รีวิวหนังสือ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด
How to be Better at (Almost) Everything
.
เป็นหนังสือที่ชวนให้คนอ่านมาเปลี่ยนจาก ‘คนเก่งลึก’ มาเป็น ‘คนเก่งกว้าง’
.
เอาจริงๆ หนังสือไม่ได้อธิบายตรงๆเกี่ยวกับการเป็นเป็ด หรือ Jack of all trades, master of none ในภาษาอังกฤษที่อาจแปลได้ว่าคนพวกที่ทำเป็นหลายอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง หนังสือเน้นคำว่าการเก่งหลายด้าน แต่ไม่ต้องเก่งให้สุด เก่งแค่ประมาณ 80% ก็พอ
.
ในจุดนี้อาจทำให้คนอ่านบางคนสับสนได้บ้าง เพราะสำหรับผมแล้ว พวกเป็ดคือคนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง หรืออีกนัยหนึ่งคือ คนที่ชอบทำหลายอย่าง แต่ไม่ได้ชอบสุดๆสักอย่าง ซึ่งจะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยกับสิ่งที่ผู้เขียนพยายามจะอธิบายครับ
.
จริงๆแล้วเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเรียบง่ายมาก คือเริ่มจากการอธิบายว่าคนเก่งกว้างดีกว่าคนเก่งลึกยังไง และต่อด้วยทักษะพื้นฐานในการพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งกว้าง ตบท้ายด้วยบุคคลตัวอย่างที่เก่งกว้างและประสบความสำเร็จ
.
อย่างไรก็ตาม หนังสือไม่ได้ยกตัวอย่างชัดเจนถึงพวกที่เก่งลึกในแบบที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ทำให้แอบตีความยากว่า ใครสมควรได้ฉายาว่าเป็นพวกเก่งลึก และไม่ถูกจัดเป็นพวกเก่งกว้างตามที่หนังสือจัดกลุ่มไว้
.
ถ้าคิดในอีกนัยหนึ่งอาจบอกได้ว่า หนังสือต้องการชวนผู้อ่านมาฝึกทักษะที่สำคัญพื้นฐานให้เป็น เพื่อเป็นรากฐานในการต่อยอดไปสู่ทักษะหลายๆด้าน เป็นการเพิ่มโอกาสในการทำงาน เพิ่มโอกาสในการสำเร็จ โดยเฉพาะคนที่อาจมุ่งสนใจไปแค่ทักษะด้านเดียวในชีวิต จนดำดิ่งไปสู่ความเป็นคนเก่งลึกเกินไปในทักษะสาขานั้นๆ
.
ซึ่งไอทักษะพื้นฐานที่ว่านี่ก็ค่อนข้างเป็นทักษะทั่วไปมากๆ เช่น ทักษะด้านระเบียบวินัย หรือการมีสมาธิ แต่ก็ไม่อาจเถียงได้ว่าทักษะเหล่านี้ไม่เป็นที่จำเป็นในการพัฒนาการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ไม่ว่ะจะเป็น การเล่นกกีฬา การทำอาหาร การพูดภาษาใหม่ หรือการเขียนโปรแกรม
.
อีกอย่างที่ผมแปลกใจหลังอ่านคือ เล่มนี้เน้นความเห็นของผู้เขียนโดยตรง ไม่ได้ใส่หลักฐานอ้างอิง การทดลอง หรือข้อมูลสนับสนุนเนื้อหาส่วนใดเลย เนื้อหาเกือบ 100% มาจากประสบการณ์และการวิเคราะห์ของผู้เขียน ซึ่งเรียบเรียงและจัด theme ให้ออกมาในรูปการณ์พัฒนาทักษะใหม่ๆเพื่อเป็นคนที่มีทักษะหลายๆด้าน (เก่งกว้างนั่นเอง)
.
ถ้าพูดถึงข้อดีคือ หนังสืออ่านเพลินมาก คนเขียน (รวมถึงคนแปล) ใช้สำนวนได้สนุกและน่าติดตาม บางเรื่องที่เนื้อหาดูเบาๆ ไม่ค่อยมีอะไรก็ยังน่าสนใจและชวนให้ผู้อ่านอ่านต่อได้ บางทีก็มีหลุดๆประเด็นไปบ้าง แต่ก็อ่านเพลินๆไปครับ
.
ถ้าเพิ่มตัวอย่างลงไปในแต่ละหัวเรื่องน่าจะทำให้หนังสืออ่านสนุกกว่านี้
.
ส่วนตัวอย่างคนที่หนังสือยกมาว่าเป็นคนเก่งกว้างท้ายเล่ม ก็มีหลากหลาย (ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่รู้จัก555) เริ่มจาก นักเขียน นักกีฬา นักกฎหมาย นักธุรกิจ ไปจนถึง Donald Trump ผู้ซึ่งเก่งทุกอย่างๆจริงๆ ตั้งแต่การเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน เจ้าของรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อดัง และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
.
โดยรวมแล้ว ผมแอบผิดหวังเล็กๆ ที่หนังสือไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นเป็ดจริงๆ คือคนที่ชอบเป็นเป็ด ชอบทำหลายๆอย่าง แต่ไม่ได้ชอบทำอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ แต่ไปเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานและกฎเหล็กสำหรับคนอยากเก่งกว้าง อยากมีทักษะหลายๆด้านมากกว่า พูดง่ายๆคือหนังสือไม่ได้เกี่ยวกับ ‘ความชอบ’ แต่เป็น ‘การฝึกฝนทักษะ’
.
ซึ่งส่วนตัวผมเป็นคนชอบทำหลายๆอย่าง แต่ไม่ได้ชอบทำอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ หนังสือจึงไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่นัก
.
อย่างไรก็ตาม หนังสืออ่านสนุก และให้ข้อคิดดีๆ ถ้าใครสนใจอยากพัฒนาทักษะให้ตัวเองเป็นคนเก่งกว้าง ทำอะไรได้หลายๆอย่าง ก็ลองซื้อมาอ่านกันดูได้ครับ
.
และแน่นอนว่า ผมเลือก 5 ข้อที่ชอบที่สุดหลังอ่านหนังสือ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด มาฝากกันครับ
.
1) เหตุผล 3 ข้อว่าทำไมเราควรเก่งกว้าง
.
ข้อแรก เพราะว่า คนเก่งแบบเป็ดไม่น่าเบื่อ ทำเป็นหลายๆอย่างก็เปิดโอกาสให้คนเก่งแบบเป็ดเปลี่ยนไปทำหลายๆอย่างได้ ไม่ต้องซ้ำซากจำเจกับอะไรแค่อย่างเดียว เช่นการปลูกต้นไม้
.
ข้อที่ 2 คือ เก่งหลายๆด้านมีประโยชน์อย่างมากในการทำธุรกิจ และช่วยให้เรามีโอกาสในการนำทักษะหลายๆด้านมาประกอบกันเป็นไอเดียธุรกิจใหม่ๆ
.
ข้อที่ 3 คือ การทำทักษะหลายๆอย่างได้ดีจะนำพาความสุขมาให้เรา เพราะผู้เขียนเชื่อว่าคนเรามีความสุขก็ต่อเมื่อได้ลงมือทำสิ่งต่างๆอย่างเพลิดเพลิน มากกว่าที่จะมีความสุขจากการรับ
.
.
.
2) 5 กฎเหล็กสำหรับคนอยากเก่งกว้าง
.
ผู้เขียนเน้นย้ำตลอดเล่มถึง กฎ 5 ข้อนี้ ที่ใครก็ตามที่อยากพัฒนาทักษะใหม่ๆและกลายเป็นคนเก่งกว้างต้องรักษาเอาไว้อย่างเคร่งครัด
.
ข้อที่ 1: เรียนทักษะหลายด้านเพื่อใช้ร่วมกัน ดีกว่าเก่งด้านเดียวเป็นพิเศษ
ข้อสรุปง่ายๆของผู้เขียนที่เป็นใจความหลักของทั้งเล่ม ‘เก่งกว้างดีกว่าเก่งลึก’
.
ข้อที่ 2: จงเป็นคนเก่งลึกในระยะสั้น
เพราะการที่เราจะทำทักษะอะไรได้ดี เราต้องหมั่นฝึกฝนจนเก่งลึกในระยะสั้นก่อน แต่พอเก่งถึงในระดับที่ต้องการแล้ว ก็ให้เปลี่ยนไปฝึกทักษะอื่นต่อ เราจึงจะเป็นคนเก่งกว้างหลายๆด้านได้
.
ข้อที่ 3: เก่งแค่ 80% ก็พอ
ต่อเนื่องจากข้อเมื่อกี้ เราต้องฝึกทักษะให้เป็นคนเก่งลึกประมาณ 80% แล้วเปลี่ยนไปฝึกทักษะอื่น เพราะถ้าเราเก่งกว่านี้ เราก็จะหลุดออกไปสู่โลกของคนเก่งลึกจริงๆ
.
ข้อที่ 4: โฟกัสแต่ทักษะจำเป็นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
เราต้องตั้งเป้าก่อนว่า เราจะพัฒนาทักษะใหม่ไปเพื่ออะไร แล้วทักษะที่เราได้มานั้นจะตอบโจทย์ต่อเป้าหมายเราอย่างไร นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้เราไม่เฉไฉออกไปฝึกทักษะอื่นที่ไม่จำเป็น
.
ข้อที่ 5: หมั่นฝึกฝนและเพิ่มระดับความยาก
เราต้องรู้จักเพิ่มระดับความยากของการฝึกทักษะใหม่ เพราะถ้ามัวแต่ฝึกระดับความยากเดิม เราก็คงไม่มีทางเก่งขึ้นจนถึงระดับที่คาดหวังไว้ได้ แต่คนเรานี่แปลกอย่างคือ เราชอบฝึกสิ่งที่เราเก่งอยู่แล้ว และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เราทำไม่เก่ง เราต้องตระหนักเรื่องนี้ดีๆ
.
.
.
3) ทักษะพื้นฐาน 5 ข้อสำหรับคนเก่งกว้าง
.
ข้อที่ 1: ระเบียบวินัย
ระเบียบวินัยถือเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดในการเริ่มทำอะไรให้สำเร็จ ตัวอย่างเช่นการออกกำลังกาย เราต้องมีการจัดตารางอย่างสม่ำเสมอ กิจวัตรประจำวันต่างๆของเราก็ล้วนแต่ขึ้นกับระเบียบวินัยที่เรามี การฝึกทักษะใหม่ๆ การเรียนรู้และการคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆล้วนแล้วแต่ขึ้นกับระเบียบวินัยที่เรามี
.
ข้อที่ 2: สมาธิ
การมีสมิคือการให้ความสนใจกับสิ่งสำคัญจริงๆที่เราตั้งใจจะทำ ไม่ถูกรบกวนโดยสิ่งเร้าอื่นๆ หรือการที่เราสามารถยับยั้งความอยากที่กั้นเราไม่ให้เริ่มทำสิ่งสำคัญได้ ตัวอย่างง่ายๆเช่น ถ้าเราไม่มีสมาธิ ทุกครั้งที่เราเปิดคอมเพื่อเขียนบทความ หรือเขียนรายงาน เราก็คงจะเปิด facebook เล่นไปเพลินๆ ตอบคอมเม้น หรืออารมณ์เสียกับคอมเม้นบนโพสต์ที่เราไม่ถูกใจ และสุดท้ายก็อาจลืมไปว่าเราเปิดคอมขึ้นมาทำอะไร จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
.
ข้อที่ 3: เหตุและผล
การคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุและผลจะช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่น และสิ่งต่างๆรอบตัวได้มากขึ้น ตัวอย่างง่ายคือการใช้เหตุผลมาโต้แย้ง และหักล้างความเห็นของอีกฝ่าย จะฝึกให้เรารู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ และเพิ่มโอกาสให้เราได้เข้าใจผู้อื่น ช่วยให้เราแสดงความเห็นของเราได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้เราโน้มน้าวผู้อื่นได้มากขึ้น
.
ข้อที่ 4: การโน้มน้าวผู้คน
ในที่นี้ผู้เขียนอธิบายว่าการโน้ม้นาวผู้คนคือ การเข้าหาคนที่เห็นด้วยกับเราอยู่แล้ว และชวนให้คนเหล่านั้นปฏิบัติตามแนวทางของเรา ข้อนี้อาจสุดโต่งนิดนึงแต่คนเขียนกล้าบอกเลยว่า ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย เพราะยังไงก็ดีกว่าการที่คนเหล่านั้นไม่มีความคิดเห็นอะไรต่อเราเลย
.
ข้อที่ 5: ความเชื่อ
ผู้เขียนเล่าว่าความเชื่อเป็นแนวทางสูงสุดและเป็นแนวทางเดียวที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมาย ที่ช่วยให้เราได้เปลี่ยนแปลงโลกจริงๆ ความเชื่อนับเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นตัวเราในแบบที่เราเป็น เราจึงต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ เรื่องนี้ผู้เขียนย้ำว่าจะเป็นความเชื่อเรื่องอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นศาสนา หรือการเมืองเท่านั้น
.
.
.
4) ตัดสินใจฝึกทักษะที่ทำให้ตัวเองมีความสุข
.
นอกจากทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเป็นคนเก่งกว้างแล้ว เราก็เลือกทักษะที่อยากฝึกตามความสุขที่เรามี ตัดสินใจไปเลยตามความรู้สึกว่าการทำอะไรจะทำให้เกิดความสุขกับใจเรา
.
และอย่าลืมคิดด้วยว่าสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เรามีความสุขที่ได้ทำ จะไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ยังไงบ้าง พูดอีกนับหนึ่งก็คือ คนอื่นเห็นคุณค่าของทักษะที่เรามี หรืองานที่เราทำยังไงบ้าง
.
.
.
5) ลงมือทำเลย ไม่ต้องรอให้มีข้อมูลพร้อมทุกอย่างหรอก
.
คนทั่วไปมักชอบรอให้มีข้อมูลเพียบพร้อมก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตาม แต่ผู้เขียนบอกอย่างชัดเจนว่าการมีข้อมูลมากเกินไปก็อาจกลายเป็นข้อเสีย เพราะจะทำให้เรางงว่าควรจะเริ่มทำอะไรก่อนดี
.
การมีข้อมูลอยู่อย่างจำกัดจะทำให้เราได้ลองทำไปก่อน เท่าที่ข้อมูลจะเอื้ออำนวย และถ้าเราต้องการข้อมูลเพิ่ม เดี๋ยวเราก็ค่อยหาทีหลังเพิ่มเติมก็ได้
.
สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือทำ การจะฝึกทักษะใหม่ๆให้สำเร็จ เราต้องลงมือทำไปเรื่อยๆ พยายามอย่างเต็มที่ในสิ่งที่ทำ ยึดมั่นในกฎ 5 ข้อสำหรับการเป็นคนเก่งกว้าง และจงระลึกไว้ว่าเราจะต้องช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
.
.
.
.
.
………………………………………………………………………….
ผู้เขียน: Pat Flynn
ผู้แปล: ปฏิภาณ กุลวพันธ์
สำนักพิมพ์: Bingo
แนวหนังสือ: จิตวิทยา, พัฒนาตัวเอง
…………………………………………………………………………..
.
.
สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
.
#หลังอ่าน#รีวิวหนังสือ#หนังสือ2020 #หนังสือ2563 #reviewหนังสือ#วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด #HowtobeBetteratAlmostEverything #สำนักพิมพ์Bingo #PatFlynn #ปฏิภาณกุลวพันธ์ #หนังสือจิตวิทยา #หนังสือพัฒนาตัวเอง
Comments