top of page
  • Writer's pictureหลังอ่าน: รีวิวหนังสือ

รีวิว The Midnight Library





รีวิว The Midnight Library

มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน

.

.

‘เคยสงสัยมั้ยว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเลือกตัดสินใจอีกแบบ เดินในอีกเส้นทางหนึ่ง ชีวิตเราจะไปถึงไหนแล้ว’

.

***เนื้อหาต่อไปนี้เป็นเรื่องย่อ + รีวิว และอาจมีสปอยนิดหน่อยนะครับ***

.

The Midnight Library หรือ มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน เป็นนวนิยายเลื่องชื่อของ Matt Haig ผู้เขียน Reason to stay alive ที่เล่าเรื่องหญิงสาววัย 35 ปีคนหนึ่งที่เกิดวิกฤตชีวิตขึ้นจากปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมเร้าจากทั่วทุกด้าน จนเธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่เธอไม่ตาย เธอเข้าไปพบกับห้องสมุดหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ระหว่างความเป็นและความตาย เธอยังไม่ตาย

.

และเธอได้โอกาสสุดพิเศษที่จะเข้าไปลองใช้ชีวิตในแบบที่เธออยากลองใช้ แต่ไม่ได้ใช้ ตราบใดก็ตามที่เวลาในห้องสมุดดังกล่าวยังหยุดอยู่ที่เวลาเที่ยงคืน

.

ชีวิตในแบบที่เธออยากลองใช้ที่ว่านี้ก็คือ การที่เธอตัดสินใจไม่เลือกเดินไปในเส้นทางเหล่านั้น แต่เลือกเส้นทางอีกแบบ เช่น ตั้งแต่เด็กๆที่เธอมีโอกาสฝึกว่ายน้ำจนสามารถลงแข่งในระดับโอลิมปิกได้ เพราะศักยภาพของเธอนั้นมีมากเหลือ แต่เนื่องด้วยเหตุผลของเธอ เธอตัดสินใจทิ้งการว่ายน้ำไป รวมไปถึงเส้นทางชีวิตที่เธออาจไปเริ่มธุรกิจเปิดผับในชนบทกับแฟนเธอได้ แต่เพียง 2 วันก่อนแต่งงานเธอก็ตัดสินใจบอกเลิกเขา แล้วก็ทิ้งความฝันเรื่องผับนั้นไป

.

การตัดสินใจเหล่านี้คือ การตัดสินใจที่หญิงสาวรู้เสียใจ (regret) เพราะไม่ได้เลือกเดินทางไปยังเส้นทางเหล่านั้น ห้องสมุดเที่ยงคืนให้โอกาสหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งโดยเพียงแค่เธอเปิดสมุดแต่ละเล่มในห้องสมุดที่วางเรียงรายกันไปตามทางเดินห้องสมุดจนนับไม่ถ้วน เธอก็จะได้มีโอกาสเข้าไปใช้ชีวิตในวัย 35 ปีของเธอ ที่ผ่านการตัดสินใจที่แตกต่างกันมาในอดีต

.

เช่น แม้ชีวิตรากเหง้าของเธอ (ชีวิตจริงๆก่อนฆ่าตัวตาย) เธอจะทิ้งความฝันเรื่องการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำไปแล้ว แต่หนังสือในห้องสมุดเที่ยงคืนเล่มหนึ่งก็จะส่งพลังพิเศษให้เธอได้ไปลองใช้ชีวิตเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ฝึกซ้อมจนไปแข่งโอลิมปิกได้

.

หรือ แม้ชีวิตรากเหง้าของเธอ เธอจะตัดสินใจทิ้งแฟนหนุ่มกลางคัน ก่อนจะแต่งงานกันเพียง 2 วัน หนังสือในห้องสมุดดังกล่าวก็จะอนุญาตให้เธอลองใช้ชีวิตที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับแฟนหนุ่ม แล้วไปเปิดผับในชนบทด้วยกัน

.

คอนเซ็ปต์หนังสือคือน่าสนใจมาก เพราะผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเคยมีความคิดที่แวบเข้ามาในหัวว่า ถ้าตอนนั้นตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง ชีวิตวันนี้ของเราจะเป็นยังไงนะ เพราะชีวิตเราจริงๆต้องผ่านการตัดสินใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเลือกคณะเรียน การเลือกที่ทำงาน การเลือกคบแฟน การเลือกว่าจะไปทำงานที่ต่างจังหวัด การจะเข้ามาเมืองกรุง การไปต่างประเทศ การเปิดธุรกิจ การลงทุ การเลือกใช้เวลากับคนในครอบครัว รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญต่างๆ

.

เราล้วนผ่านการตัดสินใจมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะทั้งๆที่อยากตัดสินใจ หรือไม่อยากก็ตาม แต่ชีวิตก็ล้วนแต่บังคับให้เราตัดสินใจเสมอ

.

แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือว่า หลายครั้งเราก็เหมือนตัวเอกในนิยายเล่มนี้ คือเรามักจะเสียใจกับการตัดสินใจของเรา เรามักจะคิดว่าทางเลือกอีกทางที่เราไม่ได้ตัดสินใจคือทางเลือกที่ดีกว่า เช่น เรามักจะพูดติดปากว่า

- ตอนนั้นตั้งใจเรียนอีกหน่อย คงสอบเข้าคณะ A ได้แล้ว ชีวิตคงหาเงินได้มากกว่านี้

- ตอนนั้นถ้าตกลงคบกับคนนี้ต่อ ชีวิตแต่งงานคงจะมีความสุขกว่านี้ไปแล้ว

.

แต่แน่นอนว่า เรื่องเหล่านั้นเป็นแค่สิ่งที่เราคิดไปเอง หลายๆครั้งมันอาจจะไม่จริง และเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะเป็นยังไง

.

หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดที่ดีกว่าที่คาดไว้ เพราะหนังสือสมมุติให้ตัวเอกมีพลังในการเข้าไปรู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง กับชีวิตทางเลือกที่เราเสียใจที่ไม่ได้เลือก

.

ต้องบอกเลยว่าแทบจะจินตนาการไม่ออกจริงๆ

.

หนังสือพาจินตนาการเราไปไกลมาก พาเราไปดูกันเลยว่า ชีวิตที่แสนจะวิเศษที่เรามักโทษตัวเองในอดีตที่ไม่ยอมเลือก และเฝ้าฝันถึงมันเป็นยังไง

.

เหมือนที่หนังสือให้หญิงสาวหยิบหนังสือเล่มแรกขึ้นมาเชื่อว่า ‘หนังสือแห่งความเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ตัดสินใจทำ’ มีเยอะมาก หญิงสาวเขียนออกมาได้เยอะมากจริงๆ ถ้าเป็นตัวเราเองก็คงไม่ต่างกัน

.

.

ความรู้สึกหลังอ่าน ต้องบอกว่า เป็นหนังสือที่พาเราไปไกลจริงครับ จินตนาการถึงแต่ละชีวิตทางเลือกที่เราคาดเดาไม่ออกจริงๆ มีความสมเหตุสมผลในระดับหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือให้บทเรียนหลายอย่างกับคนที่ชอบเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในอดีต และการไล่ลำดับอารมณ์ของคนอ่านคือทำได้ยอดเยี่ยมมาก

.

ทั้งเรื่องความอยากรู้ว่าตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมอารมณ์ของเรื่องที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากการเจอเรื่องราวหนักๆของตัวละคร และปมความลี้ลับของห้องสมุดเที่ยงคืนและพลังแห่งการเข้าไปสิงสถิตในชีวิตทางเลือกที่ค่อยๆคลี่คลายเรื่อยๆ เมื่อเรื่องดำเนินไป

.

ถามว่าเข้าใจยากมั้ย ผมคิดว่าระดับหนึ่ง ตอนแรกๆอาจไม่มีอะไรมาก ข้อคิดเป็นแบบข้อคิดเชิงบวก ให้กำลังใจคนอ่านและเอาใช้ได้จริง แต่ช่วงหลังของหนังสือคือหนังสือไปไกลกว่านั้นมาก ถ้าใครคิดไว้ว่าหนังสือจะมาทำนองแค่บอกว่า ‘ไม่มีชีวิตไหนดีไปกว่ากันหรอก ทุกทางเลือกมีข้อดีข้อเสีย’ ต้องบอกว่าอันนั้นเป็นแค่ช่วงแรกๆ

.

สุดท้ายไม่อยากสปอยเนื้อเรื่องเยอะครับ อยากให้ลองไปอ่านกันเอง 400 หน้าแต่อ่านเพลินมาก เนื้อเรื่องคือกระชับ แบ่งเป็นบทย่อยๆเยอะ ชีวิตทางเลือกที่หญิงสาวได้เข้าไปลองใช้มีมามากมายเหลือเกิน แต่ละแบบเลยสั้นๆ แต่ล้วนให้บทเรียนดีๆทั้งนั้น

.

ผมเลยขอรวบรวม 7 ข้อคิดชีวิตที่หนังสือ the midnight library สอนเรามาฝากกันครับ

**ระวังมีสปอยแรงๆแฝงอยู่นะครับ**

.

1) ทุกทางเลือกชีวิตล้วนมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป

หลายๆครั้งเรามักจะคิดว่าทางเลือกที่เราไม่ได้เลือกนั่นดีกว่า เมื่อเราเจอปัญหา หรือรู้สึกถึงการตัดสินใจที่ผิดของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้วว่า ถ้าเราตัดสินใจไปอีกแบบจะเกิดอะไรขึ้น

.

โดยส่วนใหญ่แล้ว ทุกทางเลือกแห่งการตัดสินใจล้วนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

.

สำหรับคนที่ได้ไปลองใช้มาหลายๆชีวิตแบบหญิงสาวในนิยายเรื่องนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า ชีวิตทางเลือกส่วนใหญ่ของเธอมักมีข้อเสียที่เธอคาดไม่ถึง บางทางเลือกที่ดูเหมือนจะดีแสนดี กลับทำให้เธอต้องมาเจอปัญหาที่มากเสียกว่าทางเลือกที่ตัวเองตัดสินใจจริงๆเสียอีก

.

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีกว่าในเมื่อเราไม่อาจเข้าไปลองใช้ชีวิตทางเลือกเหมือนหญิงสาวได้คือ การทำใจให้เป็นกลางและคิดใหม่ว่า ทางเลือกที่เราไม่ได้ตัดสินใจก็มีปัญหา มีอุปสรรคที่เราคาดไม่ถึงรอเราอยู่ และอาจทำให้เราเป็นทุกข์ได้มากกว่าทางที่เราเลือกเสียอีก

.

.

2) เรื่องบางอย่างจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เรื่องนั้นก็ยังจะเกิดอยู่ดี

มีอยู่ 2-3 เรื่องที่หญิงสาวเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง และอยากกลับไปแก้ไขอย่างมาก แต่เธอก็ค้นพบว่า ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาเหมือนเดิม

.

เรื่องบางเรื่องแก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าเราจะทำดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเรายังทำไม่ดี แล้วกลับไปทำให้ดีกว่าเดิมอีก สุดท้ายก็อาจจะแก้ไขไม่ได้เหมือนเดิม

.

เรื่องแบบนี้ มันอาจเรียกว่าโชคชะตา มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

.

สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้คือ การทำใจยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด บางอย่างมันอาจถูกกำหนดไว้แล้วจริงๆ

.

.

3) ชีวิตที่ประสบความสำเร็จอาจไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป

.

มีอยู่อย่างน้อย 2 ชีวิตทางเลือกที่หญิงสาวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เธอมีทั้งชื่อเสียง เงินทอง ความเป็นอยู่ที่ดีในระดับที่แตกต่างจากชีวิตรากเหง้าราวฟ้ากับดิน

.

**สปอยเบาๆ ชีวิตรากเหง้าเธอยังหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านไม่ได้ เพราะตกงาน แต่ชีวิตหนึ่งเธอมีบ้านหลังใหญ่สุดโออ่าอยู่ใน 3 ประเทศ และนอนในโรงแรม 5 ดาวในทุกๆที่ที่เธอไป

.

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ชีวิตเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้นเลย มันมักจะมีอะไรบางอย่างที่อยู่ในความสำเร็จของหญิงสาวที่ต้องแลกมา

.

และมันรุนแรงมาก จนเธอรับไม่ได้ด้วยซ้ำ

.

เรื่องนี้จึงสอนว่า เวลาเราเห็นใครสำเร็จ มันอาจเป็นเพียงด้านเดียวของเหรียญ เป็นเพียงเปลือกนอกของตัวคนๆนั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่า จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างกับคนๆนั้น เขาต้องผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง เขาต้องเจอกับวันที่ยากลำบาก และอุปสรรคที่ไม่อาจเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้

.

หรือแม้แต่การมีชื่อเสียงที่โด่งดังเกินไป ก็อาจจะทำให้เราได้พบกับความจริงลวงโลกหลายประการ ที่เราอาจเคยถูกทำให้เชื่อเมื่อเราไม่มีมันและอยากได้มันมากๆ

.

การเจอกับสิ่งลวงโลกเหล่านั้นก็อาจทำให้เราเกิดความผิดหวังอย่างรุนแรงได้

.

.

4) การทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ก็อาจไม่ใช่ตัวเราเช่นกัน

ตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ครูอาจารย์มักบอกเราเสมอให้ตั้งเป้าให้สูง มุ่งมั่นทำตามฝันที่ยิ่งใหญ่เข้าไว้ แม้แต่หนังสือพัฒนาตัวเองหลายๆเล่มก็คอยเฝ้าบอกเราให้ฝันไกลๆ

.

แต่ความฝันใหญ่ๆแบบนั้น อาจไม่ได้เหมาะกับเราก็เป็นได้

.

เรื่องยิ่งใหญ่บนโลกนี้ อาจเหมาะกับคนแค่บางคน เขาเหล่านั้นเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ แต่เราทุกคน ถ้ามันไม่ใช่เรา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฝันให้ใหญ่เลย

.

หญิงสาวพบบทเรียนบทนี้อย่างดีตอนที่เธอได้ลองใช้ชีวิตที่อุทิศให้กับคนทั้งโลก ความฝันอันยิ่งใหญ่เมื่อวัยเด็กของเธอกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอฝันหา มันทรมาน มันเหนื่อย มันล้า มันเหงา มันเดียวดาย มันเต็มไปด้วยความหม่นหมอง

.

ในชีวิตนั้นเธอได้พบกับผู้คนมากมายที่พร้อมอุทิศชีวิตให้กับสิ่งเหล่านี้

.

แต่สำหรับหญิงสาว เธอก็อาจจะอยากแค่ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบมีความสุขก็เป็นได้

.

.

5) จงเลือกเดินตามฝันของตัวเอง อย่าเลือกทำตามความฝันคนอื่น

อีกประเด็นที่หนังสือเน้นย้ำมาหลายๆครั้งในหนังสือคือ หญิงสาวเลือกทำตามความฝันของคนอื่นหลายครั้งมาก หลายๆทางที่เธอไม่ได้ตัดสินใจเลือกก็เป็นเพียงความฝันของคนอื่น

.

แต่เธอเอาความฝันของคนอื่นมาเป็นของตัวเธอเองโดยไม่รู้ตัว เพราะเธอรักคนเหล่านั้นมาก

.

แต่หลายๆครั้งความฝันที่ยืมมาจากคนอื่น ก็อาจไม่ใช่ความฝันของเรา เราไม่ fit in กับมัน เรารู้ดีๆ แต่เพราะความรัก ความอยากตอบแทนบุญคุณ หรือความรู้สึกผิด ทำให้เราตัดสินใจทำตามความฝันเหล่านั้น

.

แล้วสุดท้ายเราก็จะค้นพบว่ามันไม่ใช่อยู่ดี

.

ทางที่ดีคือเราต้องมีความฝันของตัวเอง ยอมรับให้ชัดเจนว่าตัวเราจริงๆฝันว่าอะไร ไม่ใช่หยิบความฝันของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง เพราะมันไม่ยั่งยืน และมันอาจทำให้เราผิดหวังได้

.

.

6) บางครั้งชีวิตที่เราเลือกก็ปกดีทุกอย่าง แต่อะไรที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

ในหนังสือมีอยู่ 2-3 ชีวิตที่หญิงสาวได้ลองแล้วพบว่าไม่มีความผิดปกติอะไร เป็นชีวิตที่ดีด้วยซ้ำ มีเงิน มีงาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง แต่ไม่รู้เพราะอะไรตัวเธอเองกลับรู้สึกไม่แมทซ์กับชีวิตพวกนั้น

.

มันเหมือนกับการที่เราไม่อาจอธิบายความผิดปกติของบางสิ่งบางอย่างจากความรู้สึกเราได้ แต่ลึกๆในใจคือเรารู้ว่า อะไรที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

.

เราอาจรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเราเองต้องการอะไร การใช้เหตุผลมาตัดสินว่าชีวิตแบบนี้คือโอเค สมบูรณ์แบบแล้ว ก็อาจไม่ถูกต้องนัด หลายๆครั้งเราจึงจำเป็นต้องตัดสินใจจากความรู้สึกลึกๆของตัวเอง

.

และถ้าสิ่งไหนไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยผ่านไป

.



7) บางชีวิตที่เราไม่ได้เลือกอาจทำให้เราเจอความโคตรสุข แต่เพราะเราไม่ได้สร้างมันขึ้นมาเอง ใจลึกๆของเราอาจไม่สามารถยอมรับชีวิตแบบนั้นได้

.

เรื่องของความภูมิใจในตัวเอง เป็นอีกประเด็นที่หนังสือทิ้งไว้ให้ขบคิด มีชีวิตหนึ่งที่หญิงสาวโคตรมีความสุข ทุกอย่างลงตัวมาก ครอบครัว สามี ลูก การงาน การเงิน การศึกษา ไลฟ์สไตล์ ความสัมพันธ์ ทุกอย่างคือดีหมด สมบูรณ์แบบทุกๆอย่างจนหญิงสาวอยากใช้ชีวิตทางเลือกนี้ตลอดไป

.

แต่ลึกๆในใจแล้ว หญิงสาวรู้ดีว่า มันไม่ใช่ชีวิตตัวเอง เธอไม่ได้สร้างมันขึ้นมาเอง เธอเพียงแค่เดินเข้าไปในชีวิตที่คนอื่นสร้างไว้

.

การยอมรับสิ่งเหล่านี้ และความภูมิใจในตัวเองลึกๆก็กลายเป็นปมที่หญิงสาวเก็บไปคิดโดยไม่รู้ตัว

.

ดังนั้นชีวิตที่เติมเต็มเราได้จริงๆแล้วอาจเป็นชีวิตที่เราสร้างขึ้นมาเองกับมือ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แม้จะมีจุดบกพร่องไปบ้าง แต่มันก็คือสิ่งที่อยู่กับตัวเรา มันคือตัวเราจริงๆ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราลงมือทำมัน

.

การเดินเข้าไปหาชีวิตที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ได้ทำอะไรเลย คือการโกง เหมือนกดสูตร motherload ในthe sims รัวๆๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตที่ต้องการ แต่เราย่อมรู้อยู่แก่ใจลึกๆว่าเราไม่คู่ควรกับมัน

.

สุดท้ายแล้ว ชีวิตที่เราคู่ควรจึงอาจเป็นชีวิตที่เราสร้างขึ้นมาเองก็ได้

.

.

8) จงยอมรับชีวิตของตัวเอง หยุดเศร้าเสียใจกับทางเลือกในอดีตที่ผ่านไปแล้ว และเริ่มสร้างทางเลือกใหม่ๆ ตั้งแต่วันนี้

การมีชีวิตอยู่คือของขวัญอันล้ำค่า ที่ทำให้เราสร้างชีวิตทางเลือกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ

.

สิ่งสุดท้ายที่หนังสืออยากสื่อคือ เราไม่ควรไปนั่งเสียใจกับชีวิตทางเลือกในอดีต แต่ให้กลับมาโฟกัสกับชีวิตในปัจจุบัน ยอมรับมันเพราะ จะดีจะร้าย มันก็คือชีวิตที่เราสร้างขึ้นมา และตั้งใจสร้างชีวิตต่อไป

.

เราต้องระลึกไว้เสมอว่า มีโอกาสอีกมากมายรอเราอยู่ ในวันนี้และวันพรุ่งนี้

.

ไม่มีอะไรมีค่าไปมากกว่าการได้มีชีวิตอยู่

.

.

.

.

สั่งซื้อหนังสือได้ที่

.

.

..............................................................................................................................

ผู้เขียน: Matt Haig

ผู้แปล: วรรธนา วงษ์ฉัตร

จำนวนหน้า: 400 หน้า

สำนักพิมพ์: Biblio

เดือนปีที่พิมพ์: 7/2021

..............................................................................................................................

.

.

#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อน30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #TheMidnightLibrary #มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน




2,853 views0 comments
Post: Blog2_Post
bottom of page