top of page
Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who moved my cheese?)





รีวิว Who moved my cheese?

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป

.

‘จงอย่ายึดติดกับเนยแข็งก้อนที่มีอยู่ จงเตรียมพร้อม และโอบรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ’

.

‘เนยแข็ง’เปรียบเสมือน สิ่งที่ผู้คนแสวงหาในชีวิต

เช่น งาน ความสัมพันธ์ เงินทอง บ้านหลังใหญ่ สุขภาพ ความสงบร่มเย็นในใจ ทุกคนต่างรู้ดีว่า เนยแข็งของตัวเองคืออะไร

ส่วน ‘เขาวงกต’ เปรียบเสมือน สถานที่ที่ผู้คนใช้เวลาออกตามหาสิ่งเหล่านั้น

เช่น ในองค์กรที่ทำงาน ชุมชนที่ผู้คนอาศัยอยู่

.

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who moved my cheese?) เป็นหนังสือการปรับ mindset เรื่องการจัดการความเปลี่ยนแปลง เขียนโดย Dr. Spencer Johnson

หนังสือใช้วิธีการเล่านิทานเปรียบเทียบ ให้เห็นถึงความต่างของแนวคิดและวิธีในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงของคนแต่ละประเภท

หนังสือเล่าเรื่องผ่าน 4 ตัวละครหลัก ประกอบได้ด้วย หนู 2 ตัว และคนตัวเล็กอีก 2 คน

เป็นการเล่าแบบตอนเดียวจบในหนังสือ 100 หน้า เนื้อเรื่องสั้น ๆ ง่าย ๆไม่ซับซ้อน แต่ให้ข้อคิดที่ดีมาก ๆ

.

ตัวละคร 4 ตัวในเรื่อง คือ

1. Sniff (สนิฟ)

เป็นหนู ที่ชอบทำจมูกฟืด ๆ (ตามชื่อเลย) เพื่อเสาะหาเบาะแสของความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น และพยายามคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงไว้แต่เนิ่น ๆ

.

2. Scurry (สเคอรี่)

เป็นหนูที่วิ่งกระโจนอย่างเร่งรีบเข้าหาความเปลี่ยนแปลง (ตามชื่อเช่นกัน) อาจเรียกว่าเป็นตัวละครที่สามารถตอบสนองเปลี่ยนแปลงได้เร็วที่สุด

.

3. Haw (ฮอว์)

คนตัวเล็ก ผู้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในทีแรก แต่ก็ค่อย ๆ ปรับตัวแบบช้า ๆ

ค่อย ๆ เปลี่ยนmindset เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

อาจช้ากว่าหนู 2 ตัวแรก แต่ก็โอบรับการเปลี่ยนแปลง และลงมือแสวงหาเนยแข็งก้อนใหม่

.

4. Hem (เฮม)

คนตัวเล็ก ผู้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น

เมื่อได้พบกับเนยแข็งซึ่งเป็นสิ่งที่แสวงหาแล้ว ก็มักจะดื่มด่ำอิ่มเอมกับเนยแข็งก้อนนั้น จนลืมไปว่า มันอาจไม่ได้อยู่อย่างนั้นเสมอไป

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นคนที่ไม่ปรับตัว ไม่ยอมออกไปเสาะหาเนยแข็งก้อนใหม่

เขาเอาแต่นั่งรอ และหวังเพียงแต่ให้เนยแข็งก้อนเดิมกลับมาหาเขาอีกครั้ง

.

.

เล่าสรุปเนื้อเรื่องย่อ ก็ประมาณว่า

ตัวละครทั้ง 4 ตัวต้องวิ่งเข้าไปในเขาวงกตเพื่อตามหา ‘เนยแข็งก้อนใหญ่’ ที่ซ่อนอยู่ด้านในเขาวงกตแห่งนั้นอยู่ทุกวัน

ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งตัวละครทั้ง 4 ตัวก็ได้พบกับ ‘สถานีเนยแข็งขนาดใหญ่’ ที่ซึ่งมีเนยแข็งอยู่จำนวนมาก

ทุกคนจึงหยุดออกตามหา แล้วตัดสินใจตั้งรกรากอยู่แถวนั้นเพื่อจะได้เดินมากินเนยแข็งได้อย่างสบายในทุก ๆ วัน

.

เมื่อนานวันเข้า ความเคยชินในการเดินมากินเนยแข็งก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครทั้ง 4


แต่สิ่งที่ต่างกันคือคนตัวเล็กทั้ง 2 คือ เฮม และ ฮอว์ ‘เริ่มเอารองเท้าวิ่งไปเก็บ’ แล้วเดินเอื่อยเฉื่อยไปหาก้อนเนยแข็งในสถานี นั้น

ในขณะที่หนู 2 ตัว สนิฟ และ สเคอรี่ ‘ยังคงแขวนรองเท้าวิ่งไว้ที่คอ’ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะวิ่งกลับเข้าไปเขาวงกต ในกรณีที่เนยแข็งในสถานีนี้หมด และต้องออกตามหาสถานีเนยแข็งอันถัดไป

.

และแล้วอยู่มาวันหนึ่งเนยแข็งที่สถานีที่ทั้ง 4 อยู่ ก็หายไป ทั้ง 4 ตัวละครต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่ทั้ง 4 ก็ตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวต่างกัน

และนี่เองคือไฮไลท์ของหนังสือเล่มนี้

.

หนังสือเล่าให้เห็นถึงความต่างของการตอบสนองต่อเหตุการณ์เนยแข็งที่หายไปของตัวละครทั้ง 4

โดยหนูสนิฟ และสเคอรี่ แม้จะตกใจแต่ก็เอารองเท้าที่ผูกไว้ที่คอมาใส่ แล้วออกวิ่งกลับเข้าไปในเขาวงกตเพื่อตามหาสถานีเนยแข็งแห่งถัดไปทันที

ในขณะที่ คนตัวเล็กทั้ง 2 ยังคงตกใจกับการหายไปของเนยแข็ง ไม่มีการตอบสนองต่อเหตุกาณ์ใด ๆ ยกเว้นแต่จะโทษดินฟ้าอากาศว่า ‘ใครเอาเนยแข็งของฉันไป’

.

แต่สักพักหนึ่งฮอว์ ก็เริ่มค่อย ๆ ปรับตัวได้ เขาค่อย ๆ เปลี่ยน mindset จากเป็นคนไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ มายอมรับการหายไปของเนยแข็ง และเริ่มหยิบรองเท้ามาสวมเพื่ออกวิ่งตามหาเนยแข็งอีกครั้ง

ฮอว์วิ่งกลับเข้าไปในเขาวงกต และค่อย ๆ ปรับความคิดของตัวเอง

ระหว่างทางตามหาเนยแข็งก้อนใหม่นั้น เขารู้สึกท้อ และหลายครั้งก็ยังคงคิดถึงเนยแข็งก้อนที่หายไป

แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และเดินต่อไปเรื่อย ๆ

ฮอว์ทิ้งร่องรอยไว้ตามทางเดิน เผื่อสักวันเฮมจะยอมทิ้งสถานีเนยแข็งแห่งนั้น และกลับมาเดินตามหาเนยแข็งอีกครั้งในเขาวงกต

.

เพราะแม้ฮอว์จะออกเดินไปสักพักแล้ว เฮมก็ยังนั่งจมกองทุกข์อยู่กับก้อนเนยแข็งที่หายไป

และเอาแต่หวังว่าสักวันหนึ่งเนยแข็งก้อนนั้นจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง

.

หนังสือเน้นย้ำถึงมุมมองของฮอว์ที่ค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะปรับมุมมองตัวเองเพื่อออกเดินทางตามหาเนยแข็งอีกครั้ง

ฮอว์ค่อย ๆ เรียนรู้มุมมองของหนูทั้ง 2 ตัว ที่ออกเดินนำหน้าเขาไปไกลแล้ว

และพยายามชักชวนเฮมให้โอบรับความเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนตัวเองบ้าง

.

ถ้าให้เทียบกับตัวละครทั้ง 4 ตัวนั้น

เราทุกคนควรมีคุณสมบัติแบบสนิฟ และสเคอรี่ คือ การหมั่นตรวจสอบร่องรอยความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น และการลงมือปรับแผนเมื่อความเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันเดินทางมาถึง

.

เราอาจต้องเริ่มฝึกฝนแบบฮอว์ คือค่อย ๆ ปรับ mindset การยอมรับความเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด

อาจไม่จำเป็นต้องทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่การค่อย ๆ ฝึกตัวเองนั้น ก็จะพาเราไปสู่การเป็นคนใหม่ได้

.

แต่คนที่เราไม่ควรเอาอย่างคือเฮมที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

และเอาแต่หวังว่าโชคชะตาจะใจดีกับตัวเอง ส่งมอบเนยแข็งก้อนโตกลับมา โดยที่ไม่ต้องลงมือทำอะไร

.

ส่วนต่อไปเป็น 5 ข้อคิดที่ผมได้จากหนังสือใครเอาเนยแข็งของฉันไป นะครับ

.

1) หมั่นเสาะหาร่องรอยของความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

.

การเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งสำคัญ

เพราะหลาย ๆ ครั้ง มันมักจะมีสิ่งบ่งชี้เล็ก ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงเสมอ

.

เราต้องหัดทำตัวเป็นหนูสนิฟ ที่คอยทำจมูกฟืด ๆ เสาะหาความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

และเตรียมแผนในการรับมือการความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น

เหมือนสนิฟที่เอารองเท้าห้อยไว้ที่คออยู่ตลอดเวลา

.

.

2) ลงมือปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

.

การปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงให้รวดเร็วเป็นข้อได้เปรียบ

และอาจสร้างโอกาสอื่นให้กับชีวิตของคนเราได้

.

เราต้องทำตัวเป็นหนูสเคอรี่ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เราต้องพยายามมองหาวิธีในการปรับตัวเองให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง

ในหนังสือเล่มนี้คือการวิ่งกลับเข้าไปในเขาวงกตอย่างรวดเร็วเพื่อตามหาเนยแข็งชิ้นถัดไป

ในชีวิตจริง นั่นอาจหมายถึง เราอาจต้องหางานอันใหม่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับงานที่เราทำอยู่ขึ้นมา

.

หรือแม้แต่การมองหาช่องทางการสร้างรายได้แบบใหม่

ในช่วงการระบาดของ COVID-19 จะเห็นชัดเจนมากว่า เนยแข็งของหลายคนอาจหายไปโดยไม่ทันตั้งตัว

แต่มีไม่กี่คนที่ทำตัวเป็นสเคอรี่ นั่นคือการมองหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจ และลงมือสร้างรายได้จากโอกาสใหม่นั้นโดยเร็ว

.

.

3) องค์กรเองก็ควรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ

.

องค์กรเองยังควรทำตัวเป็นหนูสนิฟและสเคอรี่ เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสอยู่รอด

แม้ในวันนี้องค์กรจะมีสถานีรายรับขนาดใหญ่

แต่การเกิดเทคโนโลยี ดิสรับชั่น (technology disruption) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และการระบาดของ COVID-19 ก็อาจทำให้สถานีดังกล่าวหายวับไปในพริบตา

.

ในช่วงการระบาดของ COVID-19 จะเห็นว่ามีหลายองค์กรที่ต้องปิดตัวลง

ธุรกิจมากมายก็ล้มหายตายจาก จากการขาดรายได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

ดังนั้นแล้ว การหมั่นตรวจหาความเปลี่ยนแปลงที่มีโอกาสเกิดขึ้น รวมถึงการลงมือปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างรวดเร็วนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่อยากแข่งขันได้ในระยะยาว

.

.

4) เลือกผู้นำที่มี mindset รับการเปลี่ยนแปลงที่เหมาะสม

.

เรื่องแนวคิดและวิธีการในการรับการเปลี่ยนแปลงอาจกลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการคัดเลือกผู้นำองค์กร หรือคนที่จะเข้าทำงานก็เป็นได้

ในมุมองค์กร แต่ละองค์กรอาจเลือกได้ว่าควรจะสนับสนุกคนประเภทไหน และคนประเภทไหนที่องค์กรทุกองค์กรคงไม่อยากเอาไว้

.

แน่นอนว่าองค์กรควรจะสนับสนุนให้คนที่เป็นผู้นำมี mindset แบบสนิฟและสเคอรี่ เป็นคนที่ปรับตัวไว มองหาการเปลี่ยนแปลงของตลาด และตัดสินใจลงมือทำอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันรุนแรงและสมรภูมิเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

.

ผู้นำที่ฉลาดเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้องค์กรอยู่รอด แต่จะต้องเป็นคนที่ปรับตัวเร็วด้วย

.

.

5) เมื่อต้องเปลี่ยนแปลง จงมีความสุขไปกับมัน อย่าไปจมกับสิ่งที่เคยมีในอดีต

.

เห็นได้จากตัวละครฮอว์ที่ตอนแรกไม่อยากเปลี่ยนแปลง แต่ก็ค่อย ๆ ปรับmindset ตัวเองจนยอมโอบรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ช่วงแรก ๆ ฮอว์ยังคงคิดถึงเนยแข็งก้อนเก่า และไม่อยากเดินทางต่อไปในเขาวงกต

แต่เมื่อเขาคิดได้ เขาก็พยายามโฟกัสอยู่กับสิ่งที่ทำในปัจจุบัน

เลิกสนใจเนยแข็งก้อนเดิมในอดีต

และพุ่งเป้าไปที่การตามหาเนยแข็งก้อนใหม่

.

ชีวิตจริงเราก็ไม่ต่างอะไรกัน ทางเดียวที่จะมีความสุขเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น คือการมีความสุขไปกับมัน

มองมันเป็นเรื่องสนุก และออกผจญภัยไปในเขาวงกตแห่งชีวิตอีกครั้ง

.

.

.

สุดท้ายนี้อาจสรุปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และมันมักจะมาในเวลาที่เราไม่คาดฝัน

เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ตลอดเวลา

และที่สำคัญลองอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อตกผลึกเป็นไอเดียในการน้อมรับการเปลี่ยนแปลงกันเถิดครับ

.

.

………………………………………………………………………………………………………………….

ผู้เขียน : M.D. Spencer Johnson

ผู้แปล: ประภากร บรรพบุตร

สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์

จำนวนหน้า: 92 หน้า

แนวหนังสือ: การพัฒนาตัวเอง

ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Who Moved My Cheese?

เดือนปีที่พิมพ์: 2001

………………………………………………………………………………………………………………….

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

‪#‎หลังอ่าน ‪#หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #whomovedmycheese #ใครเอาเนยแข็งของฉันไป


2,574 views0 comments

Comments


Post: Blog2_Post
bottom of page