top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว สมองเศรษฐี

Updated: Jan 21, 2021





รีวิวสมองเศรษฐี

.

“เศรษฐีไม่ใช่แค่คนรวย แต่คือผู้ประเสริฐ ที่มีทั้ง ทรัพย์ สุข และทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย”

.

เป็นหนังสือที่ผสมผสานเทคนิคการพัฒนาตัวเองแบบเข้าใจง่าย เข้ากับหลักการทางจิตวิทยาที่มีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์รองรับ และหลักพุทธศาสนาที่เน้นการเอามาปฏิบัติได้จริง

.

หนังสือมากับ theme หลักที่จำกันง่ายๆ คือ โมเดล 3H สู่ความสำเร็จ อันประกอบไปด้วย Heart (หัวใจ), Head (สมอง) และ Hand (สองมือ)

.

แน่นอนว่าเส้นทางการพาตัวเองไปสู่เศรษฐีต้องเริ่มจาก การใช้หัวใจนำทางก่อน หัวใจเปรียบเหมือน ความฝัน ความปราถนา เป้าหมาย ความต้องการ หนังสือเรียกสั้นๆว่า ‘I dream’ ต่อจากนั้นจึงใช้หัวสมองคิดหากระบวนการในการนำตัวเองไปสู่เป้าหมายนั้น แต่ต้องทำอย่างมีปัญญาด้วย หนังสือเรียกว่า ‘Idea’ สุดท้ายก็คือการลงมือทำด้วยการมีความอุตสาหะ บากบั่น และมุ่งมั่น หนังสือเรียกว่า ‘I do’ ซึ่งเมื่อประกอบกันทั้งสามอย่างแล้ว เราถึงจะมุ่งไปสู่ ‘Ideal ของความสำเร็จ และเป็นเศรษฐีอย่างเราอยากจะมีได้

.

ถ้าเอาแต่ฝันอย่างเดียว เราก็คงจะเป็นคนฝันเฟื่อง ถ้าเอาแต่คิดเราก็จะเป็นพวกคิดฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเอาแต่ทำอย่างเดียวเราก็คือเครื่องจักรในระบอบทุนนิยมดีๆนี่เอง

.

ผมชอบการเปรียบเทียบหนึ่งของหนังสือ ที่เขียนไว้ว่า หัวใจเปรียบเหมือน ‘จุดหมาย’ สมองเปรียบเหมือน ‘แผนที่’ และสองมือคือ ‘ยานพาหนะ’ ที่ใช้ขับเคลื่อนชีวิตเราไป ทั้งสามอย่างนี้ต้องมีแบบสมดุลกัน

.

ส่วนเนื้อหาหลักภายในเล่มก็คือ การอธิบายให้ทำความเข้าใจกับหลักการทำงานของสมอง ซึ่งโยงกับทั้ง การปักหมุดจุดหมาย การค้นหาแผนที่ในการเดินทาง และการเลือกยานพาหนะในการเดินทาง

.

.

ส่วนที่ 1 : heart

หลักๆคือ เราต้องมีภาพสิ่งที่เราอยากทำ อยากเป็นให้ชัดเจน เป้าหมายต้องชัด เพราะสมองเราจะขยายผลสิ่งที่เราสนใจ อย่าไปโฟกัสกับอุปสรรค นอกจากนี้เราควรจะควบคุมความคิดเราให้มีแต่สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราอยากเป็นอยู่เสมอ เพราะมันจะส่งผลไปสู่พฤติกรรมและการกระทำของเรา รวมถึงดึงดูดคนที่มาโคจรรอบตัวเราด้วย และจงมีความเชื่อที่ถูกต้องในเรื่องความสำเร็จอยู่เสมอ เพราะความเชื่อจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหน

.

ส่วนที่ 2: head

หลักๆคือ เรื่องการหมั่นขัดเหลาปัญญาและความรู้ที่เรามี พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆอยู่ตลอด เรื่องการใช้อิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วย ฉันทะ (ความรัก) วิริยะ (ความขยัน) จิตตะ (ความมุ่งมั่นตั้งใจ) และวิมังสา (การคิดไต่ตรอง) บวกกับการเข้าใจโลกทุนนิยม อธิบายสั้นๆ คือเริ่มจากรักในสิ่งที่ทำ ขยันฝึกซ้อม หมั่นพัฒนาตัวเองด้วยปัญญา มุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ปล่อยให้จิดฟุ้งซ่าน และใช้ปัญญาและหลักการเหตุผลในการคิดค้นวิธีแก้ไขและปรับปรุงพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นต้องตอบโจทย์ต่อโลกทุนนิยม คือเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราทำเพราะอยากทำเพียงอย่างเดียว

.

นอกจากนี้แล้ว เรายังต้องนำปัญญามาใช้กับการบริหารเวลาอีกด้วย ต้องเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญ มีวินัยกับสิ่งที่ทำ และไม่ปล่อยเวลาเล็กๆน้อยไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และสุดท้ายคือหลักการยืมเวลาของคนอื่นมาทำงาน หรือสร้างระบบขึ้นมานั่นเอง

.

ส่วนที่ 3: hand

เป็นเรื่องของการลงมือทำ เราต้องรู้จักฝึกความอดทนในการสร้างวินัย มันอาจเจ็บปวดบ้าง แต่นับเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ชั่วคราว ต่างจากความเจ็บปวดของชีวิตที่ขาดวินัย

.

หนังสือแนะนำเทคนิคช่วยในการสร้างวินัยได้อย่างน่าสนใจมาก เช่น เรื่องของการหลอกสมองด้วย การแบ่งงานชิ้นโตให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วมีสติบอกสมองว่าให้ลงมือทำตอนนี้เลย ละเดี๋ยวเราจะทำต่อไปได้เอง อาจมากกว่าที่ตั้งใจหลอกสมองไว้ตอนแรกด้วยซ้ำ

.

นอกจากนี้แล้วเรายังควรฝึกความอดทน ทำหลายๆอย่างที่สมองอาจบอกเราว่าไม่ได้อยากทำ แต่สิ่งเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความสุขในระยะยาว (สุขสำเร็จ ไม่ใช่สุขสำราญ) เราต้องหมั่นมีสติคิดภาพชีวิตในแบบที่เราต้องการไว้เสมอ

.

โดยรวมแล้ว ที่ผมเขียนสรุปสั้นๆด้านบน คือสรุปแบบย่อมากๆ หนังสือมีคำอธิบายถึง H แต่ละตัวไว้อย่างชัดเจน มีตัวอย่าง มีหลักฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมอง และมีคำคม!!!! ของขุนเขาเอง ที่ทำให้ผู้อ่านจำได้ง่ายขึ้นมาก

.

ผมว่าการผสมผสานของเนื้อหาที่ไม่หนักแต่มีประโยชน์ หลักทางพุทธศาสนา และข้อคิดคำคมสั้นๆทั้งหลาย พอเอามารวมกันแล้วช่วยให้หนังสืออ่านสนุกมมากก เหมือนอ่านแล้ววางไม่ลง อยากรู้ว่าจะได้อ่านอะไรที่มันโดนๆ บาดใจเราอีก

.

ภาษาที่ใช้ก็สนุก ไม่เหมือนการสอนการยัดเยียด แต่เหมือนเป็นเพื่อนที่เอาคำแนะนำดีๆ พร้อมเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง

.

เอาตรงๆเนื้อหาก็ไม่ได้แปลกใหม่สักเท่าไหร่ หลายๆเทคนิคก็ถูกเขียนไว้ในหนังสือเล่มอื่นแล้ว แต่การเอามาเรียบเรียงเป็น โมเดล H นับว่าทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และสนุกกับการอยากรู้เทคนิคเหล่านี้

.

ถ้าจะให้ติก็คงเป็นเรื่องความลึกของเนื้อหา ที่ไม่ได้มีการเจาะลึกไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก แต่เป็นการอธิบายภาพรวมถึงเรื่องสำคัญๆที่เราควรรู้ซะมากกว่า

.

โดยรวมแล้วผมว่าเหมาะกับคนเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา พัฒนาตัวเอง ยิ่งภาษาที่ใช้แล้ว น่าจะเข้าถึงหลายๆคนได้ง่ายมากครับ ยิ่งถ้าอายุน้อยๆแล้วเพิ่งเริ่มเข้าวงการหนังสือ เล่มนี้ผมแนะนำเป็นเล่มแรกๆเลย เพราะมันอ่านสนุก ไม่ท้อ มีคอนเซ็ปต์ที่เห็นภาพชัดเจน ดีกว่าอ่านหนังสือแปลที่มีเนื้อหาลึก ตัวอย่างไม่อิน และเป็นการเขียนบรรยายแบบยาวๆครับ

.

เหตุผล 3 ข้อที่ควรอ่านก่อนอายุ 30

1. รู้จักความหมายที่แท้จริงของการเป็นเศรษฐี เพราะเศรษฐีที่หลายๆคนเข้าใจคือผู้มีเงินมากอย่างเดียว แต่การจะเป็นเศรษฐีที่แท้จริงนั้น ต้องรวยทรัพย์ รวยสุข รวยการให้ความสุขด้วย

2. รู้จักหนทางการไปสู่เศรษฐี เตรียมทั้ง Heart Head และ Hand ให้พร้อม

3. รู้จักการประยุกต์ใช้หลักพุทธศาสนา กับการเรียนรู้ที่จะปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ผมว่าหลักพุทธศาสนาหลายๆอย่างใกล้ตัวเรามาก และเอามาใช้ได้จริง แต่ไม่ค่อยมีคนนำมาเชื่อมโยงให้เห็นภาพเท่าไหร่ ซึ่งตรงจุดนี้หนังสือทำได้ดีมากครับ

.

.



.

50 ข้อควรรู้ก่อนอายุ 30 จากหนังสือสมองเศรษฐี

1. เศรษฐี ต้องไม่ใช่แค่คนที่รวยจากการมีเงินมาก แต่เศรษฐีที่จริงๆแล้วแปลว่าผู้ประเสริฐ จะต้องรวยทั้งทรัพย์ รวยทั้งสุข และที่สำคัญคือการทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย

.

2. ไม่ว่าจะอยากประสบความสำเร็จด้านไหนในชีวิต เราจะต้องมีส่วนผสมทั้งสามด้านคือ Heart (ความฝัน) Head (ความคิดสร้างสรรค์) และ Hand (ความขยันมือทำ)

.

3. คนที่เอาแต่ฝัน...ฝัน....ฝัน...อย่างเดียว สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่คนที่ฝันเฟื่อง หรือพวกดีแต่ปาก ที่ชอบพูดว่า ฉันก็ทำได้ แต่ฉันไม่ทำ

.

4. คนที่เอาแต่คิด...คิด....คิด...อย่างเดียว สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่คนประเภทฟุ้งซ่าน คือหมกมุ่นอยู่แต่ในความคิดตัวเอง แต่ไม่ได้ก้าวไปไหนสักที

.

5. คนที่เอาแต่ทำ....ทำ....ทำ...อย่างเดียว สุดท้ายก็จะเป็นได้แค่เครื่องจักร หรือทาสในยุคทุนนิยม ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่เพื่อความสุขสำราญในวันนี้

.

6. ใจล็อคเป้า สมองเปิด มือปั้น เราต้องผสมส่วนผสมทั้ง 3 เข้าด้วยกันเพื่อนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จ

.

7. ใช้หัวใจให้เหมือนเด็กน้อยอยู่เสมอ เราต้องหมั่นเป็นคนช่างฝัน ใช้จินตนาการ ใช้ความปรานาอันเจิดจ้าที่ไม่ถูกครอบด้วยกรอบคิดทางสังคม

.

8. ใช้สมองให้เหมือนผู้อาวุโส เราต้องรู้จักคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ละเอียดถี่ด้วย ไม่ประมาท

.

9. ใช้สองมือให้เหมือนวัยรุ่นอยู่เสมอ เราต้องกล้าลงมือทำ สนุกสนานไปกับการได้ลองอะไรใหม่ๆ กล้าผจญภัย และมุ่งมั่นอดทน

.

10. 3 H ในหนังสือเล่มนี้สามารถเปรียบได้กับ หัวใจ = จุดมุ่งหมาย, สมอง = แผนที่, สองมือ=ยานพาหนะ เราต้องจัดสมดุลของสามสิ่งนี้ไว้ดีๆ เพื่อจะพาตัวเองขึ้นยานพาหนะไปสู่เป้าหมายให้ได้

.

11. เราไม่ได้มองเห็นสิ่งต่างๆด้วยตาเปล่า แต่เรามองเห็นได้ด้วยสมอง ซึ่งสมองจะทำให้เรามองเห็นเฉพาะสิ่งที่เราอยากเห็น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งเราสนใจสิ่งนั้นมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็จะถูกสมองขยายผลให้เห็นชัดขึ้นเท่านั้น

.

12. ยิ่งโจทย์ของเราชัดเท่าไหร่ และยิ่งเราเห็นความสำคัญของโจทย์ดังกล่าวมากเท่าไหร่ สมองก็จะพยายามอย่างหนักในการแก้โจทย์นั้น และหาทางตอบสนองอย่างรวดเร็วและตรงเป้าที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

.

13. เราไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่เราต้องการ แต่เราดึงดูดสิ่งที่เราคู่ควร

.

14. ความคิดไม่ได้มีแรงดึงดูด แต่ความคล้ายต่างหากที่มีแรงดึงดูด เราจึงควรคิดและทำในสิ่งที่คล้ายกับสิ่งที่เราอยากเป็นมากที่สุด และสิ่งนั้นจะดึงดูดคนแบบที่เราต้องการให้เข้ามาโคจรรอบตัวเราเอง

.

15. เราไม่มีวันจะเดินไปได้ไกลกว่าเสาที่เราปักไว้ หรือเราจะไม่มีวันประสบความสำเร็จไปได้ไกลกว่าความเชื่อของเรา

.

16. สิ่งที่คนก่อนตายเสียดายกันมากที่สุดคือ ไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ

.

17. การใช้ชีวิตตามความฝันไม่ได้ยากกกว่า แต่อาจต้องการเพียงความกล้าที่มากกว่าเท่านั้นเอง

.

18. ถ้ามองย้อนไปในอดีต เรามักไม่เสียใจกับสิ่งที่เราทำไปแล้วเท่ากับสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ

.

19. ใจของเราเปิดรับเฉพาะสิ่งที่เรารักเท่านั้น ถ้าเราเกลียดเงิน เราก็จะไม่เปิดรับมัน และต่อให้มีเงินเข้ามาเรามากมาย สุด้ทายมันก็จะหลุดหายไปอยู่ดี

.

20. เศรษฐีไม่ใช่คนที่มีแค่ตั้งเป้าว่าจะรวย แต่เป็นคนที่ตั้งเป้าว่าจะมีสมองแบบคนรวย เพราะถ้าเกิดวิกฤตแล้วล้มละลาย พวกเขาก็จะหาวิธีกลับมารวยได้เสมอ

.

21. ปัญญาต้องมาก่อนเงินตรา และสติต้องมาก่อนสตางค์เสมอ

.

22. ยิ่งเราโลภมากเท่าไหร่ เรานิ่งตัดสินใจและวางแผนได้แย่ลงเท่านั้น

.

23. เงินที่มากมายไม่ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนชีวิตเราแต่แค่มาขยายตัวตนของเราให้เด่นชัดขึ้นเท่านั้น ถ้าเรายิ่งรวย เราจึงควรเพิ่มปัญญาให้เหมาะสมกับความรวยนั้นด้วย

.

24. จำนวนเส้นประสาทในสมองเป็นตัวบ่งบอกความฉลาดของคนเรา และยิ่งทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกธุรกิจ

.

25. เศรษฐีใช้เวลาในการพัฒนาตัวเองมากกว่าเวลาในการมานั่งวิจารณ์คนอื่น

.

26. ชีวิตที่ทุกข์ที่สุด ไม่ใช่ชีวิตที่เหนื่อยที่สุด แต่คือชีวิตที่ใช้ไปอย่างไร้จุดหมายที่สุด

.

27. เราจะได้เงินจากผลลัพธ์ของเราตามคุณภาพของผลลัพธ์ ไม่ใช่เวลาในการสร้างผลลัพธ์

.

28. จำนวนเงินที่เราหาได้ในโลกทุนนิยม = ความตรงใจในการตอบโจทย์คน + จำนวนคนที่เราตอบโจทย์ได้

.

29. ธุรกิจทุกอย่างบนโลกเกี่ยวข้องกับคนทั้งหมด เราต้องรู้ใจคน รู้ว่าความสุขของคนคืออะไร แล้วหาสิ่งที่ตอบโจทย์คนเหล่านั้นให้ได้

.

30. การทำงานมี 3 ระดับ คือ ทำเพื่อเสร็จ ทำเพื่อทรัพย์ และทำเพื่อสุข แต่ถ้าเราเล็งไปว่าเราอยากทำเพื่อสุขของเราและคนอื่น สิ่งนั้นมักจะนำมาซึ่งทรัพย์ และงานเสร็จตามต้องการด้วย

.

31. เราควรจัดเวลาให้กับสิ่งสำคัญของเราอย่างเหมาะสม คนทุกคนมีเวลาสในหนึ่งวันเท่ากัน แต่การจัดสรรเวลาไม่เหมือนกัน

.

32. ต่อให้เรายุ่งแค่ไหน เราก็มักจะมีเวลาให้สิ่งท่สำคัญสำหรับเราเสมอ

.

33. สิ่งที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การมีเวลาไม่พอ แต่คือการมีวินับไม่พอต่างหาก เราจึงควรหมั่นฝึกฝนวินัยอยู่เสมอ

.

34. อย่าดูถูกเศษเวลาในแต่ละวัน เราล้วนนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาตัวเองได้เสมอ

.

35. เศรษฐีทุกคนไม่ได้ใช้เวลาทำเงิน แต่ใช้ระบบทำเงิน

.

36. เราต้องสร้างร่างคู่ขานให้ออกมาช่วยทำงานแทน เพราะไม่เคยมีใครร่ำรวบจากการทำงานวันละ 8 ชม.ได้

.

37. ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ความหนักของการทำงาน แต่วัดกันที่ความฉลาดในการทำงาน

.

38. ความลำบากในชีวิตของเราเกิดขึ้นจากสองสิ่งเท่านั้นคือ เราทำโดยไม่คิด และเราเอาแต่คิดแต่ไม่ลงมือทำ

.

39. ความเจ็บปวดในการสร้างวินัย มักจะน้อยกว่าความเจ็บปวดจากชีวิตที่ขาดวินัยเสมอ

.

40. ชีวิตนี้ยังไงก็ต้องเจ็บปวด แต่เจ็บปวดจากการสร้างวินัยมันเป็นเพียงแค่ชั่วคราว แต่ถ้าเจ็บปวดจากการขาดวินัยอาจเป็นการเจ็บปวดตลอดชีวิต

.

41. คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

.

42. ความสุขมีสองแบบ คือความสุขที่เป็นความสุขสำราญชั่วคราว และสร้างทุกข์ในระยะยาว กับความสุขสร้างความสำเร็จในระยะยาวแต่อาจทุกข์ในช่วงแรกๆ

.

43. คนที่เอาแต่ใช้ชีวิตสุขสำราญไปวันๆคือ คนที่ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปอย่างไร้สติ

.

44. ความทุกข์ก็มี 2 ประเภท คือทุกข์ถดถอย และทุกข์ถึงธรรม ประเภทแรกเป็นความทุกข์ที่จะนำไปสู่ความทุกข์ต่อไป แต่ทุกข์ประเภทสองคือทุกข์ที่จะนำมาซึ่งสุขในภายหลัง

.

45. วิธีการกำจัดความขี้เกียจที่ดีที่สุดคือ การหลอกสมองด้วยการทำทีละขั้น (chunking) หรือการแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อยๆเล็กๆใช้พลังงานน้อย และค่อยๆทำให้เสร็จไปทีละอย่าง

.

46. รู้จักผลซีการ์นิก (Zeigarnik Effect) คือถ้าเราเริ่มทำอะไรแล้ว สมองจะทำต่อทันทีโดยอัตโนมัติ เพราะสมองไม่ชอบให้เราหยุดทำถ้ายังทำไม่เสร็จ

.

47. สมองเรามักจะกลัวการสูญเสียสิ่งที่มี มากกว่าอยากได้สิ่งที่ยังไม่มีเสมอ เราจึงต้องวดาภาพสิ่งที่เราอยากมีไว้ในสมอง และพยายามอย่างมากที่จะให้สมองรักษาภาพนั้นไว้ไม่ให้เสียมันไป

.

48. เรารับรู้ด้วยการมองเห็นมากถึง 90% เราจึงควรกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จออกไปจากสายตาเรา และแทยที่ด้วยภาพความสำเร็จของเราให้ได้มากที่สุด

.

49. ยึดมั่นโมเดลแห่งความสุขด้วย 3G คือ Gain Grow และ Give เริ่มจากการได้รับของต่างๆไม่ว่าจะเป็น เงินทอง สิ่งของ รอยยิ้ม มิตรภาพ ความรัก นำมาให้เราได้เรียนรู้และเกิดการเติบโตภายใน ละมอบสิ่งเหล่านั้นคืนกลับไปให้ผู้อื่น มอบกลับไปให้สังคม ให้โลกใบนี้

.

50. ใช้หลักอิทธิบาท 4 ตามหลักพุทธศาสนามาช่วยในการฝึกฝน เริ่มจาก ฉันทะคือการมีความรักในสิ่งที่ทำวิริยะ คือทำสิ่งนั้นด้วยความขยันหมั่นเพียร จิตตะคือทำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ และวิมังสาคือการใช้ปัญญามาวิเคราะห์เพื่อแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาให้ทำสิ่งนั้นได้ดียิ่งขึ้นไป แต่อย่าลืมเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ทำต้องตอบโจทย์โลกในระบบทุนนิยม

.

.

.

สั่งซื้อหนังสือที่

.

.

.......................................................................................

ผู้เขียน: ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร

สำนักพิพม์: AmarinHowto

หมวดหนังสือ: จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง

จำนวนหน้า: 277 หน้า

ตีพิมพ์ครั้งแรก: 2015

…………………………………………………………………………

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อนอายุ30


62 views0 comments

Comentarios


Post: Blog2_Post
bottom of page