top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว Late Bloomers สำเร็จได้ ไม่เห็นต้องรีบ

Updated: Aug 4, 2020



รีวิวหนังสือ Late Bloomers สำเร็จได้ ไม่เห็นต้องรีบ

แปลจาก ‘Late Bloomers: The Power of Patience in a World Obsessed with Early Achievement’

.

.

‘เติบโตอย่างช้าๆ ไม่ต้องรีบ รอให้นาฬิกาหมุนมาเป็นเวลาของเรา เราก็บานสะพรั่งได้เหมือนกัน’

.

ขอขอบคุณหนังสือดีๆ จากสำนักพิมพ์ Nation Books นะครับ

.

.

หลังอ่านจบผมยกให้เล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมากที่สุดของปี 2020 เลยครับ เพราะชอบทั้งคอนเซปต์ของหนังสือเรื่องการสำเร็จช้า และเนื้อเรื่องที่ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเห็น หรือการเล่าแนวความคิดของเหล่าผู้สำเร็จช้า แต่มีการใช้หลักจิตวิทยา หลักวิทยาศาสตร์ต่างๆ พร้อมเคสตัวอย่างมากมายมาใช้อ้างอิงเป็นหลักการ ว่าแนวคิดสำเร็จเร็วนั้นมีทำให้เกิดผลเสียต่อชีวิตคนเรายังไงบ้าง พร้อมเล่าแนวคิดสู่เส้นทางความสำเร็จในช่วงชีวิตที่แตกต่างกันไป

.

Late Bloomers หรือสำเร็จได้ไม่ต้องรีบ เขียนโดย ริช คาร์ลการ์ด (Rich Karlgaard) ผู้จัดพิมพ์นิตยสารฟอร์บส์ และนักเขียนหนังสือชื่อดังหลายเล่ม เป็นหนังสือที่ผู้เขียนเล่าว่าตั้งใจรวบรวมเรื่องราวของเหล่า Late Bloomers หรือผู้สำเร็จช้า โดยอ้างอิงจากหลักจิตวิทยา สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เพื่ออธิบายว่า ค่านิยมของสังคมที่ยกยอคนสำเร็จเร็ว ทำให้เกิดผลเสียต่อคนจำนวนมากยังไงบ้าง และถ้าเราไม่ได้เป็นหนึ่งในคนที่สำเร็จเร็ว เราจะมีวิธียังไง ในการนำความสามารถ และประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานมาทำให้เรากลายคนที่ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

.

ริช คาร์ลการ์ด เล่าว่าค่านิยมที่ตัดสินความสำเร็จกันตั้งแต่ยังน้อย ทำให้ความหมายของคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ในปัจจุบันถูกบิดเบือนไปมาก เช่น การที่เรายกยอคนที่เรียนเก่ง สอบได้คะแนนสูงๆ สอบ SAT ด้วยคะแนนเต็ม 800 คะแนน (เหมือน Bill Gate หรือ Elon Musks) กีฬาดี มีแววไปแข่งกีฬาระดับโรงเรียนและมหาลัยตั้งแต่อายุยังน้อย มีพรสวรรค์ด้านดนตรี มีความสามารถที่หลากหลาย ทำให้เด็กอีกจำนวนมากที่ไม่ได้มีความสามารถเหล่านี้ถูกกดดัน ถูกตราหน้าว่าไม่ได้เรื่อง และอาจสร้างปมลึกๆว่าพวกเขาจะเป็นผู้แพ้ไปตลอด

.

นอกจากนี้ สังคมที่เชิดชูคนที่ประสบความสำเร็จเร็ว ยังทำให้เกิดการแข่งขันของคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้ชื่อว่าสำเร็จ เช่นการสอบให้ได้คะแนนสูงที่สุด การสอบเข้าโรงเรียนดีๆ มหาลัยดีๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเด็กในวัยประถมและมัธยมนั้นควรจะมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้อันหลากหลาย การค่อยๆ รู้จักโลก รู้จักสังคม ไปพร้อมๆกับรู้จักตัวเอง มากกว่าการที่จะเข้ามานั่งในห้องเรียนเพื่อจะทำคะแนนสอบ หรือการไปกวดวิชาทุกวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อจะสอบเข้าคณะหรือมหาลัยที่มีคะแนนสูงๆ

.

เรื่องนี้นับว่าเป็นประเด็นใหญ่มาก เพราะทุกวันนี้มีคนในสังคมที่กลายเป็นภาวะโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น มีปัญาฆ่าตัวตายมากขึ้น เด็กที่เติบโตมาอย่างมีปมด้อยก็มีมากขึ้นเช่นกัน

.

เรียกได้เลยว่า ค่านิยมคนสำเร็จเร็ว มีส่วนในการทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้

.

หนังสือเล่มนี้จึงเล่าว่า ในความเป็นจริงแล้ว คนเราในแต่ละช่วงวัย มีทักษะและความสามารถแตกต่างกันออกไป เช่น แม้ว่าความจำระยะสั้นจะพัฒนาสูงสุดเมื่อเราอายุ 25-35 ปี แต่ความเข้าใจสังคมจะพัฒนาสูงสุดเมื่อเราอายุ 45-55 ปี

.

ดังนั้นถ้าเราเข้าใจความแตกต่างของทักษะและการรู้คิดที่พัฒนาสูงสุดในคนแต่ละวัยแล้ว เราก็อาจมุ่งพัฒนาทักษะเหล่านั้น และนำมันออกมาใช้ประโยชน์ เพื่อกลายเป็น Late Bloomer หรือผู้สำเร็จช้าในที่สุดก็เป็นได้

.

ความรู้สึกหลังอ่านจบคือเต็มอิ่มมากครับ ข้อมูลแน่นมาก และยังเป็นหนังสือให้กำลังใจชั้นดีด้วย เพราะผมเองก็เชื่อว่าหลายๆคนคงถูกสังคมกดดันให้รีบประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับที่ผมรู้สึก

.

หนังสือเล่มนี้จึงน่าจะเหมาะกับคนที่ยังเชื่อในค่านิยมของการสำเร็จเร็ว สำเร็จไว สำเร็จตั้งแต่อายุน้อยอยู่ และน่าจะช่วยบรรเทาความวิตกกังวลและใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างเหมาะสมกับวัยของตัวเองอีกด้วยครับ

.

.


ผมขอเลือก เรื่องที่ชอบที่สุดจากหนังสือมา 7 ข้อนะครับ

.

.


1) เทรนด์ของอายุคนกำลังมากขึ้น แต่เทรนด์บูชาคนสำเร็จเร็วก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

.

.

เป็นที่สังเกตเห็นชัดเจนว่า นับวันแนวโน้มที่คนจะชื่นชมเด็กอัจฉริยะ หรือคนที่เฉิดฉายได้ตั้งแต่อายุยังน้อยมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ดารานักแสดง นักร้อง ที่อายุไม่ถึง 20 ปีก็สามารถกลายเป็นดาวเด่นประจำวงการบันเทิงได้แล้ว หรือแม้กระทั่งคนที่ทำเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ก็มักจะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ

.

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสื่อเองก็ให้ความสนใจกับคนเหล่านี้ โดยเฉพาะกับเรื่องที่พวกเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ผู้เขียนก็บอกว่าจริงๆแล้วอาจไม่ใช่เฉพาะสื่อ แม้แต่บริษัทยุคใหม่ๆ โดยเฉพาะบรรดาสตาร์ทอับทั้งหลาย ที่มักจะรับคนอายุน้อยเข้าไปทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเห็นได้จากอายุเฉลี่ยของพนักงานบริษัทที่น้อยลงเรื่อยๆเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

.

หรือแม้แต่ใน social media ต่างๆ ถ้ามีคนที่มีความสามารถอะไรสักอย่างหนึ่งตั้งแต่อายุยังน้อยปรากฎตัวขึ้นมา คอนเทนต์ต่างๆก็จะพรั่งพรูเข้าหาคนเหล่านั้นทันที และคนส่วนใหญ่มักจะชื่นชม มักจะพูดถึงแต่ในทางบวกซะด้วย

.

ส่วนตัวผมว่าเทรนด์นี้กำลังมาทั่วโลกจริงๆครับ ไม่ใช่เฉพาะในอเมริกา แต่ยังเป็นในไทยด้วย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอาจได้รับความสนใจน้อยกว่าผู้ประสบความสำเร็จอายุน้อยๆ

.

.

.


2) ค่านิยมคนสำเร็จเร็ว นำมาซึ่งวิกฤตทางสุขภาพจิต

.

.

แต่ผลเสียที่เกิดขึ้นจากการที่สังคมมีค่านิยมชมชอบคนประสบความสำเร็จเร็วก็คือ เรื่องของสุขภาพจิตของคนหมู่มาก ที่ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อที่จะได้เป็นหนึ่งในคนที่สำเร็จเร็ว

.

พ่อแม่ผู้ปกครองมากมายส่งเสริมให้ลูกเรียนพิเศษตั้งแต่เด็ก ส่งเสริมให้พยายามพัฒนาทักษะต่างๆ และค้นพบความสามารถที่ซ่อนอยู่ จนเด็กหลายคนไม่ได้มีชีวิตวัยเด็กในแบบที่ต้องการ ต้องหมดเวลาไปกับการพัฒนาความสามารถตัวเองที่ทั้งทรหดและน่าเบื่อ

.

จึงไม่แปลกเลยที่เด็กหลายคนจะพบเจอกับภาวะซึมเศร้า หดหู่ เบื่อโลก และมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ในภาพสังคมโดยรวมนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความกดดันจากการความนิยมชมชอบคนสำเร็จเร็วและการแข่งขันสู่ความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย นำมาซึ่งผลกระทบเชิงลบกับวัยรุ่นในด้านที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิต

.

.


3) ข้อสอบไม่ใช่ตัวชี้วัดที่แม่นยำ

.

.

ต้องบอกว่าหนังสือ Late Bloomers เล่าเรื่องวิวัฒนาการของข้อสอบมานานมาก ตั้งแต่เริ่มมีการคิดวัดความสามารถทางไอคิว และมาตราวัดความเก่งในช่วงสงครามโลก เพื่อเฟ้นหาบุคคลากรที่มีความสามารถมาป้องกันประเทศ จนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

.

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้เขียนเชื่อว่า ข้อสอบเหล่านี้ได้ถูกแปลงสภาพให้กลายเป็นเครื่องเร่งการแข่งขัน ไม่ใช่เครื่องวัดความสามารถ หรือพัฒนาการการเรียนรู้ในระยะยาวอีกต่อไป

.

เพราะเด็กในโรงเรียนทุกคนต่างตั้งใจเรียน และลุ่มหลงในการทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูงๆ จนกระทั่งกลายเป็นเป้าหมายในการเรียนรู้ แทนที่การเรียนรู้และการพัฒนาการในระยะยาว

.

จึงอาจกล่าวได้ว่า ข้อสอบจึงไม่สามารถใช้วัดสิ่งที่มันถูกออกแบบตอนแรกได้อีกต่อไป

.

คนเขียนจึงสรุปว่า เพราะค่านิยมของสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ข้อสอบไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้วัดการพัฒนาการและการสั่งสมทางความรู้ความสามารถอย่างได้มาตรฐาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในโลกนี้ก็ยังไม่มีแบบประเมินที่ใช้วัดพัฒนาการของมนุษย์ ที่มีความสลับซับซ้อนได้อย่างแม่นยำแม้แต่อันเดียว

.

.


4) สิ่งที่ต้องทำในชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับนาฬิกาของมนุษย์

.

.

อย่างที่ผมได้เล่าไปเบื้องต้นว่า หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างมีความเป็นวิทยาศาสตร์มาก จึงมีการอ้างอิงงานวิจัยเชิงจิตวิทยา และการพัฒนาการทางสมองตลอดเล่ม

.

เรื่องที่ผมชอบมากคือ เรื่องทักษะการบริหารจัดการตัวเองขั้นสูง ที่รวมตั้งแต่ การควบคุมความรู้สึกและปฏิกริยาโต้ตอบ การวางแผนซับซ้อนและการคาดเดาปัญหา

.

ทักษะที่ว่านี้ต้องใช้เปลือกสมองส่วนหน้าสั่งการ ซึ่งสมองส่วนดังกล่าวอาจไม่ได้พัฒนาสูงสุดในช่วงอายุ 18-25 ปี ซึ่งเป็นวัยที่คนเราต้องถูกคัดประเมินหลายครั้งหลายหน เช่น ทำข้อสอบ ทำเกรดเฉลี่ย และสมัครงาน

.

แต่ทักษะดังกล่าวจะถูกพัฒนาอย่างเต็มที่ในช่วงอายุ 20 ปลายๆถึง 30 ต้นๆ บางครั้งจึงดูเหมือนเป็นการไร้สาระมาก ที่เราพยายามวัดทักษะความสามารถของมนุษย์ในช่วงที่มันยังไม่ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่

.

.

ผู้เขียนเล่าให้ฟังถึงชีวิตตัวเองว่า ตัวเขาเองก็เคยเหลวไหลมากก่อน ทั้งที่เรียนจบการศึกษามาอย่างดี แต่กลับไปทำงานที่ได้ค่าแรงต่ำ และเขายังขี้เกียจในการออกไปทำงานอย่างมาก กว่าจะคิดได้ กว่าจะลุกขึ้นมารับผิดชอบตัวเอง ก็ปาไปช่วง 20 ปลายๆ ซึ่งตรงกับช่วงที่เขาทำวิจัยมาว่า ทักษะการบริหารจัดการตัวเองจะพัฒนาสูงสุด

.

นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้แสดงให้เห็นถึงผลวิจัยที่บอกว่า คนเราจะสามารถพัฒนาทักษะหรือการรู้คิดได้ดีที่สุดในวัยที่แตกต่างกัน เช่น เราจะพัฒนาทักษะด้านความเร็วการประมวลผลสูงสุดเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย แต่เราจะมีความจำระยะดีที่สุดเมื่อเราอายุ 25-35 ปี และในช่วงที่เรามีทักษะและความเข้าใจทางสังคมสูงสุดคือเมื่ออายุ 45-55 ปี

.

.


5) ความฉลาด 2 แบบ เชาวน์ปัญญาเหลว และเชาวน์ปัญญาแบบตกผลึก

.

.

จากงานวิจัยทางด้านสมอง เคนราจะมีความฉลาดแตกต่างกันอยู่ 2 แบบคือ เชาวน์ปัญญาเหลว (Fluid Intelligence) ที่เป็นความสามรถในการแก้ปัญหาใหม่ๆที่เจอได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้เก่า การใช้ตรรกะและเหตุผล

.

และเชาวน์ปัญญาแบบตกผลึก (Crystalised Intelligence) คือการนำความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่สั่งสมอยู่ในตัว ออกมาใช้แก้ปัญหาใหม่ๆที่เจอ

.

แน่นอนว่าในช่วงเยาว์วัยนั้น คนเราะมีเชาว์ปัญญาแบบเหลวมากกว่า ในขณะที่เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้น เราก็จะมีเชาว์ปัญญาแบบตกผลึกสูงขึ้นเรื่อยๆ

.

จุึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรคิดว่า เราคิดเร็วกว่าเมื่อตอนหนุ่มสาว หรือเราคิดได้หลักแหลมกว่าเมื่อเริ่มแก่ตัวลง

.

กล่าวอีกนัยก็คือ แม้ว่าเราอาจสูญเสียความฉลาดแบบหนึ่งไป เมื่ออายุมากขึ้น แต่เราก็มักจะถูกแทนที่ด้วยความฉลาดอีกแบบหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาแทน

.

เรื่องนี้ยังมีผลต่อการรับพนักงานเข้าทำงานในบริษัทอีกด้วย เพราะว่าถ้าบริษัทมัวแต่เอาเด็กใหม่ไฟแรงเข้ามาทำงาน บริษัทก็อาจขาดแคลนคนที่มีเชาวน์ปัญญาแบบตกผลึกมาช่วยแก้ปัญหาได้

.

.


6) จุดเด่น 6 ข้อของคนสำเร็จช้า

.

.

สำหรับคนที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในช่วงอายุไม่มากนั้น ก็อาจจำเป็นที่จะต้องพัฒนาจุดแข็งของคนสำเร็จช้าขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการสำเร็จในภายหลังของตน

.

โดยผู้เขียนได้อธิบายสิ่งที่เราควรพัฒนาไว้ 6 ข้อ ถ้าอยากเป็นคนสำเร็จช้า อันได้แก่

.

1. ความสงสัยใครรู้ ที่ต้องมีให้เหมือนเด็ก

2. ความกรุณา รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น

3. ความอึด ความไม่ยอมแพ้ เมื่อพบเจอกับอุปสรรค คนสำเร็จเร็วมักจะขาดข้อนี้ไปเพราะว่าทะนงตัว

4. ความสุขุมเยือกเย็น หรือความนิ่งของอารมณ์เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

5. ความเข้าใจลึกซึ้ง ที่เกิดจากการดึงข้อมูลที่เก็บสะสมไว้มาประมวลผล

6 ความฉลาดรอบรู้ ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากการสั่งสมของประสบการณ์และองค์ความรู้ต่างๆ

.

.

.


7) มุ่งมั่น สร้างบรรทัดฐาน และอย่าลืมย้ายกระถาง

.

.

สุดท้ายคือเทคนิคช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จสำหรับเหล่าบรรดา Late Bloomers ทั้งหลายนะครับ

.

เริ่มจากเราต้องช่วยกันสร้างค่านิยมและบรรทัดฐานใหม่ให้กับสังคม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่มีความสุขและไม่เร่งรีบ ค่อบๆเติบโต ค่อยๆเรียนรู้ชีวิต โดยเริ่มจากการสร้างค่านิยมที่ดีกับตัวเองก่อน เพราะสุดท้ายแล้วความคาดหวังและบรรทัดฐานทางสังคมจะกลายเป็นตัวกำหนดว่าเราจะสำเร็จได้หรือไม่

.

นอกจากนี้ เราควรเลือกใช้ความอดทนและมุ่งมั่นไปกับสิ่งที่เป็นความหลงไหลและความมุ่งมั่นในชีวิตของเราจริงๆ เพราะพลังงานของเรามีจำกัด เราไม่สามารถใช้ความอดทนอันจำกัดนี้ไปกับทุกอย่างได้ มิฉะนั้นเราอาจหมดไฟและล้มเลิกกลางคันเสียก่อน

.

สุดท้ายเรายังควรย้ายกระถางไปยังที่ใหม่ หรือพูดสั้นๆก็คือ ย้ายที่ทำงานใหม่ ย้ายอาชีพใหม่ ถ้าเกิดเราค้นพบว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่ตัวเรา การย้ายกระถางนี้เองจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราพบเจอกับโอกาสและสถานที่ที่เหมาะสมกับเราในการประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

.

.

.

………………………………………………………………………….

✍🏻ผู้เขียน: Rich Karlgaard (ริช คาร์ลการ์ด)

✍🏻ผู้แปล: อลิสา เฉลยจิตร์

🏠สำนักพิมพ์: เนชั่นบุ๊คส์, สนพ.

📚แนวหนังสือ : พัฒนาตัวเอง บริหารธุรกิจ

…………………………………………………………………………..

.

.

สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

‪#‎หลังอ่าน ‪#‎รีวิวหนังสือ ‪#หนังสือ2020 #หนังสือ2563 #‎reviewหนังสือ #LateBloomers #สำเร็จได้ไม่เห็นต้องรีบ #RichKarlgaard #อลิสาเฉลยจิตร์ #สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ #หนังสือพัฒนาตัวเอง #หนังสือบริหารธุรกิจ

.

.

.




481 views0 comments

Comments

Couldn’t Load Comments
It looks like there was a technical problem. Try reconnecting or refreshing the page.
Post: Blog2_Post
bottom of page