รีวิวสมองเศรษฐี
.
“เศรษฐีไม่ใช่แค่คนรวย แต่คือผู้ประเสริฐ ที่มีทั้ง ทรัพย์ สุข และทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย”
.
เป็นหนังสือที่ผสมผสานเทคนิคการพัฒนาตัวเองแบบเข้าใจง่าย เข้ากับหลักการทางจิตวิทยาที่มีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์รองรับ และหลักพุทธศาสนาที่เน้นการเอามาปฏิบัติได้จริง
.
หนังสือมากับ theme หลักที่จำกันง่ายๆ คือ โมเดล 3H สู่ความสำเร็จ อันประกอบไปด้วย Heart (หัวใจ), Head (สมอง) และ Hand (สองมือ)
.
แน่นอนว่าเส้นทางการพาตัวเองไปสู่เศรษฐีต้องเริ่มจาก การใช้หัวใจนำทางก่อน หัวใจเปรียบเหมือน ความฝัน ความปราถนา เป้าหมาย ความต้องการ หนังสือเรียกสั้นๆว่า ‘I dream’ ต่อจากนั้นจึงใช้หัวสมองคิดหากระบวนการในการนำตัวเองไปสู่เป้าหมายนั้น แต่ต้องทำอย่างมีปัญญาด้วย หนังสือเรียกว่า ‘Idea’ สุดท้ายก็คือการลงมือทำด้วยการมีความอุตสาหะ บากบั่น และมุ่งมั่น หนังสือเรียกว่า ‘I do’ ซึ่งเมื่อประกอบกันทั้งสามอย่างแล้ว เราถึงจะมุ่งไปสู่ ‘Ideal ของความสำเร็จ และเป็นเศรษฐีอย่างเราอยากจะมีได้
.
ถ้าเอาแต่ฝันอย่างเดียว เราก็คงจะเป็นคนฝันเฟื่อง ถ้าเอาแต่คิดเราก็จะเป็นพวกคิดฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเอาแต่ทำอย่างเดียวเราก็คือเครื่องจักรในระบอบทุนนิยมดีๆนี่เอง
.
ผมชอบการเปรียบเทียบหนึ่งของหนังสือ ที่เขียนไว้ว่า หัวใจเปรียบเหมือน ‘จุดหมาย’ สมองเปรียบเหมือน ‘แผนที่’ และสองมือคือ ‘ยานพาหนะ’ ที่ใช้ขับเคลื่อนชีวิตเราไป ทั้งสามอย่างนี้ต้องมีแบบสมดุลกัน
.
ส่วนเนื้อหาหลักภายในเล่มก็คือ การอธิบายให้ทำความเข้าใจกับหลักการทำงานของสมอง ซึ่งโยงกับทั้ง การปักหมุดจุดหมาย การค้นหาแผนที่ในการเดินทาง และการเลือกยานพาหนะในการเดินทาง
.
.
ส่วนที่ 1 : heart
หลักๆคือ เราต้องมีภาพสิ่งที่เราอยากทำ อยากเป็นให้ชัดเจน เป้าหมายต้องชัด เพราะสมองเราจะขยายผลสิ่งที่เราสนใจ อย่าไปโฟกัสกับอุปสรรค นอกจากนี้เราควรจะควบคุมความคิดเราให้มีแต่สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราอยากเป็นอยู่เสมอ เพราะมันจะส่งผลไปสู่พฤติกรรมและการกระทำของเรา รวมถึงดึงดูดคนที่มาโคจรรอบตัวเราด้วย และจงมีความเชื่อที่ถูกต้องในเรื่องความสำเร็จอยู่เสมอ เพราะความเชื่อจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน
.
ส่วนที่ 2: head
หลักๆคือ เรื่องการหมั่นขัดเหลาปัญญาและความรู้ที่เรามี พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆอยู่ตลอด เรื่องการใช้อิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วย ฉันทะ (ความรัก) วิริยะ (ความขยัน) จิตตะ (ความมุ่งมั่นตั้งใจ) และวิมังสา (การคิดไต่ตรอง) บวกกับการเข้าใจโลกทุนนิยม อธิบายสั้นๆ คือเริ่มจากรักในสิ่งที่ทำ ขยันฝึกซ้อม หมั่นพัฒนาตัวเองด้วยปัญญา มุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ปล่อยให้จิดฟุ้งซ่าน และใช้ปัญญาและหลักการเหตุผลในการคิดค้นวิธีแก้ไขและปรับปรุงพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นต้องตอบโจทย์ต่อโลกทุนนิยม คือเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราทำเพราะอยากทำเพียงอย่างเดียว
.
นอกจากนี้แล้ว เรายังต้องนำปัญญามาใช้กับการบริหารเวลาอีกด้วย ต้องเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญ มีวินัยกับสิ่งที่ทำ และไม่ปล่อยเวลาเล็กๆน้อยไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และสุดท้ายคือหลักการยืมเวลาของคนอื่นมาทำงาน หรือสร้างระบบขึ้นมานั่นเอง
.
ส่วนที่ 3: hand
เป็นเรื่องของการลงมือทำ เราต้องรู้จักฝึกความอดทนในการสร้างวินัย มันอาจเจ็บปวดบ้าง แต่นับเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ชั่วคราว ต่างจากความเจ็บปวดของชีวิตที่ขาดวินัย
.
หนังสือแนะนำเทคนิคช่วยในการสร้างวินัยได้อย่างน่าสนใจมาก เช่น เรื่องของการหลอกสมองด้วย การแบ่งงานชิ้นโตให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วมีสติบอกสมองว่าให้ลงมือทำตอนนี้เลย ละเดี๋ยวเราจะทำต่อไปได้เอง อาจมากกว่าที่ตั้งใจหลอกสมองไว้ตอนแรกด้วยซ้ำ
.
นอกจากนี้แล้วเรายังควรฝึกความอดทน ทำหลายๆอย่างที่สมองอาจบอกเราว่าไม่ได้อยากทำ แต่สิ่งเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความสุขในระยะยาว (สุขสำเร็จ ไม่ใช่สุขสำราญ) เราต้องหมั่นมีสติคิดภาพชีวิตในแบบที่เราต้องการไว้เสมอ
.
โดยรวมแล้ว ที่ผมเขียนสรุปสั้นๆด้านบน คือสรุปแบบย่อมากๆ หนังสือมีคำอธิบายถึง H แต่ละตัวไว้อย่างชัดเจน มีตัวอย่าง มีหลักฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมอง และมีคำคม!!!! ของขุนเขาเอง ที่ทำให้ผู้อ่านจำได้ง่ายขึ้นมาก
.
ผมว่าการผสมผสานของเนื้อหาที่ไม่หนักแต่มีประโยชน์ หลักทางพุทธศาสนา และข้อคิดคำคมสั้นๆทั้งหลาย พอเอามารวมกันแล้วช่วยให้หนังสืออ่านสนุกมมากก เหมือนอ่านแล้ววางไม่ลง อยากรู้ว่าจะได้อ่านอะไรที่มันโดนๆ บาดใจเราอีก
.
ภาษาที่ใช้ก็สนุก ไม่เหมือนการสอนการยัดเยียด แต่เหมือนเป็นเพื่อนที่เอาคำแนะนำดีๆ พร้อมเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง
.
เอาตรงๆเนื้อหาก็ไม่ได้แปลกใหม่สักเท่าไหร่ หลายๆเทคนิคก็ถูกเขียนไว้ในหนังสือเล่มอื่นแล้ว แต่การเอามาเรียบเรียงเป็น โมเดล H นับว่าทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และสนุกกับการอยากรู้เทคนิคเหล่านี้
.
ถ้าจะให้ติก็คงเป็นเรื่องความลึกของเนื้อหา ที่ไม่ได้มีการเจาะลึกไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก แต่เป็นการอธิบายภาพรวมถึงเรื่องสำคัญๆที่เราควรรู้ซะมากกว่า
.
โดยรวมแล้วผมว่าเหมาะกับคนเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา พัฒนาตัวเอง ยิ่งภาษาที่ใช้แล้ว น่าจะเข้าถึงหลายๆคนได้ง่ายมากครับ ยิ่งถ้าอายุน้อยๆแล้วเพิ่งเริ่มเข้าวงการหนังสือ เล่มนี้ผมแนะนำเป็นเล่มแรกๆเลย เพราะมันอ่านสนุก ไม่ท้อ มีคอนเซ็ปต์ที่เห็นภาพชัดเจน ดีกว่าอ่านหนังสือแปลที่มีเนื้อหาลึก ตัวอย่างไม่อิน และเป็นการเขียนบรรยายแบบยาวๆครับ
.
เหตุผล 3 ข้อที่ควรอ่านก่อนอายุ 30
1. รู้จักความหมายที่แท้จริงของการเป็นเศรษฐี เพราะเศรษฐีที่หลายๆคนเข้าใจคือผู้มีเงินมากอย่างเดียว แต่การจะเป็นเศรษฐีที่แท้จริงนั้น ต้องรวยทรัพย์ รวยสุข รวยการให้ความสุขด้วย
2. รู้จักหนทางการไปสู่เศรษฐี เตรียมทั้ง Heart Head และ Hand ให้พร้อม
3. รู้จักการประยุกต์ใช้หลักพุทธศาสนา กับการเรียนรู้ที่จะปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ผมว่าหลักพุทธศาสนาหลายๆอย่างใกล้ตัวเรามาก และเอามาใช้ได้จริง แต่ไม่ค่อยมีคนนำมาเชื่อมโยงให้เห็นภาพเท่าไหร่ ซึ่งตรงจุดนี้หนังสือทำได้ดีมากครับ
.
.
.
50 ข้อควรรู้ก่อนอายุ 30 จากหนังสือสมองเศรษฐี
1. เศรษฐี ต้องไม่ใช่แค่คนที่รวยจากการมีเงินมาก แต่เศรษฐีที่จริงๆแล้วแปลว่าผู้ประเสริฐ จะต้องรวยทั้งทรัพย์ รวยทั้งสุข และที่สำคัญคือการทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย
.
2. ไม่ว่าจะอยากประสบความสำเร็จด้านไหนในชีวิต เราจะต้องมีส่วนผสมทั้งสามด้านคือ Heart (ความฝัน) Head (ความคิดสร้างสรรค์) และ Hand (ความขยันมือทำ)
.
3. คนที่เอาแต่ฝัน...ฝัน....ฝัน...อย่างเดียว สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่คนที่ฝันเฟื่อง หรือพวกดีแต่ปาก ที่ชอบพูดว่า ฉันก็ทำได้ แต่ฉันไม่ทำ
.
4. คนที่เอาแต่คิด...คิด....คิด...อย่างเดียว สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่คนประเภทฟุ้งซ่าน คือหมกมุ่นอยู่แต่ในความคิดตัวเอง แต่ไม่ได้ก้าวไปไหนสักที
.
5. คนที่เอาแต่ทำ....ทำ....ทำ...อย่างเดียว สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่เครื่องจักร หรือทาสในยุคทุนนิยม ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่เพื่อความสุขสำราญในวันนี้
.
6. ใจล็อคเป้า สมองเปิด มือปั้น เราต้องผสมส่วนผสมทั้ง 3 เข้าด้วยกันเพื่อนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จ
.
7. ใช้หัวใจให้เหมือนเด็กน้อยอยู่เสมอ เราต้องหมั่นเป็นคนช่างฝัน ใช้จินตนาการ ใช้ความปรานาอันเจิดจ้าที่ไม่ถูกครอบด้วยกรอบคิดทางสังคม
.
8. ใช้สมองให้เหมือนผู้อาวุโส เราต้องรู้จักคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ละเอียดถี่ด้วย ไม่ประมาท
.
9. ใช้สองมือให้เหมือนวัยรุ่นอยู่เสมอ เราต้องกล้าลงมือทำ สนุกสนานไปกับการได้ลองอะไรใหม่ๆ กล้าผจญภัย และมุ่งมั่นอดทน
.
10. 3 H ในหนังสือเล่มนี้สามารถเปรียบได้กับ หัวใจ = จุดมุ่งหมาย, สมอง = แผนที่, สองมือ=ยานพาหนะ เราต้องจัดสมดุลของสามสิ่งนี้ไว้ดีๆ เพื่อจะพาตัวเองขึ้นยานพาหนะไปสู่เป้าหมายให้ได้
.
11. เราไม่ได้มองเห็นสิ่งต่างๆด้วยตาเปล่า แต่เรามองเห็นได้ด้วยสมอง ซึ่งสมองจะทำให้เรามองเห็นเฉพาะสิ่งที่เราอยากเห็น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งเราสนใจสิ่งนั้นมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็จะถูกสมองขยายผลให้เห็นชัดขึ้นเท่านั้น
.
12. ยิ่งโจทย์ของเราชัดเท่าไหร่ และยิ่งเราเห็นความสำคัญของโจทย์ดังกล่าวมากเท่าไหร่ สมองก็จะพยายามอย่างหนักในการแก้โจทย์นั้น และหาทางตอบสนองอย่างรวดเร็วและตรงเป้าที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
.
13. เราไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่เราต้องการ แต่เราดึงดูดสิ่งที่เราคู่ควร
.
14. ความคิดไม่ได้มีแรงดึงดูด แต่ความคล้ายต่างหากที่มีแรงดึงดูด เราจึงควรคิดและทำในสิ่งที่คล้ายกับสิ่งที่เราอยากเป็นมากที่สุด และสิ่งนั้นจะดึงดูดคนแบบที่เราต้องการให้เข้ามาโคจรรอบตัวเราเอง
.
15. เราไม่มีวันจะเดินไปได้ไกลกว่าเสาที่เราปักไว้ หรือเราจะไม่มีวันประสบความสำเร็จไปได้ไกลกว่าความเชื่อของเรา
.
16. สิ่งที่คนก่อนตายเสียดายกันมากที่สุดคือ ไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ
.
17. การใช้ชีวิตตามความฝันไม่ได้ยากกกว่า แต่อาจต้องการเพียงความกล้าที่มากกว่าเท่านั้นเอง
.
18. ถ้ามองย้อนไปในอดีต เรามักไม่เสียใจกับสิ่งที่เราทำไปแล้วเท่ากับสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ
.
19. ใจของเราเปิดรับเฉพาะสิ่งที่เรารักเท่านั้น ถ้าเราเกลียดเงิน เราก็จะไม่เปิดรับมัน และต่อให้มีเงินเข้ามาเรามากมาย สุด้ทายมันก็จะหลุดหายไปอยู่ดี
.
20. เศรษฐีไม่ใช่คนที่มีแค่ตั้งเป้าว่าจะรวย แต่เป็นคนที่ตั้งเป้าว่าจะมีสมองแบบคนรวย เพราะถ้าเกิดวิกฤตแล้วล้มละลาย พวกเขาก็จะหาวิธีกลับมารวยได้เสมอ
.
21. ปัญญาต้องมาก่อนเงินตรา และสติต้องมาก่อนสตางค์เสมอ
.
22. ยิ่งเราโลภมากเท่าไหร่ เรานิ่งตัดสินใจและวางแผนได้แย่ลงเท่านั้น
.
23. เงินที่มากมายไม่ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนชีวิตเราแต่แค่มาขยายตัวตนของเราให้เด่นชัดขึ้นเท่านั้น ถ้าเรายิ่งรวย เราจึงควรเพิ่มปัญญาให้เหมาะสมกับความรวยนั้นด้วย
.
24. จำนวนเส้นประสาทในสมองเป็นตัวบ่งบอกความฉลาดของคนเรา และยิ่งทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกธุรกิจ
.
25. เศรษฐีใช้เวลาในการพัฒนาตัวเองมากกว่าเวลาในการมานั่งวิจารณ์คนอื่น
.
26. ชีวิตที่ทุกข์ที่สุด ไม่ใช่ชีวิตที่เหนื่อยที่สุด แต่คือชีวิตที่ใช้ไปอย่างไร้จุดหมายที่สุด
.
27. เราจะได้เงินจากผลลัพธ์ของเราตามคุณภาพของผลลัพธ์ ไม่ใช่เวลาในการสร้างผลลัพธ์
.
28. จำนวนเงินที่เราหาได้ในโลกทุนนิยม = ความตรงใจในการตอบโจทย์คน + จำนวนคนที่เราตอบโจทย์ได้
.
29. ธุรกิจทุกอย่างบนโลกเกี่ยวข้องกับคนทั้งหมด เราต้องรู้ใจคน รู้ว่าความสุขของคนคืออะไร แล้วหาสิ่งที่ตอบโจทย์คนเหล่านั้นให้ได้
.
30. การทำงานมี 3 ระดับ คือ ทำเพื่อเสร็จ ทำเพื่อทรัพย์ และทำเพื่อสุข แต่ถ้าเราเล็งไปว่าเราอยากทำเพื่อสุขของเราและคนอื่น สิ่งนั้นมักจะนำมาซึ่งทรัพย์ และงานเสร็จตามต้องการด้วย
.
31. เราควรจัดเวลาให้กับสิ่งสำคัญของเราอย่างเหมาะสม คนทุกคนมีเวลาสในหนึ่งวันเท่ากัน แต่การจัดสรรเวลาไม่เหมือนกัน
.
32. ต่อให้เรายุ่งแค่ไหน เราก็มักจะมีเวลาให้สิ่งท่สำคัญสำหรับเราเสมอ
.
33. สิ่งที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การมีเวลาไม่พอ แต่คือการมีวินับไม่พอต่างหาก เราจึงควรหมั่นฝึกฝนวินัยอยู่เสมอ
.
34. อย่าดูถูกเศษเวลาในแต่ละวัน เราล้วนนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองได้เสมอ
.
35. เศรษฐีทุกคนไม่ได้ใช้เวลาทำเงิน แต่ใช้ระบบทำเงิน
.
36. เราต้องสร้างร่างคู่ขานให้ออกมาช่วยทำงานแทน เพราะไม่เคยมีใครร่ำรวบจากการทำงานวันละ 8 ชม.ได้
.
37. ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ความหนักของการทำงาน แต่วัดกันที่ความฉลาดในการทำงาน
.
38. ความลำบากในชีวิตของเราเกิดขึ้นจากสองสิ่งเท่านั้นคือ เราทำโดยไม่คิด และเราเอาแต่คิดแต่ไม่ลงมือทำ
.
39. ความเจ็บปวดในการสร้างวินัย มักจะน้อยกว่าความเจ็บปวดจากชีวิตที่ขาดวินัยเสมอ
.
40. ชีวิตนี้ยังไงก็ต้องเจ็บปวด แต่เจ็บปวดจากการสร้างวินัยมันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว แต่ถ้าเจ็บปวดจากการขาดวินัยอาจเป็นการเจ็บปวดตลอดชีวิต
.
41. คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
.
42. ความสุขมีสองแบบ คือความสุขที่เป็นความสุขสำราญชั่วคราว และสร้างทุกข์ในระยะยาว กับความสุขสร้างความสำเร็จในระยะยาวแต่อาจทุกข์ในช่วงแรกๆ
.
43. คนที่เอาแต่ใช้ชีวิตสุขสำราญไปวันๆคือ คนที่ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปอย่างไร้สติ
.
44. ความทุกข์ก็มี 2 ประเภท คือทุกข์ถดถอย และทุกข์ถึงธรรม ประเภทแรกเป็นความทุกข์ที่จะนำไปสู่ความทุกข์ต่อไป แต่ทุกข์ประเภทสองคือทุกข์ที่จะนำมาซึ่งสุขในภายหลัง
.
45. วิธีการกำจัดความขี้เกียจที่ดีที่สุดคือ การหลอกสมองด้วยการทำทีละขั้น (chunking) หรือการแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อยๆเล็กๆใช้พลังงานน้อย และค่อยๆทำให้เสร็จไปทีละอย่าง
.
46. รู้จักผลซีการ์นิก (Zeigarnik Effect) คือถ้าเราเริ่มทำอะไรแล้ว สมองจะทำต่อทันทีโดยอัตโนมัติ เพราะสมองไม่ชอบให้เราหยุดทำถ้ายังทำไม่เสร็จ
.
47. สมองเรามักจะกลัวการสูญเสียสิ่งที่มี มากกว่าอยากได้สิ่งที่ยังไม่มีเสมอ เราจึงต้องวดาภาพสิ่งที่เราอยากมีไว้ในสมอง และพยายามอย่างมากที่จะให้สมองรักษาภาพนั้นไว้ไม่ให้เสียมันไป
.
48. เรารับรู้ด้วยการมองเห็นมากถึง 90% เราจึงควรกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จออกไปจากสายตาเรา และแทยที่ด้วยภาพความสำเร็จของเราให้ได้มากที่สุด
.
49. ยึดมั่นโมเดลแห่งความสุขด้วย 3G คือ Gain Grow และ Give เริ่มจากการได้รับของต่างๆไม่ว่าจะเป็น เงินทอง สิ่งของ รอยยิ้ม มิตรภาพ ความรัก นำมาให้เราได้เรียนรู้และเกิดการเติบโตภายใน ละมอบสิ่งเหล่านั้นคืนกลับไปให้ผู้อื่น มอบกลับไปให้สังคม ให้โลกใบนี้
.
50. ใช้หลักอิทธิบาท 4 ตามหลักพุทธศาสนามาช่วยในการฝึกฝน เริ่มจาก ฉันทะคือการมีความรักในสิ่งที่ทำวิริยะ คือทำสิ่งนั้นด้วยความขยันหมั่นเพียร จิตตะคือทำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ และวิมังสาคือการใช้ปัญญามาวิเคราะห์เพื่อแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาให้ทำสิ่งนั้นได้ดียิ่งขึ้นไป แต่อย่าลืมเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ทำต้องตอบโจทย์โลกในระบบทุนนิยม
.
.
.
สั่งซื้อหนังสือที่
.
.
.......................................................................................
ผู้เขียน: ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
สำนักพิพม์: AmarinHowto
หมวดหนังสือ: จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง
จำนวนหน้า: 277 หน้า
ตีพิมพ์ครั้งแรก: 2015
…………………………………………………………………………
.
Comentarios