รีวิวหนังสือ Personal OKRs
ชีวิตจะสำเร็จตามเป้าหมาย ถ้าวัดผลได้เป็นระบบ
‘OKR สุดยอดเครื่องมือช่วยในการวัดผลเป้าหมายชีวิต’
.
คิดว่าหลายคนน่าจะเคยรู้จักอาจารย์นภดล ร่มโพธิ์กันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะจากทางหนังสือเล่มก่อนๆที่อาจารย์เขียน หรือ podcast Nopadol’s story ที่อาจารย์จัดเป็นประจำทุกวัน
.
เล่มนี้เรียกได้ว่าอาจารย์เรียบเรียงความถนัดของอาจารย์เกี่ยวกับ OKR มาไว้ในหนังสือฉบับที่อ่านแล้วกระชับมาก และเน้นการเอาไปใช้จริง
.
เกริ่นอีกนิดว่า หนังสืออาจารย์เหมือนเนื้อหาที่อาจารย์พูดเป็นประจำทุกวันพุธ (ถ้าก่อนปีใหม่ 64 จะเป็นวันอาทิตย์) ก็คือการหาเกร็ดความรู้เรื่อง OKR มาเล่าให้ฟัง และอับเดท personal OKRs ของตัวอาจารย์เองเป็นประจำทุกสัปดาห์
.
แต่สิ่งที่ต่างชัดเจนคือ เล่มนี้เล่าที่มาที่ไปของ OKRs อย่างเป็นระบบ เช่น ทำไมเราต้องใช้ OKRs เราควรเริ่มตั้ง OKRs ยังไง เราจะควรจะตั้ง OKRs ในระยะเวลาเท่าใด และเราจะติดตามผลยังไง
.
คนที่ฟังอาจารย์อยู่แล้วก็เหมือนมาอ่านทวนความรู้ส่วนหลักของ OKR อีกรอบนึง พร้อมกรอบการคิดแบบเป็นระบบ แต่ถ้าคนที่ไม่เคยฟังอาจารย์มาก่อน เล่มนี้ต้องอ่านแบบพลาดไม่ได้
.
.
8 ข้อที่เป็นประเด็นหลักน่านำเสนอจากหนังสือ
.
1) OKRs คืออะไร
.
OKR = Objective and Key Results เป็นเครื่องมือในการวัดผลเป้าหมายที่ตั้งไว้ ชนิดที่ท้าทายกำลังดี ไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไป
.
แนวคิด OKRs มาจากแนวคิดการบริหารแบบ MBO หรือ Management by Objectives จาก Peter Drucker ในสมัยปี 1950s โดยเริ่มจากการใช้ OKRs ในองค์กร
.
แต่ความจริงแล้ว OKRs สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการตั้งเป้าหมายชีวิตส่วนตัวได้
.
.
2) ความล้มเหลวของการตั้งเป้าหมาย ซึ่งนำมาสู่การใช้ OKRs
.
.
การตั้งเป้าหมายของคนทั่วไปล้มเหลวกันบ่อยมาก ซึ่งอาจารย์นภดลได้รวบรวมสาเหตุหลักๆดังต่อไปปนี้
.
ข้อที่ 1: เราตั้งเป้าหมายมากเกินไป
.
เหมือนเวลาขึ้นปีใหม่ เราอาจตั้ง New Year Resolution เป็น 10 ข้อ ซึ่งมันเยอะเกินไป พอทำไม่ได้จริง เราก็เลยมักจะไปทำสิ่งเล็กๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีในแต่ละวัน แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ไม่เคยเสร็จซะที
.
การใช้ OKRs จะช่วยให้เราตั้งวัตถุประสงค์สำคัญเพียง 3 ข้อ และให้เรามุ่งวัดผลกับวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ข้อนี้เท่านั้น
.
.
ข้อที่ 2: เราตั้งเป้าหมายโดยไม่รู้ว่าจะตั้งไปทำไม
.
ข้อนี้เกินขึ้นได้ง่ายมาก และ OKRs จะเข้ามาช่วยโดยให้เราโยงการตั้งเป้าหมายของเรากับ คุณค่า (Values) พันธกิจ (Mission) และ วิสัยทัศน์ (Vision)
.
.
ข้อที่ 3: เราตั้งเป้าหมายแต่ไม่เคยติดตามความก้าวหน้า
.
พูดง่ายๆคือ ช่วงแรกที่ตั้งเราจะตั้งใจทำมักมาก แต่พอเวลาผ่านไปไฟเราก็หมด และล้มเลิกไปในที่สุด
.
การมี OKRs จะช่วยให้เราติดตามความก้าวหน้าของเราได้ตลอดรอดฝั่ง
.
.
ข้อที่ 4: เราตั้งเป้าหมายง่ายเกินไป
.
เราควรตั้งเป้าหมายความยากพอดีๆ ไม่ง่ายเกินไปจนน่าเบื่อและไม่เกิดแรงจูงใจ และไม่ยากเกินไปจนทำไม่ได้
.
จริงๆแล้ว เป้าหมายใน OKRs ที่ดีก็ไม่ควรที่จะทำบรรลุได้ 100% แต่ควรจะทำได้อยู่ที่ประมาณ 60-70% (อ้างอิงจากตัวเลขของ Google) เพราะถ้าทำได้หมด 100% ก็อาจแปลได้ว่า เราตั้งเป้าหมายง่ายเกินไป แต่เรื่องนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเราดีใจมากน้อยแค่ไหนตอนเป้าหมายสำเร็จ ถ้าดีใจมาก ก็อาจแปลว่าเป้าหมายมีความยากอยู่พอดีตัวอยู่แล้ว
.
.
.
3) เริ่มหา Values, Mission และ Vision
.
ก่อนที่จะเริ่มตั้งเป้าหมาย เราควรเริ่มจากการหา คุณค่า (Values) ในตัวเราก่อน เรื่องนี้ต้องลองลิสต์ออกมา แล้วดูว่าเราชอบทำอะไร อะไรที่เป็นตัวเรา เราทแล้วมีความสุข
.
หรือจะลองทำในแบบตรงกันข้ามคือลิสต์จากสิ่งที่เราทำแล้วเป็นทุกข์มากๆดูก็ได้เหมือนกัน
.
ของอาจารย์นภดล คือ การเรียนรู้ (Learning) การแบ่งปัน (Sharing) และ สุขภาพดี (Healthy)
.
.
ต่อมากให้เราลองหาพันธกิจ (Mission) ในตัวเราดูบ้าง พันธกิจก็คือสิ่งที่เราจะทำเพื่อให้ตอบต่อคุณค่าในตัวเรา
.
พูดสั้นๆง่ายก็คือ อาชีพนั่นแหละครับ
.
ของอาจารย์นภดลคือ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน Podcaster
.
.
ต่อจากนั้นก็คือ วิสัยทัศน์ (Vision) หรือที่ที่เราอยากจะไปในอนาคต เรามองเห็นตัวเองแบบไหน และพันธกิจที่เราทำมันจะนำพาเราไปสู่จุดใด
.
เน้นว่าวิสัยทัศน์ต้องเป็นสิ่งที่มีพลัง เป็นแรงขับดันให้กับเราได้ เช่นของอาจารย์นภดลคือ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน และPodcaster ที่ดีที่สุด
.
.
.
4) สร้าง OKRs ขึ้นมา โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ
.
จากที่เราได้เขียน Values Mission และ Vision แล้ว เราก็ต้องแปลงออกมาให้เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้ โดยอาจารย์นภดลเน้นว่าเราควรแบ่ง OKRs ออกมาเป็น ระดับคือ
.
เป้าหมายระยาว (3 ปี) ระยะกลาง (1 ปี) และระยะสั้น (1 ไตรมาส) ซึ่งจุดนี้จะต่างจากการตั้งเป้าหมายแบบองค์กรที่มีเพียงแค่ระยะ 1 ปีและรายไตรมาสเท่านั้น
.
สำหรับอาจารย์นภดล อาจารย์ได้แปลง Vision ของอาจารย์ออกมาเป็นเป้าหมาย 3 ข้อง่ายๆคือ
1. เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
2. แบ่งปันความรู้เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น
3. มีสุขภาพที่ดี ทั้งกายและใจ
.
อย่างที่บอกว่า เราไม่ควรตั้ง OKRs เยอะเกินไป แต่ก็ไม่ควรตั้งเป็นจำนวนน้อยเกินไปเข่นเดียวกัน
.
.
5) ตัวอย่าง OKRs รายปี
.
อาจารย์นภดลแนะนำให้ลองเริ่มเขียนจาก OKRs ระยะยาว รอบ 3 ปีก่อน แล้วค่อยแปลงออกมาเป็น OKRs รายปี และรายไตรมาส
.
เลยอยากขอยกตัวอย่างง่ายๆจาก OKRs ของตัวอาจารย์นภดลเอง
ผลลัพธ์หลัก 1.1: อ่านหนังสือให้ครบ 360 เล่ม
ผลลัพธ์หลัก 1.2: มีผลงานวิจัยตีพิมพ์ใน International Journal ในระดับ Q1 อย่างน้อย 3 ผลงาน
ผลลัพธ์หลัก 2.1: มีผลงานหนังสือติดอันดับ Top 10 ของประเทศ 3 เล่ม
ผลลัพธ์หลัก 2.2: มีคนติดตามฟัง podcast มากกว่า 100,000 ดาวน์โหลดต่อวัน
ผลลัพธ์หลัก 2.3: ช่วยให้องค์กรใช้ OKRs ได้สำเร็จอย่างน้อย 100 องค์กร
ผลลัพธ์หลัก 3.1: วิ่งให้ได้ 3,600 กิโลเมตร และมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 75 กิโลกรัม
ผลลัพธ์หลัก 3.2: ผลตรวจร่างกายเป็นปกติ 100%
ผลลัพธ์หลัก 3.3: มีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างน้อย 300 วัน
.
.
ส่วน การตั้ง OKRs ในรอบ 1 ปี และในรอบ 1 ไตรมาสก็สามารถแปลงออกมาจากการตั้ง OKRs ในระยะยาวได้อีกทีนึง โดยจะหาร 3 แบบง่ายๆ หรือจะกะเองก็ได้ถ้าคิดว่า บางเรื่องช่วงแรกอาจทำได้ยาก ตั้งไว้ไม่ต้องสูงมาก แต่ถ้าทำช่วงแรกได้แล้ว ช่วงหลังจะทำได้ง่ายขึ้น ก็ตั้ง OKRs ช่วงแรกไว้ไม่สูง แต่พอช่วงหลังก็ตั้งไว้สูงขึ้น
.
.
.
จริงๆแล้ว OKRs มีหลากหลายด้านมากกว่านี้ ทั้งด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ด้านการงาน ด้านการเรียนรู้พัฒนาตัวเอง และด้านครอบครัวและความสัมพันธ์
.
.
6) การติดตามวัดผล OKRs
.
หลังจากตั้ง OKRs เสร็จแล้ว ก็ต้องมาวัดผลกัน โดยใช้เกณฑ์ง่ายคือการให้คะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 1 โดย 1 คือทำได้ 100% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในขณะที่ 0 คือทำไม่ได้เลย
.
ซึ่งการมีตัววัดผล (Key results) หลายๆข้อเพื่อวัดผลเป้าหมายตัวเดียวกัน อาจารย์นภดลก็แนะนำวิธีง่ายๆให้ใช้การหารเฉลี่ย
.
เช่นสมมุติว่าเป้าหมายข้อ 1 คือการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็นำ คะแนนของ key result ข้อ 1.1 และข้อ 1.2 มาหารเฉลี่ยกัน
.
.
7) ปัญหาของการใช้ OKRs
.
.
ข้อที่ 1: ตั้งวัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลักในแบบที่ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้จริงๆ
.
ข้อนี้พบบ่อยมากในคนที่ชอบไปลอกการตั้งเป้าหมายของคนอื่นมา วิธีแก้จึงต้องคิดหา Values ของตัวเองจริงๆ แบบตรงไปตรงมา ไม่โกหก
.
ข้อที่ 2: ตั้งวัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลักมากเกินไป
.
เป็นสาเหตุให้อาจารย์แนะนำให้ตั้งเพียงแค่ 3 ข้อ
.
ข้อที่ 3: ผลลัพธ์หลักวัดผลได้ยาก หรือไม่ชัดเจน
.
เช่นการเขียนว่าเราจะทำบางสิ่งบางอย่างได้ดีขึ้น แต่ไม่รู้ว่าดีขึ้นยังไง
.
ข้อที่ 4: ผลลัพธ์หลักวัดเป้าหมายเดียวกัน แต่อยู่คนละช่วงเวลากัน
ข้อที่ 5: ไม่ค่อยได้ติดตามความก้าวหน้า
.
วิธีแก้คือต้องใส่ระบบแจ้งเตือนเป็นประจำนะครับ
.
ข้อที่ 6: ติดตามความก้าวหน้าบ่อยเกินไป
.
ตรงกันข้ามกับข้อเมื่อกี้ การหักโหมวัดผลบ่อยเกินไปก็กลายมาเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน
.
.
8) OKRs จะการันตีความสำเร็จของเป้าหมายรึเปล่า?
.
อาจารย์นภดลตอบอย่างชัดเจนว่า ไม่
.
แต่ก็ขึ้นกับนิยามคำว่าสำเร็จของแต่ละคน สำหรับบางคนแค่ได้เริ่มทำตามเป้าหมายก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แต่บางคนคำว่าสำเร็จคือต้องได้ตามเป้าทีตั้งไว้
.
แต่อย่างน้อยๆสิ่งที่อาจารย์นภดลแนะนำคือ ถ้าเรามีความเชื่อในสิ่งที่ทำ เราก็จะทำมันได้สำเร็จ ถ้าเราเชื่อในระบบ OKRs มันก็มีโอกาสมากกว่าที่ระบบดังกล่าวจะพาเราไปสู่เป้าที่เราตั้งไว้ เทียบกับเมื่อเราไม่เชื่อ
.
.
สุดท้ายนี้แนะนำว่า ควรลองซื้อหนังสือมาอ่านกันดูนะครับ อ่านง่าย ย่อยง่าย มีประโยชน์แน่นอนครับ
.
.
.............................................................................................................................
ผู้เขียน: ศ.ดร. นภดล ร่มโพธิ์
จำนวนหน้า: 148 หน้า
แนวหนังสือ: พัฒนาตัวเอง
สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ How To, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์ : 3/2021
.............................................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #รีวิวหนังสือ #PersonalOKRs #นภดลร่มโพธิ์ #nopadolstory
Comments