สรุป และ รีวิวหนังสือ ยินดีที่ (ไม่) ได้รู้
The Joy of Missing Out: Live More by Doing Less
. ขอขอบคุณหนังสือใหม่ ส่งตรงจากสำนักพิมพ์ Cactus ของ B2S ด้วยนะครับ
.
📖สรุปหนังสือ
.
“ บางครั้งชีวิตที่ตึงเกินไปก็ทำให้เราเคร่งเครียดเกินจำเป็น เราต้องรู้จักปล่อยวาง เลือกทำเฉพาะสิ่งสำคัญจริงๆ ใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ และเปิดรับทุกสิ่งในปัจจุบัน”
.
Joy of Missing out (JOMO) เป็นคำที่เลียนแบบมาจากคำว่า Fear of Missing out (FOMO) ที่คนเป็นกันอย่างมากมายในยุคนี้ เนื่องจากมีข้อมูลข่าวสารเผยแพร่กันมากมายบนโซเชียลมีเดีย จนหลายๆคนติดกับงอมแงม และไม่หันไปทำอย่างอื่น เพียงเพราะว่ากลัวจะพลาดเรื่องสำคัญไป
.
JOMO คือคำนามที่มีความหมายตรงกันข้าม ตามหนังสือ ให้นิยามไว้ 2 ความหมาย
1. ความฉลาดทางอารมณ์ที่เป็นเหมือนยาต้านความวุ่นวายในชีวิต จงใจเลือกอยู่ในห้วงเวลาปัจจุบัน เปิดใจรับทุกสิ่งรอบๆตัว และไม่เร่งรีบ
2. ฟีลลิ่งดีๆ และความรู้สึกอิ่มเอมใจที่เลือกทำสิ่งสำคัญของตัวเองอย่างแท้จริง และปล่อยวางสิ่งที่ควรทำ, ต้องทำ หรือเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญไป
.
.
โดยรวมหลังอ่านจบแล้ว ตามความเข้าใจของผมเอง หนังสือเล่าภาพของคนที่มีสภาวะวุ่นวายทางจิตใจ มีเรื่องให้ต้องทำมากมายในแต่ละวัน และพอจบวันทีไรก็ยังรู้สึกว่าไม่ถูกเติมเต็ม เพราะเหมือนจะทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง
.
เรื่องเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับช่วงวัยกลางคน ที่กำลังรุ่งโรจน์ในชีวิตการงาน และกำลังเริ่มมีชีวิตครอบครัวที่ไปได้สวย ทั้งงานที่ถาโถมด้วยตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือความวุ่นวายจากการที่บางคนอาจออกมาเปิดธุรกิจของตัวเองเช่น ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ พอมารวมกับความรับผิดชอบและหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่คน โดยเฉพาะในช่วงที่ลูกยังเล็ก ดูจะเป็นอะไรที่เอ่อล้นกำลังของเราในแต่ละวันอย่างมาก
.
หนังสือเล่มนี้จึงพยายามคิดกลยุทธ์ในการแก้ไข ความรู้สึกเอ่อล้นเหล่านี้ และช่วยให้เราได้ใช้แต่ละวันให้ผ่านไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อให้เราได้พบกับฟีลลิ่งแบบ JOMO ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้จบวันอย่างสวยงาม
.
เปรียบเทียบกับกลยุทธ์ในการบริหารแต่ละวันของเราให้เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ถูกเติมเต็ม เหมือนการหยิบลูแก้วใส่โหล ทีละลูกๆ จนเต็มโหล ลูกแก้วแต่ละลูกคือ สิ่งสำคัญของเราที่เราทำได้เสร็จสิ้นในวันนั้น
.
โดยหนังสือเหมือนจะเป็น howto เน้นๆ โดยมีสวนเน้นหลักๆคือ การบริหาร เวลา พลังงาน และความมุ่งมั่น ให้ตอบโจทย์ชีวิตที่เราอยากมีอยากเป็น
.
หนังสือแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก แต่ละส่วนมี 3 บทย่อย โดยใน 4 ส่วนจะเป็น ขั้นตอน howto หลักๆในการสร้าง JOMO ตั้งแต่การค้นหาตัวเองไปจนถึงการสร้างจังหวะให้กับแต่ละวัน
.
.
ผมจะขอสรุปแต่ละบทแบบคร่าวๆไว้ให้ลองอ่านกันนะครับ
ส่วนที่ 1 – ค้นพบตัวเอง
ส่วนแรกของหนังสือจะเริ่มจากคำถามที่น่าสนใจอย่าง ‘วันนี้คุณทำอะไรบ้าง’
.
ซึ่งจริงๆแล้วอาจเป็นคำถามที่รบกวนจิตใจใครหลายคน เพราะว่าหลายๆครั้ง เมื่อจะจบวันอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกของเราคือทำอะไรไม่เสร็จตามที่ตั้งใจไว้สักอย่าง
.
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เรามีอะไรที่จ้องทำมากเกินไป หรือบางทีอาจจะเกิดจากการที่เราไม่ได้เลือกทำสิ่งที่มันสำคัญจริงๆ เราเลยรู้สึกแบบนั้น
.
หนังสือจึงให้เราเริ่มจากการค้นพบสิ่งสำคัญจริงๆของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องไม่ใช่แค่เรื่องการงานแต่ควรจะครอบคลุมชีวิตทั้ง 3 ด้าน คือ
- หน้าที่การงาน
- ชีวิตส่วนตัว
- เรื่องในบ้าน
.
ชีวิตในภาพใหญ่ของเราก็เหมือนการปั่นจักรยาน ซึ่งเราจะต้องปั่นไปข้างหน้าอยู่เสมอ โดยพยายามรักษาสมดุลของด้านต่างๆเอาไว้ ไม่ให้ล้ม
.
สมดุลดังกล่าว ก็รวมถึงด้านหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว และเรื่องต่างๆที่ต้องทำในบ้าน ถ้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งมีมากเกินไป ก็อาจจะไปกระทบเรื่องอื่น และทำให้จักรยานล้มลงได้
.
เราจึงต้องรู้จักการบริหาร 3 สิ่งที่ใช้เป็นแรงขับเคลื่อจักรยาน นั่นก็คือ ‘เวลา’ ‘พลังงาน’ และ ‘ความมุ่งมั่น’
.
3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรามีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละวัน มันจึงเป็นการสำคัญมากที่เราจะเลือกใช้วัตถุดิบเหล่านี้อย่างชาญฉลาดเพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
.
คำถามถัดมาคือ เราจะบริหาร 3 สิ่งนี้ยังไงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
.
คำตอบที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดคือ ‘เลือกทำในสิ่งที่สำคัญจริงๆกับชีวิตของเรา’
.
เราต้องยอมปล่อยความเชื่อเก่าๆทิ้งไปว่าการทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ได้ปริมาณมากที่สุดคือเรื่องที่ดี เพราะนั่นคือสาเหตุของปัญหาความหงุดหงิดเมื่อจบวัน
.
กลับกันนั้น สเตปป์แรก เราต้องค้นหาตัวเองให้เคลียร์กับตัวเองก่อนว่า เราต้องการอะไรจริงๆ อะไรคือสิ่งสำคัญจริงๆสำหรับชีวิตของเรา เทคนิคที่หนังสือนำเสนอในเรื่องนี้คือ การค้นหา ภารกิจ วิสัยทัศน์ และค่านิยมของตัวเอง
.
สรุปง่ายๆคือ
ภารกิจ คือ สิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้เสร็จในปัจจุบัน
วิสัยทัศน์ คือ ภาพฝันในอนาคต ในที่ที่เราอยากไป ในสิ่งที่เราอยากเป็น
ค่านิยม คือ กรอบที่ช่วยจำกัดพฤติกรรมและการตัดสินใจของเรา
.
เปรียบเทียบกับบริษัทแล้ว เราจำเป็นต้องเขียน 3 สิ่งข้างต้นออกมาให้ชัดเจน เพราะมันจะเป็นตัวขับเคลื่อนการกระทำและการตัดสินใจของเราในแต่ละวัน
.
หนังสือยังย้ำว่าเราควรจะรีบหา 3 สิ่งนี้ให้เร็วที่สุด เราจะได้เลือกใส่ทรัพยากรอันจำกัดของเราให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเรามีเวลาอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะถ้าเราลองคิดมันออกมาเป็นรายเดือน หรือทุกเช้าวันจันทร์ที่เราต้องตื่นไปทำงาน
.
เช่น ถ้าตอนนี้เราอายุ 35 ปี และวางแผนจะเกษียณตอนอายุ 65 ปี เราจะมีเวลาเหลืออีก 30 ปีในการทำงาน พอตีออกมาแล้วก็คือ 360 เดือน 7,800 วันทำงาน และ 1,560 เช้าวันจันทร์ที่ยังเหลือ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้เยอะเลย
.
เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีเวลาเล่นกับลูกจนลูกอายุ 18 ปี เราก็จะมีเพียง 936 คืนวันศุกร์ที่ใช้เวลาดีๆร่วมกัน และถ้าตอนลูกเราอายุ 10 ปี เราก็จะเหลือเพียง 416 คืนวันศุกร์เท่านั้น
.
หนังสือปิดบทสั้นด้วยเรื่องของการมี ‘ดาวนำทาง’ เราทุกคนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีดาวนำทางเป็นของตัวเอง เหมือนตอนเด็กๆที่เรามองดาวบนฝ้าเพดานของเรา ดาวนำทางจะช่วยให้เราเข้าใจว่า ชีวิตในแต่ละวันจะพาเราไปยังจุดไหน
.
.
ส่วนที่ 2 - ค้นหาความชัดเจน
.
ส่วนที่ 2 นี้เหมือนเป็นส่วนต่อขยายของส่วนแรก เป็นตัวช่วย support ให้แผนการของเราที่จะเดินทางตามดาวนำทางของเราประสบความสำเร็จ
.
เรื่องแรกคือเรื่องการทำความมุ่งมั่นให้ชัดเจน โดยเราจะต้องกำหนดขอบเขตของสิ่งที่เราจะทำในแต่ละวัน เพราะการไม่กำหนดขอบเขตนั้นทำให้เราไม่มีหลักเกณฑ์ในการยึดเหนี่ยว และทำอะไรตามอำเภอใจเรื่อยๆ จนไม่เกิดประสิทธิภาพขึ้นมา ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อเราจำกัดขอบเขตที่ชัดเจน มันจะเพิ่มความเป็นไปได้ว่า แต่ละวันนั้นเราควรจะทำอะไรบ้าง และช่วยทำให้เราคิดวิธีทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
อีกเรื่องที่สำคัญคือ การไม่กำหนดขอบเขตอะไรเลย อาจจะทำให้เราต้องพบเจอกับข้อมูลจำนวนมหาศาล ที่อาจมาเกินกว่าที่เราจะรับไหว มนุษย์เรามีขีดจำกัดของสมองในการประมวลผลในแต่ละวัน เราจึงรับข้อมูลได้ในปริมาณที่จำกัด การรับข้อมูลใหม่ในปริมาณที่พอดีๆ ยังช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินผลอีกด้วย
.
นอกจากนี้แล้วหนังสือยังเล่าถึงความเชื่อผิดๆ 3 อย่าง ที่คนส่วนมากชอบเข้าใจผิดกัน
1) ทำหลายอย่างพร้อมกันแปลว่าเราทำได้มีประสิทธิภาพ
.
ข้อนี้ไม่จริงอย่างมาก เพราะสมองของเราประมวลผลได้ทีละอย่าง การที่ดูเหมือนว่าเราทำได้หลายๆอย่างพร้อมกันนั้น ที่จริงแล้วคือ การที่เราบังคับให้สมองสลับการประมวลผลไปมาระหว่างสองสิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้สมองล้าได้ง่าย และไม่เกิดประสิทธิภาพในการคิดประมวลผลอีกด้วย
.
2) ทำงานต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดพัก
.
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก เพราะความจริงแล้ว คนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ สมองทำงานได้ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ต้องการการพัก
.
โดยปกติแล้ว คนเรามีนาฬิกาชีวิตอยู่ที่ประมาณ 90-120 นาที นั่นหมายความว่า เราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่องได้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง แล้วเราก็จำเป็นที่จะต้องหยุดพักให้สมองได้ฟื้นตัว ก่อนจะกลับมาเริ่มวงจรการทำงานใหม่
.
การรู้จักหยุดพักจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
.
3) เทคโนโลยีนั้นดีกว่าเสมอ
.
หนังสือแนะนำว่า งานบางอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่เรากำลังได้ข้อมูลที่เป็นเรื่องสำคัญ เราควรจะจดมันลงในกระดาษ แทนที่จะใช้การพิมพ์ จะได้เป็นการบังคับให้สมองเราจดจำเรื่องสำคัญนั้นได้ดีขึ้น
.
.
หนังสือยังแนะนำถึงเทคนิคที่จะช่วยลด ‘ความรู้สึกท่วมท้นจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน’ โดยอาศัยวิธีการจำแนกประเภทงาน เพื่อให้เรารู้ว่า เราควรจะทำงานไหนก่อน และงานไหนที่เราควรโยนไว้ทีหลัง
.
เทคนิคมีความคล้าย ไอเซนฮาวร์ เมตริกซ์ซึ่งแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทตามความสำคัญ และความเร่งด่วน
.
แต่หนังสือจัดให้เหลือเพียง 3 ประเภทเท่านั้น คือ
1. งานร้อน (สำคัญ + เร่งด่วน) - ต้องทำเลยเดี๋ยวนี้
.
2. งานที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ – งานที่เป็นโครงการสำคัญของเรา และสะท้อนเป้าหมาย และวิสัยทัศน์ของเราในระยะยาว งานส่วนใหญ่แล้วล้วนมาตกในช่องนี้ทั้งสิ้น ถ้าเราบริหารชีวิตในแต่ละวันอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ทำในสิ่งที่สำคัญจริงๆในแต่ละวัน
.
3. งานที่ปรับให้เข้ากับเวลาได้ – งานที่ไม่ได้เร่งด่วนอะไร แต่เราชอบทำกันเป็นประจำเช่น การเช็คอีเมล
.
ผู้เขียนแนะนำว่า เราควรทำงานประเภทสุดท้ายเพียงแค่ไม่กี่ครั้งต่อวัน และจำกัดช่วงเวลาที่จะทำงานเหล่านั้นอย่างชัดเจน เช่นแค่ 4 ครั้งต่อวัน หลังกินข้าวเสร็จและก่อนเข้านอน เป็นต้น
.
ส่วนงานอื่นๆนั้น หนังสือก็ยังแนะนำหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่า งานไหนไปเข้ากับประเภทอะไร
.
หลักเกณฑ์ที่ว่าชื่อว่า CLEAR
C – connect to your north star
มีความสอดคล้องกับดาวนำทางของเรา
L – Linked to a goal
เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของเรา
E – essential
สำคัญจริงๆกับชีวิตในแบบที่เราอยากเป็น
A – advantageous
เป็นประโยชน์กับตัวเรา
R – reality-based
อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ทำได้จริง
.
ถ้างานไหนเราติ๊กถูกทุกข้อ ก็แปลว่างานนั้นคือ ‘งานที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ’ ซึ่งเป็นงานสำคัญที่เราควรทำจริงๆ
.
.
ส่วนที่ 3: สร้างความเรียบง่าย
.
อีก 2 ส่วนต่อจากนี้จะเป็นเหมือนเครื่องมือที่ไว้ช่วยตอนที่เราลงมือทำงานจริงๆในแต่ละวัน
.
แน่นอนว่าเราอาจมีโครงการที่ใหญ่เท่าช้าง เพราะฉะนั้นขั้นตอนแรกคือการทำช้างให้เป็นตัวเล็กๆ แบ่งงานใหญ่ๆให้กลายเป็นงานเล็กๆก่อน ช้างตัวใหญ่ทั้งตัว อาจดูน่ากลัว แต่ถ้าแยกส่วนแล้ว เราก็จะพุ่งเข้าใส่งานนั้นได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
.
พูดง่ายๆคือ เราชนะเรื่องเล็กๆ เพื่อไปยังเรื่องที่ใหญ่กว่าเดิม
.
หลังจากนั้นเราต้องหาตัวช่วยที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น นั่นคือ ‘การสร้างความเคยชิน’ โดยมี 4 กระบวนการง่ายๆคือ
1) ทำความเข้าใจความเคยชิน
2) ระบุสิ่งเตือนใจ
3) กำหนดพฤติกรรม
4) วางแผน
กระบวนการเหล่านี้ หนังสือนำมาจากหนังสือเรื่อง The Power of Habits ผมจึงขอไม่ลงรายละเอียดมาก
.
การสร้างความเคยชินเปรียบเหมือนการสร้างระบบอัตโนมัติ ซึ่งมันอาจจะดูเหมือนสิ่งที่ทำให้เราขึ้นเกียจ แต่ความจริงแล้วถ้าเราไม่มีระบบอัตโนมัติ เราก็อาจจะอยู่ในความเสี่ยงที่จะไม่ได้ทำอะไรเลย
.
เหมือนกับการที่ลูกๆของผู้เขียน กำหนดวันซักผ้าขึ้นมาเอง และค่อยๆทำให้มันกลายเป็นระบบอัตโนมัติ การจัดการเรื่องในบ้านจึงราบลื่นขึ้น
.
ผมยังชอบการเปรียบเทียบของหนังสือที่เปรียบ การทำสิ่งเล็กๆต่างให้กลายมาเป็น ‘การสร้างแรงกระแทกแบบโดมิโน’ โดยเฉพาะโดมิโนที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น นั่นคือการที่เราทำสิ่งเล็กๆให้เสร็จด้วยตัวช่วยต่างๆที่หนังสือนำเสนอ เพื่อทำให้เกิดแรงกระเพื่อมที่ใหญ่ขึ้น และทำสิ่งที่ใหญ่กว่าเดิมได้
.
.
ส่วนที่ 4: สร้างจังหวะที่กลมกลืน
.
ส่วนสุดท้าย เหมือนเป็นตัวช่วยเสริม ที่นำมาเพิ่มเติมจากส่วนที่ 3 อีกที เช่น การที่เราต้องรู้จักพักเมื่อเหนื่อย
.
เราอาจมีวันที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ แต่เราก็ยังสามารถปรับกำหนดการของเรา ทำให้มีความยืดหยุ่น และพักบ้างถ้าวันไหนหมดแรง อย่าให้วันเหล่านี้มาทำอะไรแผนการการใช้ชีวิตแบบ JOMO ของเรา
.
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเทคนิคอื่นๆที่น่าสนใจอย่างการตอบตกลงและปฏิเสธให้ถูกจังหวะ หรือเทคนิคที่บอกว่าเราไม่ควรคิดว่าเรากำลังสู้กับโลกทั้งใบอยู่ เทคนิคพวกนี้เป็นตัวช่วยชั้นดีในการเติมลูกแก้วของเราให้เต็มโหลในแต่ละวัน
.
ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมดูกันได้ครับ มีเทคนิคเล็กๆน้อยๆอีกเพียบ
.
.
📖รีวิวหนังสือ
.
โดยรวมแล้ว หนังสือไม่ได้มีคอนเทนต์ที่แปลกใหม่อะไรมากมาย เพราะหลายๆเรื่องตั้งแต่เรื่องการตั้งเป้าหมาย การจัดลำดับความสำคัญของงานที่ทำ รวมไปถึงการทำกิจวัตรให้เป็นระบบ ก็ถูกพูดถึงอย่างมากมายในหนังสือหลายๆเล่ม
.
แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น key message ที่สำคัญของหนังสือ คือการที่เราเกิดความรู้สึก JOMO ในแต่ละวัน คือการที่ใช้ชีวิตไปแบบช้าๆ ไม่เร่งรีบ แต่ได้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
.
เป็นเหมือนการนำหลักการเพิ่ม productivity ทั้งหลายของหนังสือจากฝั่งตะวันตกมาผสมให้เข้ากับความเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย และการใช้ชีวิตที่มุ่งเน้นปัจจุบันของทางตะวันออก
.
โดยรวมแล้ว ผมคิดว่าอยากให้ลองอ่านที่ผู้เขียนเล่าถึงเหตุการณ์ JOMO ดูครับ เพราะคิดว่าหลายๆคนน่าจะเคยเจอ หรือมีเพื่อนเคยเป็นกัน แต่ไม่ค่อยมีหนังสือเล่มไหนบรรยายออกมาได้ละเอียดแบบเล่มนี้
.
ส่วนพวกทริคเพิ่ม productivity ต่างๆ ก็ลองอ่านผ่านๆดูก็ได้ครับ ถ้าเคยเห็นมาก่อนอยู่แล้ว
.
แต่ผู้เขียนเขียนสนุกมาก มีการใช้การเปรียบเทียบ และตัวอย่างที่เห็นภาพชัด เช่นในกรณีการใช้จังหวะการพักแบบฉลาม อยากให้ลองหาอ่านกันดูครับ
.
ขอปิดท้ายว่าปกหนังสือเล่มนี้สีสวยมากครับ สำนักพิมพ์ Cactus ออกแบบได้งดงามมาก
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
......................................................................................................................................
ผู้เขียน: Tanya Dalton
ผู้แปล: ณพศรี รอดเจริญ
สำนักพิมพ์: Cactus Publishing
จำนวนหน้า: 280 หน้า
เดือนปีที่พิมพ์: เมษายน 2564
ISBN: 9786164992290
หมวดหมู่: จิตวิทยา, พัฒนาตัวเอง
......................................................................................................................................
.
#หลังอ่านxB2S #หลังอ่าน #B2S #รีวิวหนังสือ #ยินดีที่ไม่ได้รู้ #TheJoyofMissingOut #LiveMorebyDoingLess #TanyaDalton #ณพศรีรอดเจริญ #CactusPublishing #หนังสือจิตวิทยา #หนังสือพัฒนาตัวเอง
Comments