top of page
  • Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว The Psychology of Money: จิตวิทยาว่าด้วยเงิน

Updated: Jun 16, 2022



สรุป 15 ข้อคิดเรื่องเงิน จากหนังสือ The Psychology of Money: จิตวิทยาว่าด้วยเงิน

.

.

1) สำหรับเรื่องการเงิน เราอาจถูกสอนมาในเชิงฟิสิกส์ด้วยกฎและข้อบังคับมากเกินไป และน้อยเกินไปสำหรับเชิงจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และการรับรู้

ทั้งที่จริง ๆ แล้วพฤติกรรมและการตัดสินใจทางการเงินของเรามักขึ้นอยู่กับอารมณ์

ความเสี่ยง ความมั่นใจ และความสุขที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเองก็ล้วนเกี่ยวข้องกับอารมณ์

.

.

2) ไม่มีใครเป็นบ้าในโลกการเงิน

การตัดสินใจทางการเงิน เช่น ความเต็มใจในการแบกรับความเสี่ยงการลงทุน มักขึ้นกับประสบการณ์ในอดีตมากกว่าระดับรายได้ การศึกษา หรือความฉลาดทางการเงินของแต่ละบุคคล

เพราะแต่ละคนล้วนมีประสบการณ์ในอดีตที่แตกต่างกันออกไป การจะเข้าใจพฤติกรรมของใครสักคนจริง ๆ ไม่สามารถทำได้จากการดูแค่ข้อมูลตัวเลขพื้นฐาน

.

แม้การศึกษาอดีตจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่า ทำไมคน ๆ นั้นถึงตัดสินใจทางการเงินแบบนั้นแบบนี้

แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ในจุดที่เขาอยู่จริง ๆ เราก็อาจไม่มีวันจะเข้าใจเขา

เช่น เราไม่มีทางเข้าใจคนที่สูญเสียทุกอย่างช่วงเศรษฐกิจถดถอยได้เหมือนตัวเขาเอง

ดังนั้นแล้ว เราไม่ควรตัดสินว่าใครเป็นบ้า หรือตัดสินใจโง่ ๆ ในเรื่องเงิน

เพราะเราไม่มีทางเข้าใจเขาได้อย่างถ่องแท้

แม้แต่ตัวเราเองก็เหมือนกัน บางทีการตัดสินใจของเราอาจขึ้นกับประสบการณ์และปัจจัยอื่น ๆ ที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้

.

.

3) โชคและความเสี่ยงคือพลังงานแบบเดียวกัน แต่ทำงานคนละด้าน

บิล เกตส์ คือนักเรียน 1 ในล้านคนที่ได้เรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่มีคอมพิวเตอร์ และทำให้เขาได้มีโอกาสใช้เวลาศึกษาการศึกษาคอมพิวเตอร์จนกระทั่งเชี่ยวชาญและต่อยอดเป็นบริษัท Microsoft

ในขณะที่เพื่อนมัธยมปลายของเขา คือนักเรียน 1 ในล้านคนที่ประสบอุบัติเหตุตกเขาเสียชีวิตตั้งแต่มัธยมปลาย ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสที่จะเติบโตเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Microsoft ร่วมกับ บิล เกตส์

.

เรื่องนี้สื่อได้ว่า “โชค” กับ “ความเสี่ยง” อาจมีอยู่จริง

เป็นพลังงานที่ทรงอิทธิพลเหมือนกัน

แต่ทำงานกันคนละด้าน โชคให้ผลลัพธ์ที่ดีมากมายมหาศาล ในขณะที่ความเสี่ยงก็ทำลายชีวิตได้ในทันที

.

แต่สิ่งที่เรามักพลาดไปคือ เราให้ค่ากับสองสิ่งนี้น้อยเกินไป

โดยเฉพาะเมื่อเราสำเร็จ เรามักชื่นชมความพยายามของตัวเอง เหมือนที่เราชื่มชม บิล เกตส์

แต่ความจริงแล้ว ทุกความสำเร็จอาจมีโชคเป็นปัจจัยส่งเสริมที่ซ่อนอยู่เสมอ

ไม่มีทางที่ความสำเร็จ 100% ของเรา จะเกิดจากแรงพยายามของเราเต็ม 100%

.

ความล้มเหลวก็เช่นกัน

หลายครั้ง เราอาจรู้สึกท้อกับความผิดพลาดในชีวิตเรา เพราะเราคิดว่าเราต้องรับผิดชอบต่อมันทั้งหมด

แต่ความจริงแล้ว ความผิดพลาดของเราก็อาจไม่ได้เกิดจากฝีมือเรา 100% แต่ความเสี่ยงก็คือส่วนประกอบที่ทำให้ความผิดพลาดเกิดขึ้น

ดังนั้นแล้ว ถ้าเราลงทุนล้มเหลว หรือล้มเหลวในเรื่องอื่น เราอาจต้องเปิดใจให้กว้าง และมองว่าความเสี่ยงก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เราพลาดได้เช่นกัน

.

.

4) ทักษะทางการเงินที่ยากที่สุด คือการทำให้เป้าหมายหยุดเคลื่อนที่

ระบบทุนนิยมสมัยใหม่นั้น นำพาทั้งความมั่งคั่งและความอิจฉามาพร้อม ๆ กัน

มันทำให้คนเราไม่หยุดที่จะเปรียบเทียบ และไม่รู้จักพอ

เมื่อมีถึงจุดหนึ่ง ก็ยังอยากได้มากขึ้นไปอีก

.

ตัวอย่างเช่น เบอร์นี แมดอฟฟ์ ที่มีเงินอย่างมหาศาล ยังคงหาวิธีที่จะมีเงินมากขึ้นไปอีก แม้การทำสิ่งนั้นจะเป็นธุรกิจสีเทา ๆ ที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็นำมาซึ่งการหลอกลวงผู้คนเป็นจำนวนมาก

เงินที่แมดอฟฟ์มีนั้นทำให้เขามั่งคั่งเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เขามีเกียรติยศ อำนาจ อิสรภาพ ทุกอย่าง ที่คนทั้งโลกอยากมี แต่เขาก็ยังอยากมีเพิ่มขึ้นไปอีก

หลายครั้ง กรณีแบบ แมดอฟฟ์ ก็สามารถทำได้เพิ่มขึ้น แต่อีกหลายคนที่โลภแบบนี้ ก็จบลงด้วยการล้มละลาย

.

คำว่า “พอ” ที่อาจฟังดูเชย จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยุคนี้

เราต้องมองหาเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง และถ้าเราได้ถึงจุดนั้นแล้ว เราต้องรู้จัก “พอ”

เงินที่มากพอที่จะนำชื่อเสียง เกียรติยศ และอิสรภาพมาให้

เงินที่จะนำมาซึ่งความสุขในชีวิต พร้อมเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว

ถ้าเรามีเงินตามเป้าที่เราตั้งไว้แล้ว เราควรพอ อย่าขยับเป้าหมายการเงินตัวเองออกไปอีก ตามกระแสสังคม

ลดอัตตาของตัวเอง และเราจะมั่งคั่งมากขึ้น

.

.

5) พลังของเวลาและการทบต้น

วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจด้านการลงทุน

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าความลับอย่างหนึ่งที่ทำให้ บัฟเฟตต์ รวยมหาศาล เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก คือ “เขาเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย”

บัฟเฟตต์ เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ พอตอนอายุ 30 ปี เขาก็มีความมั่งคั่งสุทธิที่ 1 ล้านเหรียญ

ถ้าเขาเริ่มต้นลงทุนตอนอายุ 30 ปี เขาอาจจะมีความมั่งคั่งแตกต่างจากที่เขาได้ถึง 11.9 ล้านเหรียญ

.

ดังนั้นแล้วการเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยถือเป็นข้อได้เปรียบมาก

เพราะมันจะทำให้พลังของการทบต้นทำงานได้เยอะ

.

แต่อีกสิ่งที่สำคัญคือ การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนดีอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

และต้องรักษาผลตอบแทนระดับนี้ให้ได้ในระยะเวลานาน เพราะมันจะทำให้พลังของการทบต้นทำงานอย่างบ้าคลั่ง

แต่ถ้าเราลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ครั้งเดียว แต่ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้นาน พลังที่ว่าก็คงไม่มีโอกาสได้ทำงาน

.

.

6) การหาเงินได้ กับการรักษาเงินไว้ เป็นทักษะที่ต่างกัน

การหาเงินมาได้ ต้องอาศัย การแบกรับความเสี่ยง การมองโลกในแง่ดี และการเอาตัวเองไปอยู่ให้ถูกจุด

แต่การรักษาเงินนั้น ต้องใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความหวาดกลัวว่าเงินที่หามาได้อาจหายไปอย่างรวดเร็วในวันหนึ่ง

การรักษาเงินไว้ได้นาน ต้องอาศัยความตระหนี่ และการยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่ได้เงินมามาจากโชค

ไม่ใช่การมั่นใจในตัวเองจนเกินไป และใช้วิธีการในอดีตทำซ้ำอย่างไม่จำกัด

.

พูดอีกนัยก็คือ การจะรักษาเงินไว้ได้ เราต้องอยู่ให้รอดในระยะยาว

เราต้อง “ฆ่าไม่ตาย” และยืนระยะมากพอให้พลังแห่งการทบต้นได้ทำงาน

ตัวอย่างเช่น ผลตอบแทนการลงทุนหุ้น 10% อาจยั่วยวนให้เราเอาเงินจากธนาคารที่ให้ผลตอบแทนแค่ 1% ไปซื้อหุ้น

แต่ถ้าหุ้นนั้นอยู่ในช่วงขาลง เราอาจสูญเสียมากกว่าส่วนต่าง 9% ที่จะได้รับมาตอนถือหุ้นตัวนั้น

การรักษาเงินของเราไว้ได้ โดยไม่บุ่มบ่าม และเสี่ยงเกินไปจึงเป็นทักษาสำคัญในการรักษาเงินไว้

.

.

7) ปลายหาง (Long tail) ขับเคลื่อนทุกสิ่ง

ทฤษฎีเหตุการณ์ปลายหาง (tail event) นั้นท้าทายกฏพาเรโตอย่างมาก

เพราะกฎพาเรโตบอกให้เราโฟกัสไปที่สินค้าไม่กี่อย่างที่สำคัญที่สุด แล้วเลือกลงทุนไปกับสิ่งเหล่านั้น

ทฤษฎีปลายหางคิดต่างออกไป และบอกว่าเราควรกระจายการลงทุนไปยังสินค้าทุกอย่าง เพราะหนึ่งในสินค้าเหล่านั้นอาจกลายเป็นสินค้ายอดฮิตที่ทำกำไรให้เรามหาศาล

เหมือนการซื้องานศิลปะ คนที่สำเร็จนั้นอาจเป็นคนที่ซื้องานศิลปะจำนวนมาก แล้วหนึ่งในนั้นกลายเป็นงานระดับปิกัสโซ

.

ในโลกการลงทุน คนที่ลงทุนสม่ำเสมอ แล้วต่อขยายส่วนปลายหางให้ยาวออกไปที่สุด อาจเป็นคนที่มีโอกาสมากที่สุดที่ได้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อเทียบกับคนที่เลือกลงทุนเฉพาะช่วงที่ตลาดขาขึ้น และถอนเงินออกไปตอนตลาดขาดลง

เพราะมีปัจจัยเรื่องโชคและความเสี่ยงอีกมากที่อาจเกิดขึ้นกับเหตุการณ์ปลายหางที่ทอดยาวออกไป

.

ดังนั้นแล้วมันสำคัญตรงที่เราอาจโชคดีเจอเหตุการณ์ปลายหางที่ทำให้เราทำเงินได้มหาศาล แต่เราก็อาจโชคร้ายถ้าต้องสูญเสียเงินมหาศาล

ดังนั้นแล้ว เราต้องไม่สูญเสียเงินมากเกินไปในช่วงที่โชคร้าย

เราผิดพลาดได้ครึ่งหนึ่ง เพราะยังอาจมีเหตุการณ์ปลายหางที่ช่วยเราอยู่

แต่เราต้องไม่สูญเสียมากกว่าจะแก้ไข

.

.

8) การควบคุมเวลาคือเงินปันผลสูงสุดที่เงินมอบให้

ถ้าเราหาเงินได้มาก เราก็จะมีเวลาอิสระมากขึ้น เราจะใช้เวลาอยู่กับลูก ๆ ของเรา และคนที่เรารักได้มากขึ้น

ง่านสมัยใหม่ ใช้หัวทำมากกว่าใช้มือ งานจึงมักติดอยู่ในหัวเราตลอดเวลา

ปัญหาก็คือ เราทำงานเพื่อหาเงิน แต่งานกับขโมยเวลาของเราไป

ดังนั้นเปลี่ยนความคิดซะใหม่ เงินที่ปันผลจากการทำงานของเรา ที่ควรได้มากที่สุดนั้นเกิดมาจากการที่เราควบคุมเวลาของตัวเองได้

.

.

9) มั่งคั่ง ไม่เท่ากับร่ำรวย

หลายคนใช้ชีวิตเหมือนคนรวย ขับรถหรู ใช้ของแบรนด์เนม ซื้อบ้านหลังโต แต่เงินที่พวกเขามีอาจไม่ได้มาก

ความมั่งคั่งแตกต่างออกไป ความมั่งคั่งคือเงินที่ยังไม่ถูกจ่ายออกไป มันคือทางเลือกที่เราเลือกได้ว่าจะใช้เงินกับอะไร มันทำให้เรามีความยืดหยุ่น

.

โลกนี้มักเต็มไปด้วยคนที่อวดความร่ำรวย โดยการซื้อรถแพง ๆ มาขับ เพื่อให้คนอื่นชื่นชม เคารพนับถืออ

แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่คนอื่นมองนั้นคือตัวรถที่พวกเขาฝันอยากมีบ้างในสักวัน ไม่ใช่ตัวคนที่ขับรถคันนั้นมา

.

ดังนั้นแล้วจงอย่าใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายเพียงเพราะ เราต้องการความรู้สึกชื่นชม

แต่จงออมเงินเพื่อให้ตัวเรามีความมั่งคั่งอย่างแท้จริง

.

.

10) จงออมเงิน การออมไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล

เราไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายการออม เพื่อดาวน์รถ ซื้อบ้าน หรือเก็บเงินเพื่อเกษียณ

แต่การออมเงินจะเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างแท้จริง

การออมไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตัวเราเองในอนาคต

มันจะทำให้เรามีอิสระมากพอในการเลือกทำในส่งที่เราอยากทำ

และมีความยืดหยุ่นมากพอในการรอโอกาสดี ๆ ที่อาจเข้ามาในอาชีพและการลงทุนของเราได้

.

.

11) คนเราล้วนทำทุกอย่างที่สมเหตุสมผลกับตัวเอง มากกว่าใช้เหตุผล

แม้เหตุผลจะชนะ แต่สุดท้ายเราก็ยังตัดสินใจในสิ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อของตัวเอง

ดังนั้นแล้ว เราควรรักการลงทุนของตัวเอง

ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม

เพราะมันได้สะท้อนถึงค่านิยม และแบบแผนที่สมเหตุสมผลของตัวเรา

.

.

12) ประวัติศาสตร์อาจไม่สามารถใช้ทำนายอนาคตได้ เพราะมีเรื่องไม่คาดฝันอยู่มากเกินไป

และเรื่องไม่คาดฝันเหล่านั้น ก็ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก

สภาวะจิตใจของแต่ละคนที่ต้องฟันฝ่าเรื่องร้าย ๆ มา อาจหล่อหลอมให้เขามีพฤติกรรมที่ยากจะคาดเดาได้ในวันนี้

และโลกใบนี้ก็มีเรื่องเซอรไพร๊สเกิดขึ้นทุกวัน

เราจึงไม่ควรนำประวัติศาสตร์มาใช้ในการทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

.

.

13) พลังของการมองโลกในแง่ร้ายและการมองโลกในแง่ดี

การมองโลกในแง่ร้ายนั้นมีข้อดีที่ทำให้เราลดความคาดหวังของสิ่งต่าง ๆ ลง

ทำให้ช่องว่างระหว่างสิ่งที่เป็นไปได้กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงลดลง

เราจึงมีความสุขได้มากขึ้นกับผลลัพธ์ที่เกิด

แต่ความจริงแล้ว การมองโลกในแง่ดีนั้น ก็มีประโยชน์ แต่จะส่งผลในระยะยาว

เหมือนการวิวัฒนาการทางการแพทย์ ที่ต้องใช้เวลาเป็นศตวรรษ และเรามักมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป

การลงทุนก็ไม่ต่างกัน ถ้าเรามองโลกในแง่ดีเข้าไว้ และเชื่อในอิทธิพลของเหตุการณ์ปลายหาง

หมั่นเก็บเงินออม จนพลังทบต้นทำงาน

วันหนึ่งการลงทุนของเราจะส่งผลดีต่อเราได้มหาศาล

.

.

14) จงลงทุนในแบบที่นอนหลับสนิททั้งคืน

อย่าใช้แนวทางที่ลงทุนแล้วมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงสุด

แต่จงบริหารเงินให้เราสามารถนอนหลับสนิทได้ทั้งคืน ไม่ต้องกระวนกระวาย

.

.

15) หาต้นทุนความสำเร็จให้เจอ แล้วจ่ายมันออกไป

มองว่ามันมีต้นทุนทางการเงินบางอย่างที่เราต้องจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมของความสำเร็จ เช่น ความลังเล ความไม่แน่นอน ความสงสัย ความเสียใจ

หลายครั้งมันเป็นข้อบังคับในโลกการเงิน

ดังนั้นแล้วทำใจยอมรับค่าธรรมเนียมเหล่านี้ เหมือนจ่ายค่าตั๋วเข้าสวนสนุกดิสนีย์แลนด์

อย่ามองว่ามันคือ ค่าปรับ หรือการลงโทษที่เราควรเลี่ยง

.

.

เนื้อหาจริงมีมากกว่านี้ และละเอียดกว่านี้มาก ต้องลองไปหยิบเล่มจริงมาอ่านกันดูนะครับ

.

.

รีวิวสั้น ๆ

เป็นหนังสือการเงินที่อ่านสนุกมาก

และสามารถเขย่าความคิดทางการเงินที่เคยรู้มาทั้งชีวิตได้ !!

เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องเงินมันซับซ้อนมากกว่า การพยายามนำหลักคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์มาจับ

แล้วสร้างเป็นโมเดล

แต่มนุษย์ล้วนถูกขับเคลื่อนทางจากอารมณ์

และยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่เราเห็น

รวมไปถึง โชค ความเสี่ยง และพลังของเวลา

.

ส่วนตัวคิดว่าเป็นหนังสือที่มีความยากกำลังดี ไม่ใช่หนังสือเปลี่ยน mindset ทางการเงินแบบกลวง ๆ

แต่ก็ไม่ใชหนังสือที่อิงงานวิจัยมากเกินไป จนน่าเบื่อ และเสียอรรถรถ

.

หนังสือมีเรื่องเล่าและตัวอย่างที่ยกมาประกอบเยอะมาก

รวมถึงสถิติต่าง ๆ ที่ล้วนแล้วแต่ทำให้หนังสือน่าสนใจมากขึ้น

.

บอกได้เลยว่า เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอันดับต้น ๆ ของปี

และทำให้ได้มุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับโลกการเงินมากมาย

ยังไงอยากให้ทุกคนได้ลองหาอ่านกันดูสักครั้งครับ

.

.

........................................................................................

ผู้เขียน: Morgan Housel

ผู้แปล: ธนิน รัศมีธรรมชาติ

จำนวนหน้า: 272 หน้า

สำนักพิมพ์: ลีฟ ริช ฟอร์เอฟเวอร์, บจก.

เดือนปีที่พิมพ์: 2022

........................................................................................

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #ThePsychologyofMoney




697 views0 comments
Post: Blog2_Post
bottom of page