top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว The Frame ชนะตั้งแต่ความคิด



รีวิวหนังสือ The Frame ชนะตั้งแต่ความคิด

.

ขอขอบคุณหนังสือดีๆจากสำนักพิมพ์ AmarinHowto นะครับ

.

‘กรอบความคิด คือหน้าต่างของหัวใจที่ทำให้เรามองทุกอย่างในชีวิตด้วยปัญญา’

.

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย อาจารย์ชเวอินช็อล ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาลัยแห่งชาติโซลในเประเทศเกาหลี ต้องบอกเลยว่าเป็นหนังสือที่โคตรจิตวิทยา เพราะทั้งเล่มมีการทดลองเชิงจิตวิทยามากกว่า 100 การทดลอง และผู้เขียนก็นำการทดลองเหล่านั้นมาใช้อธิบายแนวคิดเรื่อง ‘กรอบความคิด’ ที่กำหนดพฤติกรรมของคนเราโดยไม่รู้ตัว

.

ยอมรับว่า ไม่ใช้หนังสือที่รีวิวง่าย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ของเล่มเกี่ยวข้องกับการทดลองทางจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ถ้าจะหยิบการทดลองมาเขียนเล่าในรีวิวนี้ก็คงจะยาวเกินไป เพราะแต่ละการทดลองก็มีรายละเอียดของตัวเอง และต้องอ่านให้ครบถึงจะเก็ทถึงผลลัพธ์ที่น่าถึงจากการทดลองเหล่านั้น

.

ดังนั้นผมจะยกมาแค่คร่าวๆว่า แก่นของหนังสือ หรือใจความหลักที่ผู้เขียนพยายามอธิบายผ่านการทดลองเหล่านั้นคืออะไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าทั้งเล่มล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘กรอบความคิด’

.

‘กรอบความคิด’ คือกรอบที่กำหนดมุมมองที่เรามีต่อโลก เปรียบเหมือนแว่นตาที่เราที่เราสวมใส และคอยกำหนดไว้ว่าเราจะมองเห็นโลกเป็นสีอะไร มองเห็นโลกดีร้ายอย่างไร ทั้งยังกำหนดทัศนคติที่เรามีต่อคนอื่น มุมมองต่อปัญหาต่างๆ การเปรียบเทียบสิ่งต่างๆรอบๆตัว กรอบความคิดจึงเป็นตัวเหมือนผู้ช่วยที่ชักนำเราให้มองไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่ก็จำกัดขอบเขตการมองของเราให้อยู่ในกรอบดังกล่าวด้วย

.

ตัวอย่างเรื่องเล่าที่อธิบายถึงกรอบความคิดที่ดีที่สุดคือ เรื่องพระราชาผู้ต้องการให้โลกเป็นสีชมพู แต่ทำยังไงก็ตามพระองค์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนทุกๆอย่างบนโลกให้เป็นสีชมพูได้ แม้จะจับคนมาย้อมตัว ทาสีปราสาท ทาสีรถ ทาสีถนน ทาสีตึกรามบ้านช่องต่างๆ แต่สุดท้ายท้องฟ้าและผืนน้ำก็ยังไม่เป็นสีชมพู วิธีเดียวที่ทำให้พระองค์เห็นทุกอย่างเป็นสีชมพูได้ คือการใส่แว่นตาที่ใส่เลนส์พิเศษสีชมพูไว้นั่นเอง

.

กรอบความคิดที่หนังสือเล่ามีหลากหลายแบบ ตั้งแต่กรอบความคิดแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง กรอบความคิดการมองโลกแบบเฉลี่ย กรอบความคิดแบบคน หรือแบบสถานการณ์ กรอบความคิดอิงปัจจุบัน กรอบความคิดอิงชื่อ และกรอบความคิดด้านการเงิน ซึ่งหนังสือจะมาเล่าว่ากรอบความคิดแต่ละแบบส่งผลอย่างไรต่อชีวิตเรา และถ้าเรามีปัญญารู้เท่าทันกรอบความคิดเหล่านี้ เราจะใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้บ้าง

.

โดยรวมแล้ว หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นการบอกเล่างานวิจัยทางจิตวิทยาและพฤติกรรมที่น่าสนใจ ที่ผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์อ่านเจอมา และรวบรวมเป็น theme เดียวกันคือเรื่องกรอบความคิด และแน่นอนว่าหลังจากเล่าผลลัพธ์อันน่าทึ่งของงานวิจัยต่างๆแล้ว ผู้เขียนก็มาเขียนสรุปสั้นๆว่าเราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากการทดลองแต่ละอัน

.

หนังสืออ่านสนุกมากจริงๆ เพราะการทดลองที่ผู้เขียนยกมาเล่า คือจบภายในตอนสั้นๆ แบบ 2-3 หน้า และล้วนแต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งทั้งนั้น ทั้งผู้เขียนและผู้แปลก็อธิบายขั้นตอนการทดลองแบบละเอียด เข้าใจง่าย เอาง่ายๆคืออ่านแล้วไม่งงแน่ๆ ตามขั้นตอนทดลองได้เข้าใจแน่ๆ

.

อารมณ์ตอนอ่านจบก็จะออกเสียง ว้าวว อะไรประมาณนั้นครับ เพราะการทดลองที่ผู้เขียนยกมาคือ ผลลัพธ์มักจะต่างจากที่เราใช้ความรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะเมื่ออ่านวิธีทดลองในครั้งแรก

.

เล่มนี้ผมขอเน้นย้ำแรงๆเลยว่าดีจริงครับ คุ้มค่ากับการอ่านแน่นอน สนุกพร้อมได้อ่านเรื่องใหม่ๆไปพร้อมๆกัน

.



และอีกเช่นเคยครับ ผมขอยกเรื่องราวของกรอบความคิด 8 แบบ ที่ผมชอบมากที่สุดมาฝากกันครับ

.



1) กรอบความคิดคืออะไร เล่นบทบาทอะไรกับเราบ้าง

.

กรอบความคิดจำกัดขอบเขตการรับรู้และการคิด ทั้งยังเป็นตัวตัดสินการรับรู้และการคิดของคนเราด้วย กรอบความคิดประกอบไปด้วย บริบท มุมมอง การคาดคะเน เกณฑ์การประเมินต่างๆ

.

กรอบความคิด คือ บริบท เพราะเมื่ออยู่ในบริบทที่ต่างกัน เราก็อาจจะตัดสินใจทำสิ่งต่างๆต่างกัน เช่นปัญหาเรื่องการดึงคันโยกกับการผลักคนลงไปเพื่อหยุดรถไฟไม่ให้ทับคน

.

กรอบความคิด คือ นิยาม ที่เรากำหนดให้กับสิ่งต่างๆรอบตัวเรา เช่นถ้าเราให้นิยามกับเวลาที่เรามีว่า เราเหลือมันไม่มากละ เราก็คงจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดได้คุ้มค่ามากขึ้น

.

กรอบความคิด คือ คำศัพท์ การเลือกใช้คำศัพท์ที่ต่างกัน ก็อาจทำให้การตอบสนองต่อคำศัพท์เหล่านั้นแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้คำศัพท์ในการตั้งชื่อกระทรวง ชื่อโครงการ แม้กระทั่งชื่อประกัน หรือที่เรารู้จักกันว่าคือ ประกันชีวิต (Life Insurance) ไม่ใช่ ประกันการเสียชีวิต (Death Insurance) ทั้งๆที่มันคือเงินที่เราจะได้รับเมื่อเราเสียชีวิตเท่านั้น

.

กรอบความคิด คือ คำถาม แน่นอนว่าการตั้งคำถามที่ต่างกัน ย่อมโน้มน้าวให้ผู้ตอบ เลือกตอบคำตอบที่แตกต่างกันได้

.

กรอบความคิด คือ ลำดับ เพราะคนเรามักจะเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า การเลือกลำดับในการรับรู้ประสบการณ์จึงมีความสำคัญมาก เหมือนเจ็บมากก่อนและเจ็บน้อยทีหลัง เราก็จะรู้สึกว่าโดยรวมแล้วประสบการณ์นั้นไม่ได้เจ็บปวดเท่าไหร่ เทียบกับ เจ็บน้อยก่อนแล้วมาเจ็บมาก

.

กรอบความคิด คือ ความปรารถนา สั้นๆง่ายคือคนเรามักจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น เช่นถ้าวันหนึ่งเราหิวมาก เราก็จะค้นพบว่าข้างทางถนนที่เราผ่านทุกวันมีร้านอาหารอยู่เยอะมาก ทั้งๆที่วันอื่นๆเราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

.

.



2) กรอบความคิดสูง vs กรอบความคิดต่ำ

.

สิ่งหนึ่งที่หนังสือแนะนำคือ ให้เราพยายามมี ‘กรอบความคิดสูง’ มากกว่า ‘กรอบความคิดต่ำ’

.

กรอบความคิดสูง คือ การมองหา ความหมาย เป้าหมาย วิสัยทัศน์ และสร้างสิ่งที่ดีที่สุด ในขระที่ กรอบความคิดต่ำคือ การมองหารายละเอียด ขั้นตอนต่างๆ ต้องใช้เวลามากมั้ย ยากง่ายแค่ไหน

.

ซึ่งการทำงานแบบเดียวกัน ถ้าเรามองแบบกรอบความคิดสูง เราจะรู้สึกถึงคุณค่าในงานที่เราทำ และคุณค่าในตัวเอง ในขณะที่ถ้ามองแบบกรอบความคิดต่ำ เราอาจมองไม่เห็นคุณค่าเหล่านั้น และเกิดคำถามมากมายที่คาใจตัวเอง

.

ตัวอย่างเช่น คนกวาดถนนที่มองว่า งานของเขาคือ การทำความสะอาดมุมหนึ่งของโลกอยู่ ซึ่งเป็นวิธีการมองแบบกรอบความคิดสูง และทำให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า ในขณะเดียวกัน ถ้าเขามองว่างานของเขามันเป็นงานที่น่าเบื่อ เหม็น ไม่มีประโยชน์ เขาก็คงจะเกิดความสงสัยกับชีวิตเขาเป็นแน่

.

.



3) กรอบความคิดแบบความเป็นเจ้าของ vs ประสบการณ์

.

หนังสือแนะนำว่าให้เราใช้กรอบความคิดแบบประสบการณ์มากกว่าความเป็นเจ้าของ เพราะว่าประสบการณ์ล้วนเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์กับคนที่เราทำกิจกรรมเหล่านั้นด้วย และมักจะมอบคุณค่าต่อชีวิตให้มีคุณภาพสูงกว่าการเป็นเจ้าของอะไรบ้างอย่าง

.

กรอบความคิดแบบการเป็นเจ้าของ คือ การครอบครองสิ่งของ การซื้อมาเพื่อเป็นเจ้าของ ในขณะที่กรอบความคิดแบบประสบการณ์คือ การซื้อประสบการณ์การท่องเที่ยว การไปดูคอนเสิร์ต หรือทำกิจกรรมใดๆร่วมกับคนหนึ่ง แม้จะทำกิจกรรมนั้นคนเดียวก็นับเป็นประสบการณ์ได้

.

หนังสือแนะนำว่า เมื่อเวลาผ่านไป คุณค่าของความเป็นเจ้าของจะลดน้อยลง ในขณะที่คุณค่าของประสบการณ์จะมีแต่เพิ่มมากขึ้น เช่น ตอนเราซื้อรองเท้าคู่ใหม่มาก็คงจะเห่อมาก แต่ใส่ไม่กี่ครั้งก็คงจะเบื่อและรู้สึกเฉยๆไปเอง แต่กับประสบการณ์ไปเที่ยว เรามักจะจำได้ดีเสมอ ยิ่งเวลาผ่านไปนานๆ ความทรงจำพวกนั้นยิ่งมีค่าต่อเรามากขึ้นไปอีก

.

.


4) กรอบความคิดแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง

.

คนเรามักจะหลงตัวเอง ชอบคิดว่าตัวเองอยู่ท่ามกลาง Spotlight ที่มีแต่คนมอง ทุกคนให้ความสนใจกับตัวเองในทุกๆวัน เหมือนถ้าวันไหนเรามีทรงผมแย่ๆ (ที่มาของสำนวน Bad hair day) เราก็มักจะคิดไปว่าทุกคนต้องเห็นสิ่งแย่ๆเหล่านั้น ทั้งที่จริงๆแล้วอาจไม่มีใครสนใจเราเลยก็ได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะทุกๆคนก็สนใจแต่เรื่องของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

.

อีกเรื่องที่ชอบมากก็คือ การที่คนเรามักจะประเมินว่าตัวเราเองมีความสลับซับซ้อน ไม่มีคนเข้าใจ ในขณะที่คนอื่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่าย สามารถทำความเข้าใจง่ายๆ เราจึงมักจะให้คำอธิบายกับตัวเองแตกต่างจากคนอื่น และมักหาคำแก้ตัวมาให้ตัวเองได้เสมอ

.

หนังสือจึงแนะนำว่าเราควรฝึกใช้นิสัยการอธิบายตัวเองกับคนอื่นในแบบเดียวกัน เพราะคนอื่นก็มีความสลับซับซ้อนไม่ต่างจากเราเลย

.

.


5) กรอบความคิดคน vs สถานการณ์

.

เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมากว่าการกระทำของคนเราเกิดขึ้นเพราะตัวบุคคลเอง หรือสถานการณ์พาไป ตัวอย่างเช่นการสังหารโหดในค่ายนาซี เกิดจากความโหดร้ายของคนเรา หรือเป็นเพราะสถานการณ์ในกองทัพและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาพาไป

.

สิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับกรอบความคิดสองแบบนี้คือ คนเรามักจะทำตามคนอื่น เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อยู่กันหลายๆคน อยู่กับคนหมู่มาก หรือง่ายๆคือทำตามฝูงชน โดยเฉพาะถ้าเราทำอะไรแตกต่างอยู่คนเดียว ก็มักเป็นการยากที่เราจะกล้ายอมรับการตัดสินใจที่แตกต่างเหล่านั้น เรื่องนี้ลองไปอ่านเพิ่มเติมกันได้ที่การทดลองเลือก เส้นตรงที่ความยาวเท่ากันนะครับ

.

แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ ถ้าเรารู้ว่ามีคนคิดเหมือนเรา ตัดสินใจเหมือนเราเพิ่มมาแค่คนเดียว เราก็จะยึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อมากขึ้น และกล้าแสดงสิ่งที่เราเชื่ออกมามากขึ้น

.

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าจริงๆแล้ว ทั้งตัวคนเอง และสถานการณ์ล้วนส่งผลต่อการตัดสินใจของคนเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจัยทั้งภายนอก และภายในล้วนแล้วส่งผลต่อการตัดสินใจของเรา

.

.


6) กรอบความคิดแบบ ‘ฉันคือสถานการณ์’

.

คนเรามักจะประเมินอิทธิพลของตัวเองต่อคนอื่นน้อยเกินไป เรามักสนใจแต่อิทธิพลที่คนอื่นมีต่อตัวเอง

.

ยกตัวอย่างเช่น เราใส่หน้ากากป้องกันโรคระบาด ด้วยเหตุผลว่า ‘ป้องกันตัวเองจากคนอื่น’ มากกว่าที่จะใส่เพราะต้องการ ‘ป้องกันคนอื่นจากตัวเอง’ ในกรณีที่เราติดเชื้อมาแต่ยังไม่รู้ตัว

.

นี่ก็เป็นเพราะว่าเรามักไม่คิดว่าเราเองก็มีอิทธิพลต่อคนอื่นเหมือนกัน เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องโรคระบาด แต่ยังรวมถึงการแพร่กระจายของรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือการหาว จริงๆแล้วเราสามารถส่งต่อสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่รู้ตัว

.

หนังสือจึงแนะนำให้เราคิดว่า ตัวเราเองก็ล้วนเป็นสถานการณ์ต่อคนรอบตัวเราด้วยเช่นกัน ไม่ต่างกับที่เราคิดว่าคนอื่นเป็นสถานการณ์ต่อตัวเรา

.

.


7) กรอบความคิดอิงปัจจุบัน

.

คนเรามักจะตัดสินอดีตหรืออนาคตตัวเองจากมุมมองในปัจจุบัน

.

เราจึงสามารถเปลี่ยนให้เราชื่อว่าตัวตนในอดีตของเราเป็นให้เป็นไปในแบบที่เราต้องการในปัจจุบันได้ แม้ความจริงจะไม่เป็นเช่นนั้น ตัวตนของเราในอดีตอาจไม่ได้แย่อย่างเราคิด อาจดีกว่าตัวตนในปัจจุบันด้วยซ้ำ แต่เพื่อไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ เราจึงมักคิดไปว่าตัวตนในอดีตต้องแย่มากๆ เพื่อให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆ ตัวตนในปัจจุบันของเราก็ยังดีกว่าในอดีต

.

หรือแม้ตัวตนในอนาคตเราก็มักจะคิดว่า ตัวตนในอนาคตต้องสมบูรณ์แบบมากกว่าตัวตนในปัจจุบัน ต้องทำงานเก่ง ต้อง productive ต้องใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แต่แท้จริงแล้วเรามักจะประเมินตัวตนในอนาคตสูงเกินไป

.

หนังสือจึงแนะนำให้เราตระหนักถึงอคติการบิดเบือนเหล่านี้ก่อนที่จะประเมินตัวตนของเราในอดีต หรือแผนการในอนาคต

.



8) กรอบความคิดตามชื่อ

.

เรามักจะถูกชื่อเปลี่ยนความคิดของเราแบบไม่รู้ตัวเสมอ

.

เรื่องเงินเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ถ้าเราคิดว่าเงินที่หามาได้เป็นเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เราก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาเงินจำนวนนั้นไว้ ในขณะที่ ถ้าเราคิดว่าเงินที่ได้มาคือเงินได้เปล่า หลายๆครั้งเราก็มักจะใช้เงินเหล่านั้นไป โดยไม่คิดให้ถี่ด้วย และไม่ค่อยเสียดายถ้าต้องเสียเงินก้อนนั้นไป

.

หรือแม้กระทั่งอิทธิพลของเงินจำนวนเล็กน้อยรายวัน กับเงินก้อนโตๆ ที่พวกนักโฆษณามักเอามาใช้หลอกลวงผู้บริโภค เช่นแทนที่จะบอกว่าต้องเสียงานรายปีจำนวน 2000 บาท/ปี ก็พูดว่าเสียเพียง 5 บาท/วัน แต่ความจริงแล้วคนซื้อต้องจ่ายเท่ากัน

.

ทั้งนี้ก็เพราะคนเรามักจะไม่ค่อยเสียดายเงินจำนวนน้อย แต่มักจะเสียดายเงินก้อนใหญ่ๆ

.

.

………………………………………………………………………….

ผู้เขียน: ชเวอินช็อล

ผู้แปล: อาสยา อภิชนางกูร

สำนักพิมพ์: AmarinHowto

แนวหนังสือ: จิตวิทยา, พัฒนาตัวเอง

…………………………………………………………………………..

.

.

สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

.

‪#‎หลังอ่าน‪#‎รีวิวหนังสือ‪#หนังสือ2020 #หนังสือ2563 #‎reviewหนังสือ#Theframe #ชนะตั้งแต่ความคิด #ชเวอินช็อล #อาสยาอภิชนางกูร

#สำนักพิมพ์AmarinHowto #หนังสือจิตวิทยา #หนังสือพัฒนาตัวเอง







632 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page