top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

พลังพลิกชีวิตของกิจวัตรยามเย็น



5 เทคนิคทำตอนเย็นของทุกวันมีค่า

จากหนังสือ พลังพลิกชีวิตของกิจวัตรยามเย็น

.

.

1) ตอนเย็นคือ “อีกหนึ่งวัน” ที่เริ่มขึ้นหลังเลิกงาน

สำหรับหลายคนที่ทำงานประจำเช้าจรดเย็น ก็คงจะเหลือเวลาที่ได้ใช้เพื่อตัวเองในช่วงเย็น

เป็นเวลา “อิสระ” ที่ทำอะไรตามใจตัวเองต้องการได้

.

แต่แทนที่จะกลับไปกินข้าว แล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนรอคอยการมาถึงของพรุ่งนี้

สู้เอาเวลามาทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำอาจดีกว่า

หาคอร์สเรียนพัฒนาตัวเอง ไปออกกำลังกาย ลองตัดต่อคลิปลง Youtube ฝึกทำอาหาร เขียนหนังสือ และโปรเจ็กต์อื่น ๆ ที่ืทำได้

.

.

2) การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบในตอนเย็น อาจช่วย “เติม” พลังชีวิตเราได้

หลายคนอาจคิดว่าการลุกขึ้นมาทำกิจกรรมในตอนเย็นหลังเลิกงาน จะ “สูบ” พลังของเราจนหมด

แต่ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ชอบจริง ๆ ช่วงเวลาเย็นก็อาจเติมพลังให้เราได้

.

บางคนอาจพบว่า การเติมพลังไม่ได้มาจาก การนอนหลับ การกินอาหารอร่อย ๆ หรือการนอนดูซีรีย์ตาแฉะ

แต่เกิดจากการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ !

และเห็นตัวเองเติบโตขึ้นทีละน้อยในทุกวัน

.

.

3) 3 ทริกสำคัญถ้าอยากหา “โปรเจ็กต์เสริม” หลังเลิกงาน

หลายคนไม่ได้อยากทำงานประจำที่ต้องทำทุกวันไปตลอดชีวิต

ดังนั้นการมองหาสิ่งที่จะทำหลังเลิกงานจึงสำคัญมาก และอาจกลายเป็นอาชีพใหม่ที่หาเลียงชีพได้เหมือนกัน

1. เลือกกิจกรรมที่ผ่อนคลายก่อน

เพราะถ้าเริ่มด้วยกิจกรรมยากและใช้พลังงานมาก เราจะมีโอกาสล้มเลิกสูง

.

2. คำนวณเวลาและค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้า

กิจกรรมบางอย่างอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาใหม่

.

3. ลองทำดูก่อน ถ้าไม่เหมาะกับตัวเองค่อยเลิก

อย่ายึดติดกับความสมบูรณ์แบบ ว่าเราต้องเจอกับสิ่งที่ชอบในทันที

ให้ลองทำไปเรื่อย ๆ เราจะค่อย ๆ รู้จักตัวเองมากขึ้นทีละนิด และเจอสิ่งที่เหมาะจริง ๆ กับเราในที่สุด

.

.

4) ของขวัญ 4 อย่างที่ได้รับเมื่อทำกิจวัตรยามเย็น

หลายคนอาจสงสัยว่าเราจะทำโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ตอนเย็นไปเพื่ออะไร

ผู้เขียนเลยอยากบอกเล่าสิ่งที่ได้รับเป็นของขวัญ 4 ข้อ

1. เติมเต็มความภูมิใจในตัวเอง แม้เป็นวันที่งานพัง

ค้นพบคุณค่าตัวเองนอกที่ทำงาน

.

2. เติมเต็มความฝันอีกอย่างที่อาจไม่ใช่งานออฟฟิศ

หลายคนมีฝันที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะยังไงก็ต้องทำงานออฟฟิศ หาเลี้ยงชีพ

การได้ทำตามฝันของตัวเองในตอนเย็น จึงอาจช่วยเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ได้

.

3. ได้มีช่วงเวลาที่ตัวเองเป็นศูนย์กลางของงานและชีวิต

เพราะในเวลางานเรามักต้องทำตามคำสั่งคนอื่น

แต่งานของตัวเราเอง เราจะต้องรับผิดชอบและตัดสินใจเอง

เราจึงมีโอกาสที่จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่

.

4. อาจได้รายได้ตามมา

แน่นอนว่าอย่าให้เรื่องเงินเป็นเป้าหมายหลักในการทำกิจกรรมเสริม เพราะอาจเป็นการกดดันตัวเองมากเกินไป

แต่จงเชื่อว่า ถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ รายได้ก็จะเข้ามาหาเอง

.

.

5) เป้าหมายไม่จำเป็นต้องสำเร็จก็มี “ความหมาย” ได้

ไม่ใช่ว่าเราตั้งเป้าหมายแล้วต้องยึดติดตัวเองกับการทำมันให้สำเร็จ

จงอย่าดำดิ่งลงไปกับเป้าหมายที่ตัวเองตั้ง

เพราะ ชีวิตเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ มีเหตุการณ์ที่อาจเกิดขั้นมากมายระหว่างที่เราเดินทางไปสู่เป้าหมาย

นอกจากนี้การยึดติดกับเป้าหมาย ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้มันมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

.

และที่สำคัญที่สุดคือ การตั้งเป้าหมายมีไว้เพื่อให้เรามีความสุขกับปัจจุบัน ไม่ไหวั่นไหวไปกับเรื่องราวของคนอื่น

ถ้าตั้งเป้าหมายแล้วมีแต่ทำให้เรารู้สึกดาวน์และลดคุณค่าของตัวเอง

การตั้งเป้าหมายอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่

.

.

6) รู้จักทำ Daily Planner

ในที่นี้อาจใช้คำว่า Daily feedback หรือ Daily report อาจเหมาะสมกว่า

เพราะเป็นการบันทึกภายหลังทำกิจกรรมนั้นเสร็จ

หมายความว่าให้เราตั้ง To do list และเขียนแผนคร่าว ๆ ไว้

จากนั้นก็ให้ “บันทึกกิจกรรมที่ทำจริง ๆ ในแต่ละชั่วโมงหลังทำกิจกรรมนั้นเสร็จ”

.

วิธีนี้จะช่วยสะท้อนรูปแบบการใช้เวลาที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา

เราจดจ่อได้ดีช่วงไหน ช่วงไหนที่เรามีพลังงานมาก พลังงานน้อย

เราเหมาะที่จะทำกิจกรรมแต่ละประเภทในเวลาไหน

.

การบันทึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราใช้เวลาได้ดีมากยิ่งขึ้น

.

.

7) อย่าใช้แผนเป็น “ตัวจับผิด” หรือ “ฉุดรั้ง” เรา

หลายคนไม่อยากเขียนแผนการในแต่ละวันขึ้นมา เพราะพอทำไม่ได้ก็จะรู้สึกแย่กับตัวเอง

หรือการที่มีเรื่องอื่นมาแทรก แผนการที่วางไว้ก็อาจพังหมด

เราจึงควรระลึกไว้เสมอว่า เราเขียนแผนขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราจัดการตัวเองได้ดีขึ้น

ไม่ใช่เพื่อทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง

.

.

8) อย่าเริ่มต้นในวันที่ไฟแรง

เพราะไฟแห่งความปรารถนาที่ลุกโชนอาจอยู่ได้ไม่นาน และพอถึงเวลาที่ไฟมอดลง

เราจะรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง ที่ยังทำอะไรไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน

.

วิธีที่ดีกว่า คือ เริ่มทำในสิ่งเล็ก ๆ แต่ให้ทำสม่ำเสมอ

แม้ในวันที่ไฟไม่ลุกโชน เราก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จได้

.

.

9) ความคิดเป็นเรื่องของ “ผู้ใหญ่” แต่การลงมือทำเป็นเรื่องของ “เด็ก”

เราอาจต้องคิดในแบบคนที่โตแล้ว

แต่การลงมือทำอะไรก็ตาม “จงสนุกเข้าไว้” เสมอ ๆ

.

.

10) จงอย่าทุกข์ทรมานไปกับการไล่ตามเป้าหมาย

เพราะความสุขที่เกิดจากการบรรลุเป้าหมายจะอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็จางหายไป

นอกจากนี้ตัวเราจะยังกดดันกับการทำเป้าหมายให้สำเร็จจนเป็นทุกข์

.

ดังนั้นแล้วจงมีความสุขไปกับการได้ลงมือทำในทุก ๆ วัน และมองเห็นตัวเองค่อย ๆ เติบโตทีละนิด

สุดท้ายแล้วเป้าหมาย เป็นเพียงแค่เครื่องนำทางเท่านั้น

.

.

รีวิวสั้น ๆ

เป็นหนังสือที่ออกมาในชุดเดียวกับเล่ม “สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อฉันลองตื่นก่อนโลก”

แต่คนเขียนเป็นคนละคนกัน แม้จะเป็นคนเกาหลีเหมือนกัน

จริง ๆ ก็อาจพอเดาได้ เพราะคนหนึ่งเป็นนกเช้า ชอบตื่นมาทำโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ตอนเช้า

ในขณะที่อีกคนชอบทำอะไรตอนเย็น หลังเลิกงาน

.

เล่มนี้คือเล่มของคนที่ชอบทำ “โปรเจ็กต์ใหม่ ๆ “ หลังเลิกงาน

เพราะความจริงแล้ว ถ้าตัดเวลาทำงาน เวลานอน เวลาเดินทางกลับบ้าน และทำธุระส่วนตัวออกไป

เราก็อาจมีเวลาเหลือมากถึง 5 ชั่วโมงต่อวัน

ซึ่งสามารถทำอะไรได้เยอะมาก

และไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเสาร์-อาทิตย์

.

ธีมหนังสือจึงเป็นการกระตุ้นให้ เราลุกขึ้นมาเริ่มทำโปรเจ็กต์ต่าง ๆ กัน

ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การฝึกทักษะใหม่ การเขียนบล็อก การเขียนหนังสือ การทำ Youtube

อย่าเอาแต่นอนเฉื่อย ดูซีรีย์ และปล่อยให้เวลาหลังเลิกงานหมดไปโดยเปล่าประโยชน์

.

หนังสือไม่ได้แค่กระตุ้นให้หันมาริเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ

แต่ยังเน้นเรื่องการจัดสรรเวลา และหลักในการบริหารเวลาในแต่ละวัน

ซึ่งไฮไลท์ของเล่มนี้เหมือนจะอยู่ตรง เทคนิค Daily Planner หรือ Daily Report ที่ให้เราบันทึกกิจกรรมที่ทำทุกชั่วโมง

แล้วลองวิเคราะห์ดูว่าเราใช้เวลาในแต่ละวันไปกับอะไรบ้าง คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปรึยัง

.

พร้อมกับการย้ำอยู่เสมอว่า การมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่ายึดติดกับมันเกินไปจนใช้ชีวิตไม่สนุก

รวมถึงการบันทึกการใช้เวลาเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่อย่าไปกดดันตัวเอง จนรู้สึกเฟล ถ้าทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้

.

โดยรวมแล้ว หนังสืออ่านง่าย

เป็นหนังสือที่ผสมระหว่าง “สร้างแรงกระตุ้น + howto บริหารเวลา” ได้อย่างลงตัว

เป็นหนังสือแปลเกาหลีอีกเล่มที่เหมือนอ่านบันทึกของผู้เขียน

เรื่องราวอ่านเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน

.

คนเขียนเคยทำงานประจำเป็นสัตวแพทย์ แต่ปัจจุบันลาออกมาทำช่อง Youtube เต็มตัว และทำงานสอนออนไลน์ด้าน การออกแบบแพลนเนอร์การบริหารเวลา รวมทั้งเป็นนักแสดงละครเวที

ใครชอบเรื่องบริหารเวลาอยู่แล้ว ลองไปหาอ่านกันดูได้ครับ

.

.

.................................................................................................

ผู้เขียน: รยู, ฮันบิน

ผู้แปล: อาสยา อภิชนางกูร

จำนวนหน้า: 190 หน้า

สำนักพิมพ์: อมรินทร์ How To, สนพ.

เดือนปีที่พิมพ์: 4/2022

ชื่อเรื่องต้นฉบับ: The Power of The Evening Routine The Changes The Morning

.................................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #พลังพลิกชีวิตของกิจวัตรยามเย็น




215 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page