข้าใจง่ายมาจาก การส่งข้อความสั้นๆคุยกันของเจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถไฟที่สั้น กระชับแต่มีประสิทธิภาพมากๆ
.
Dorsey เพียงแค่ย้ายการสนทนากันของเจ้าหน้าควบคุมการเดินรถไฟ มาไว้ที่แพลตฟอร์ม Twitter เท่านั้นเอง
.
.
จริงๆแล้วมีตัวอย่างการเกิดไอเดียใหม่ ที่เกิดจากการลองทำอีกเยอะมากๆ ในหนังสือเล่มนี้ ทั้ง โคคาโคลา ยีนส์ลีวายส์ เวลโคร การกระโดดท่าฟลอบ เดี๋ยวไว้ผมจะมาทยอยเล่านะครับ เพราะแต่ละเรื่องราวก็มีแต่น่าสนใจทั้งนั้น
.
โดยรวมแล้วผมว่าหนังสือเหมาะมากๆสำหรับนวัตกร หรือผู้สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ เห็นด้วยมากว่าการลองทำเป็นกุญแจสำคัญมากๆ ที่จะนำพา ‘ความบังเอิญ’ ‘การตกกระไดพลอยโจน’ และ ‘การจับพลัดจับผลู’ มาหาเรา
.
แต่ก็คงมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยที่หนังสือไปตบหน้าพวกหนังสือ howto เรื่องการตั้งเป้าหมาย การปรับทัศนคติ และการลอกเลียนความสำเร็จ เพราะเรื่องอื่นนอกจากการสรรสร้างค์ผลงานใหม่ๆแล้ว เรื่องพวกนี้ก็อาจจะยังใช้ได้กับชีวิตเราในด้านอื่นๆอยู่
.
………………………………………………………………………….
✍🏻ผู้เขียน: Dale Dauten
✍🏻ผู้แปล: พันเอกวีรจิต กลัมพะสุต
🏠สำนักพิมพ์: Welearn
📚จำนวนหน้า: 192 หน้า
📚แนวหนังสือ: พัฒนาตัวเอง
…………………………………………………………………………..
.
.
📚สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #TheMaxStrategy #คุณมีความสุขกับงานที่ทำอยู่รึเปล่า #สำนักพิมพ์Welearn .
.
Comments