รีวิวหนังสือ ช่างหัวคุณสิครับ!
Ignore Everybody
.
ขอขอบคุณหนังสือจากร้านนายอินทร์นะครับ
.
จริงๆเล่มนี้แปลมานานแล้วแต่ว่าล่าสุด Welearn ได้มาทำปกและตีพิมพ์ใหม่ เอาจริงๆผมก็ว่าเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว แต่จำไม่ได้ซะงั้น รอบนี้ก็เลยเหมือนหยิบมาอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบนึงเลย
.
Ignore Everybody เขียนโดย Hugh MacLeod ศิลปินนักวาดภาพด้านหลังนามบัตร และเป็นจุดเด่นในการเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้
.
โดยรวมแล้ว หนังสือเป็นเหมือนการเล่าเทคนิคที่ทำให้การวาดการ์ตูนหลังนามบัตรของผู้เขียนประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวผู้เขียน ซึ่งหลักๆก็คือเรื่องการปลดปล่อยไอเดีย และความคิดสร้างสรรค์
.
เหมือนที่เขียนไว้บนปกหนังสือ เนื้อหาของหนังสือจะวนๆอยู่กับการเป็นตัวของตัวเอง และเลิกฟังเสียงคนอื่น อารมณ์เดียวกับช่างหัวคนอื่นซะ รังสรรค์งานศิลปะในสไตล์ของตัวเองก็พอแล้ว
.
หนังสือแบ่งเป็นบทย่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องเล่าเล็กๆของผู้เขียน ซึ่งมาพร้อมกับข้อคิดตบท้ายว่าอะไรคือเทคนิคของตัวเขา
.
เอาตรงๆผมมองว่าหนังสือเหมือนเป็นบันทึกของผู้เขียนเกี่ยวกับงานการเขียนการ์ตูนหลังนามบัตรที่สร้างชื่อให้กับเขา แต่เรื่องราวเหล่านั้นค่อนข้างกระจัดกระจาย ไม่ค่อยเป็นระเบียบ แค่ผู้เขียนพยายามจัดให้อยู่ใน theme การปล่อยไอเดียสร้างสรรค์ออกมาเฉยๆ
.
เรื่องแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ จบในตัว 2-3 หน้าก็จบ ไม่ได้เป็นหนังสือแนวการทดลอง วิจัย มีหลักฐานอ้างอิงอะไร เป็นการปลดปล่อยความคิดแบบรัวๆของผู้เขียนมากกว่า
.
สิ่งที่อาจจะไม่ได้ตรงใจผมเท่าไหร่คือ เนื่องจากการ์ตูนหลังนามบัตรของผู้เขียนออกมาเป็นแนวประชดเสียดสีสังคม บริบททางสังคมและวัฒนธรรมจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญมากในการทำความเข้าใจมุกของการ์ตูนแต่ละรูป และการ์ตูนพวกนี้ยังเป็นตัวเด่นในการเล่าเรื่องของผู้เขียน ถ้าไม่เข้าใจบริบทในการ์ตูน ก็อาจทำให้ไม่อินกับเรื่องที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ หรือพูดง่ายๆคือ ผู้เขียนเขียนการ์ตูนล้อเลียนสังคมอเมริกา ผมซึ่งไม่ได้อินอะไรกับวัฒนธรรมประเทศทางนู้นเท่าไหร่ ก็รู้สึกไม่อินกับการ์ตูนและเรื่องเล่าของผผู้เขียนด้วย
.
อันนี้ผมว่าแล้วแต่คนเลยว่า อ่านแล้วชอบมุกบนการ์ตูนของผู้เขียนมากน้อยแค่ไหน
.
อีกเรื่องคือ หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 ทำให้หลายๆมุก หลายๆเรื่องเล่าที่นำมาใช้มีความเก่าระดับนึง แต่ก็ไม่ได้เก่ามากมายขนาดนั้น
.
และอีกอย่างคือหนังสืออาจคิดลบไปบ้างระดับนึง คือให้มองคนรอบๆตัวในแง่ร้ายนั่นแหละ เวลาทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เราเลยควร Ignore ควรช่างหัวคนพวกนั้นทั้งหมด
.
เอาเป็นว่าใครอยากทำงานสร้างสรรค์ งานแนวครีเอทีฟ ปล่อยไอเดียแบบล้นๆ ก็ลองอ่านข้อคิดของเล่มนี้ดูกันได้ครับ แต่ถ้าจะให้อินกับเนื้อเรื่อง ผมว่าต้องแล้วแต่คนเลย
.
ทั้งนี้ผมขอหยิบ 12 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือปลดปล่อยไอเดียงานศิลป์เล่มนี้มาฝากกันนะครับ
.
.
1) ไม่ต้องเป็นไอเดียใหญ่ ขอให้เป็นไอเดียคุณเองก็พอ
.
ขอแค่เราทุ่มเทอย่างสุดตัวให้กับงานของเรา เราก็อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนได้อีกมากมาย
.
.
2) ไอเดียที่ดีมักจะมีวัยเด็กที่โดดเดี่ยวเสมอ
.
ง่ายๆคือ ตอนริเริ่มไอเดีย จะไม่ค่อยมีใครมาสนใจไอเดียเราเท่าไหร่ จนกว่าคนจะเริ่มเห็นว่าไอเดียของเรามันเวิร์คและน่าติดตาม
.
.
3) เราต้องตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
.
ไม่มีใครมาบอกเราได้ว่าเรื่องที่เราทำอยู่ดีไม่ดี เป็นเรื่องที่มีคุณค่า มีความหมายรึเปล่า ยิ่งเรื่องที่เราทำน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เส้นทางของเราก็คงจะโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น
.
.
4) ทุกคนเกิดมาเป็นนักสร้างสรรค์ตอนอนุบาล ทุกคนต่างได้รับสีเทียนไว้ขีดเขียนเล่น
.
เมื่อเราโตขึ้นเราต่างต้องเจอกับการเรียนวิชาอันน่าปวดหัวมากมาย แต่ขอเพียงแค่เราระลึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กเหล่านั้น และคืนพื้นที่ให้กับเหล่าสีเทียนให้ได้มาละเลงสีแห่งความสร้างสรรค์บนชิ้นงานของเราอีกครั้ง
.
.
5) เราทุกคนมีภูเขาเอเวอเรสท์เป็นของตัวเอง และเราเกิดมาในโลกเพื่อปีนภูเขาลูกนั้น
.
หางานศิลปะหรือเป้าหมายที่เราอยากทำให้เจอ แล้วปีนขึ้นไปเลย!
.
.
6) อย่าเอาภายในของเราไปเปรียบเทียบกับภายนอกของคนอื่นเด็ดขาด
.
เรื่องนี้ผู้เขียนต้องการจะสื่อว่า แม้งานศิลปะของเราอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมตามที่มั่นหมายไว้ (เช่น การสร้างรายได้ การได้เลื่อนตำแหน่งงาน) แต่มันก็อาจจะก่อให้เกิดคุณค่าทางจิตใจอย่างมหาศาล
.
.
7) หลีกให้ห่างแก๊งค์ตู้กดน้ำเย็น
.
แก๊งค์ตู้กดน้ำเย็นที่ผู้เขียนหมายถึงคือพวกที่ชอบนินทาคนอื่น และคอยดูถูกไอเดียคนอื่นในที่ทำงาน ที่ชอบมารวมตัวกันอยู่ตรงตู้กดน้ำเย็น พวกนี้ขี้บ่น และเอาแต่บ่น ไม่ได้ช่วให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆขึ้นมา
.
.
8) อย่าห่วงเรื่องแรงบันดาลใจ สุดท้ายมันจะวิ่งมาหาเราเอง
.
อย่าไปฝืนเรื่องแรงบันดาลใจ ในการสร้างงานศิลปะ แรงบันดาลใจส่วนใหญ่จะวิ่งเข้ามาหาเราเอง และจะช่วยสร้างความปราถนาให้เราสร้างงานศิลป์เสมอ
.
.
9) ค้นหาแนวทางของตัวเราเอง
.
หาให้พบว่าช่วงเวลาไหนคือช่วงเวลา ที่เราจะเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์งานในรูปแบบของเราได้ โดยไม่ต้องไปเลียนแบบสไตล์คนอื่น
.
.
10) ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหน ก็ล้วนแต่มีข้อเสียทั้งนั้น
.
ถ้าเราเลือกจะสร้างงานเพื่อเอาใจตลาด เราก้อาจเกิดราคาที่ต้องจ่าย เช่นอาจไม่ได้ทำงานแบบที่เราต้องการเป๊ะๆ ในขระที่ถ้าเราทำงานตามใจตัวเองทุกอย่าง ไม่ตามใจตลาดเลย เราก็มีราคาที่ต้องจ่ายเหมือนกัน คือคนก็อาจไม่ซื้องานเราเท่าไหร่
.
.
11) จงดื่มด่ำกับการไม่มีชื่อเสียงอย่างเต็มที่ เมื่อเรายังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น
.
เพราะถ้าเรามีชื่อเสียงแล้ว แน่นอนว่าชีวิตของเราอาจเปลีย่นไปในแบบที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
.
.
12) ความหมายอาจเปลี่ยนไป แต่คนเราไม่เปลี่ยนแปลง
.
ที่ผู้เขียนจะสื่อก็คือ การตีความหมายวิ่งต่าง คุณค่าของชีวิต ความตาย อาจเปลี่ยนไปเมื่อเราแก่ลง แต่สุดท้ายเราก็ยังใช้ชีวิตเดินดินในแต่ละวันไปเรื่อยๆเหมือนเดิมเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั่วไป
.
.
.
………………………………………………………………………….
ผู้เขียน: Hugh MacLeod
ผู้แปล: อาสยา ฐกัดกุล
สำนักพิมพ์: Welearn
แนวหนังสือ: พัฒนาตัวเอง, แรงบันดาลใจ (สร้างสรรค์ศิลปะ)
…………………………………………………………………………..
.
.
สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
.
#หลังอ่าน#รีวิวหนังสือ#หนังสือ2020 #หนังสือ2563 #reviewหนังสือ#ช่างหัวคุณสิครับ #IgnoreEverybody
#HughMacLeod #อาสยาฐกัดกุล #สำนักพิมพ์Welearn # Welearn #หนังสือพัฒนาตัวเอง # แรงบันดาลใจสร้างสรรค์ศิลปะ
Kommentarer